กรุงเทพ--4 พ.ค.--กระทรวงการต่างประเทศ
ตามที่ ดร.กันตธีร์ ศุภมงคล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้เดินทางเยือนประเทศอินโดนีเซียอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 2 — 3 พฤษภาคม 2548 นั้น วันนี้ (3 พฤษภาคม 2548) นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเกี่ยวกับผลการเยือนอินโดนีเซียของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ดังนี้
1. การครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ไทย — อินโดนีเซีย
การเยือนอินโดนีเซียครั้งนี้เป็นการเยือนครั้งแรกภายหลังการรับตำแหน่ง และโดยที่ปีนี้เป็นวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ไทย — อินโดนีเซีย ทั้งสองฝ่ายจึงได้มีการหารือเรื่องการเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ด้วย นอกจากนี้ ในการเยือนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้เชิญสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรที่เป็นมุสลิมของไทยร่วมเดินทางไปด้วย คือ นางฟารีดา สุไลมาน และนายเอกพจน์ วงศ์อารยะ เพื่อเป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์ในระดับประชาชนและแสดงถึงการเคารพในเชื้อชาติศาสนาที่แตกต่างกัน
2. ผลการหารือกับ Dr.Susilo Bambang Yudhoyono ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย และDr. Hassan Wirajuda รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินโดนีเซีย
2.1 ความร่วมมือทวิภาคี
- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้เชิญประธานาธิบดีอินโดนีเซียมาเยือนไทย ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2548 ซึ่งฝ่ายอินโดนีเซียจะยืนยันการเยือนให้ฝ่ายไทยทราบต่อไป
- การประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมครั้งแรกระหว่างไทย — อินโดนีเซีย ซึ่งทั้งสองฝ่าย เห็นร่วมกันว่า ควรจะมีขึ้นภายหลังการเยือนของประธานาธิบดีอินโดนีเซีย โดยจะมีการหารือกันใน รายละเอียดต่อไป
- ความร่วมมือด้านประมง โดยที่บันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือ ด้านประมงได้หมดอายุไปเมื่อเดือนมกราคม 2548 และความตกลงเกี่ยวกับสัมปทานประมงจะหมดอายุในเดือนกันยายน 2548 ฝ่ายไทยจึงขอต่ออายุทั้ง MOU และความตกลงดังกล่าวจากฝ่ายอินโดนีเซีย ขณะนี้ไทยมีเรือประมงในอินโดนีเซียประมาณ 300 ลำ โดยได้รับสัมปทานให้ทำการประมงอย่างถูกต้องตามกฎหมายในทะเลอาราฟูรา ซึ่งเป็นเขตประมงนอกน่านน้ำไทยที่ใหญ่ที่สุด ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้หารือเพื่อเตรียมการสำหรับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ของไทย เพื่อเดินทางมาเจรจาร่วมมือด้านประมงกับอินโดนีเซียต่อไป
- การท่องเที่ยว ทั้งสองฝ่ายได้หารือเรื่องความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว โดยเฉพาะ การเชื่อมโยงเส้นทางการท่องเที่ยวที่มีความสำคัญด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมระหว่างเชียงใหม่ สุโขทัย และเมืองยอร์กยากาตาร์ ซึ่งฝ่ายอินโดนีเซียมีความสนใจเป็นพิเศษ
- ความมั่นคง ทั้งสองฝ่ายได้หารือเรื่องการจัดตั้งคณะทำงานด้านความมั่นคง ตามที่ได้มีการพบหารือกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ระหว่างนายกรัฐมนตรีของไทยกับประธานาธิบดีอินโดนีเซียระหว่าง การประชุมสุดยอดอาเซียนที่นครเวียงจันทน์ นอกจากนี้ ได้มีการหารือเกี่ยวกับความปลอดภัยใน การเดินเรือในช่องแคบมะละกา ซึ่งปัจจุบันมาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซียเป็นผู้ดูแลรักษา ความปลอดภัยอยู่ ในการนี้ ฝ่ายอินโดนีเซียได้เสนอให้ประเทศอื่น ๆ ที่ใช้เส้นทางการเดินเรือดังกล่าว รวมทั้งประเทศไทยเข้าไปมีส่วนร่วมในการรักษาความปลอดภัยด้วย
- การร่วมมือต่อต้านโจรสลัด ตามที่ฝ่ายไทยได้จับโจรสลัดซึ่งเป็นชาวอินโดนีเซียจำนวน 5 คนนั้น อินโดนีเซียได้ขอบคุณฝ่ายไทยในการดำเนินการกับโจรสลัดดังกล่าว ซึ่งในเรื่องนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้กล่าวว่า ในชั้นนี้ฝ่ายอินโดนีเซียสันนิษฐานว่าอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับขบวนการก่อการร้าย อย่างไรก็ตามทั้งสองฝ่ายจะดำเนินการสอบสวนร่วมกันต่อไป
2.2 ความร่วมมือในภูมิภาค ทั้งสองฝ่ายเห็นร่วมกันที่จะสร้างความแข็งแกร่งของ ASEAN ซึ่งจะมีบทบาทในการส่งเสริมความร่วมมือในภูมิภาค และจะสนับสนุนการประชุม East Asia Summit ครั้งที่ 1 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ และอินโดนีเซียจะสนับสนุนความร่วมมือในกรอบ ACD โดย เชื่อมโยงเอเชีย — แอฟริกา ผ่าน ACD และ African Union ซึ่งเป็นผลจากการประชุมสุดยอดเอเชีย — แอฟริกา ที่จาการ์ตาที่ผ่านมา
3. การพบปะหารือกับประธานองค์กร NU และประธานองค์กร Muhammadiyah รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้พบปะหารือกับนาย Hasyim Muzadi ประธานองค์กรศาสนาอิสลาม Nahdlatul Ulama (NU) และDr. Ahmad Safii Maarif ประธานองค์กรศาสนาอิสลาม Muhammadiyah รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้แจ้งให้ประธานองค์กรศาสนาอิสลามทั้งสองทราบถึงสถานการณ์ใน 3 จังหวัดภาคใต้ของไทย ว่าได้เริ่มคลี่คลายลงแล้ว และ รัฐบาลไทยได้แต่งตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาด้วย ซึ่งผู้นำองค์กรศาสนาดังกล่าวได้แสดงความเข้าใจและเห็นว่าปัญหาภาคใต้เป็นเรื่องของกลุ่มคนที่ใช้ศาสนาสร้างความขัดแย้ง การแก้ไขปัญหาจึงควรเน้นที่การสร้างความเข้าใจและความสามานฉันท์โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมแนวทางสายกลางในกลุ่มชาวมุสลิม ทั้งสององค์กรมีความเห็นว่าควรส่งเสริมโอกาสทางการศึกษาให้กับชาวไทยมุสลิมโดยการผสมผสานการสอนศาสนาไปพร้อมกับการสอนวิชาชีพ
4. การพบกลุ่มธุรกิจภาคเอกชนของไทยที่ลงทุนในอินโดนีเซีย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้พบนักธุรกิจไทยที่ลงทุนในอินโดนีเซีย อาทิ บริษัทซีพี บ้านปู และซีเมนต์ไทย ซึ่งปัจจุบันได้มีการจัดตั้งสภาธุรกิจไทย — อินโดนีเซีย และสภาธุรกิจ อินโดนีเซีย — ไทยแล้ว ในการพบปะกันในครั้งนี้ นักธุรกิจไทยได้ชี้แจงถึงปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อธุรกิจ ในอินโดนีเซีย อาทิ เรื่องภาษี และระเบียบกฎเกณฑ์ที่ไม่สะดวกในการติดต่อขอ Visa และใบอนุญาตทำงานของแรงงานไทยในอินโดนีเซีย ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรับปากจะเร่งหาแนวทางแก้ไขต่อไป
5. การพบนักศึกษาไทยมุสลิมในอินโดนีเซีย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้พบนักศึกษาไทยที่ศึกษาอยู่ในอินโดนีเซียจำนวน 13 คน โดยมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของไทยเข้าร่วมพบปะด้วย ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้แจ้งนักศึกษาเกี่ยวกับผลการหารือกับประธานองค์กรศาสนา NU และประธานองค์กรศาสนา Muhammadiyah รวมถึงมาตรการที่รัฐบาลไทยได้ดำเนินการต่อสถานการณ์ภาคใต้
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7 E-mail : [email protected]จบ--
-พห-
ตามที่ ดร.กันตธีร์ ศุภมงคล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้เดินทางเยือนประเทศอินโดนีเซียอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 2 — 3 พฤษภาคม 2548 นั้น วันนี้ (3 พฤษภาคม 2548) นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเกี่ยวกับผลการเยือนอินโดนีเซียของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ดังนี้
1. การครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ไทย — อินโดนีเซีย
การเยือนอินโดนีเซียครั้งนี้เป็นการเยือนครั้งแรกภายหลังการรับตำแหน่ง และโดยที่ปีนี้เป็นวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ไทย — อินโดนีเซีย ทั้งสองฝ่ายจึงได้มีการหารือเรื่องการเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ด้วย นอกจากนี้ ในการเยือนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้เชิญสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรที่เป็นมุสลิมของไทยร่วมเดินทางไปด้วย คือ นางฟารีดา สุไลมาน และนายเอกพจน์ วงศ์อารยะ เพื่อเป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์ในระดับประชาชนและแสดงถึงการเคารพในเชื้อชาติศาสนาที่แตกต่างกัน
2. ผลการหารือกับ Dr.Susilo Bambang Yudhoyono ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย และDr. Hassan Wirajuda รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินโดนีเซีย
2.1 ความร่วมมือทวิภาคี
- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้เชิญประธานาธิบดีอินโดนีเซียมาเยือนไทย ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2548 ซึ่งฝ่ายอินโดนีเซียจะยืนยันการเยือนให้ฝ่ายไทยทราบต่อไป
- การประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมครั้งแรกระหว่างไทย — อินโดนีเซีย ซึ่งทั้งสองฝ่าย เห็นร่วมกันว่า ควรจะมีขึ้นภายหลังการเยือนของประธานาธิบดีอินโดนีเซีย โดยจะมีการหารือกันใน รายละเอียดต่อไป
- ความร่วมมือด้านประมง โดยที่บันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือ ด้านประมงได้หมดอายุไปเมื่อเดือนมกราคม 2548 และความตกลงเกี่ยวกับสัมปทานประมงจะหมดอายุในเดือนกันยายน 2548 ฝ่ายไทยจึงขอต่ออายุทั้ง MOU และความตกลงดังกล่าวจากฝ่ายอินโดนีเซีย ขณะนี้ไทยมีเรือประมงในอินโดนีเซียประมาณ 300 ลำ โดยได้รับสัมปทานให้ทำการประมงอย่างถูกต้องตามกฎหมายในทะเลอาราฟูรา ซึ่งเป็นเขตประมงนอกน่านน้ำไทยที่ใหญ่ที่สุด ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้หารือเพื่อเตรียมการสำหรับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ของไทย เพื่อเดินทางมาเจรจาร่วมมือด้านประมงกับอินโดนีเซียต่อไป
- การท่องเที่ยว ทั้งสองฝ่ายได้หารือเรื่องความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว โดยเฉพาะ การเชื่อมโยงเส้นทางการท่องเที่ยวที่มีความสำคัญด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมระหว่างเชียงใหม่ สุโขทัย และเมืองยอร์กยากาตาร์ ซึ่งฝ่ายอินโดนีเซียมีความสนใจเป็นพิเศษ
- ความมั่นคง ทั้งสองฝ่ายได้หารือเรื่องการจัดตั้งคณะทำงานด้านความมั่นคง ตามที่ได้มีการพบหารือกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ระหว่างนายกรัฐมนตรีของไทยกับประธานาธิบดีอินโดนีเซียระหว่าง การประชุมสุดยอดอาเซียนที่นครเวียงจันทน์ นอกจากนี้ ได้มีการหารือเกี่ยวกับความปลอดภัยใน การเดินเรือในช่องแคบมะละกา ซึ่งปัจจุบันมาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซียเป็นผู้ดูแลรักษา ความปลอดภัยอยู่ ในการนี้ ฝ่ายอินโดนีเซียได้เสนอให้ประเทศอื่น ๆ ที่ใช้เส้นทางการเดินเรือดังกล่าว รวมทั้งประเทศไทยเข้าไปมีส่วนร่วมในการรักษาความปลอดภัยด้วย
- การร่วมมือต่อต้านโจรสลัด ตามที่ฝ่ายไทยได้จับโจรสลัดซึ่งเป็นชาวอินโดนีเซียจำนวน 5 คนนั้น อินโดนีเซียได้ขอบคุณฝ่ายไทยในการดำเนินการกับโจรสลัดดังกล่าว ซึ่งในเรื่องนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้กล่าวว่า ในชั้นนี้ฝ่ายอินโดนีเซียสันนิษฐานว่าอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับขบวนการก่อการร้าย อย่างไรก็ตามทั้งสองฝ่ายจะดำเนินการสอบสวนร่วมกันต่อไป
2.2 ความร่วมมือในภูมิภาค ทั้งสองฝ่ายเห็นร่วมกันที่จะสร้างความแข็งแกร่งของ ASEAN ซึ่งจะมีบทบาทในการส่งเสริมความร่วมมือในภูมิภาค และจะสนับสนุนการประชุม East Asia Summit ครั้งที่ 1 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ และอินโดนีเซียจะสนับสนุนความร่วมมือในกรอบ ACD โดย เชื่อมโยงเอเชีย — แอฟริกา ผ่าน ACD และ African Union ซึ่งเป็นผลจากการประชุมสุดยอดเอเชีย — แอฟริกา ที่จาการ์ตาที่ผ่านมา
3. การพบปะหารือกับประธานองค์กร NU และประธานองค์กร Muhammadiyah รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้พบปะหารือกับนาย Hasyim Muzadi ประธานองค์กรศาสนาอิสลาม Nahdlatul Ulama (NU) และDr. Ahmad Safii Maarif ประธานองค์กรศาสนาอิสลาม Muhammadiyah รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้แจ้งให้ประธานองค์กรศาสนาอิสลามทั้งสองทราบถึงสถานการณ์ใน 3 จังหวัดภาคใต้ของไทย ว่าได้เริ่มคลี่คลายลงแล้ว และ รัฐบาลไทยได้แต่งตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาด้วย ซึ่งผู้นำองค์กรศาสนาดังกล่าวได้แสดงความเข้าใจและเห็นว่าปัญหาภาคใต้เป็นเรื่องของกลุ่มคนที่ใช้ศาสนาสร้างความขัดแย้ง การแก้ไขปัญหาจึงควรเน้นที่การสร้างความเข้าใจและความสามานฉันท์โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมแนวทางสายกลางในกลุ่มชาวมุสลิม ทั้งสององค์กรมีความเห็นว่าควรส่งเสริมโอกาสทางการศึกษาให้กับชาวไทยมุสลิมโดยการผสมผสานการสอนศาสนาไปพร้อมกับการสอนวิชาชีพ
4. การพบกลุ่มธุรกิจภาคเอกชนของไทยที่ลงทุนในอินโดนีเซีย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้พบนักธุรกิจไทยที่ลงทุนในอินโดนีเซีย อาทิ บริษัทซีพี บ้านปู และซีเมนต์ไทย ซึ่งปัจจุบันได้มีการจัดตั้งสภาธุรกิจไทย — อินโดนีเซีย และสภาธุรกิจ อินโดนีเซีย — ไทยแล้ว ในการพบปะกันในครั้งนี้ นักธุรกิจไทยได้ชี้แจงถึงปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อธุรกิจ ในอินโดนีเซีย อาทิ เรื่องภาษี และระเบียบกฎเกณฑ์ที่ไม่สะดวกในการติดต่อขอ Visa และใบอนุญาตทำงานของแรงงานไทยในอินโดนีเซีย ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรับปากจะเร่งหาแนวทางแก้ไขต่อไป
5. การพบนักศึกษาไทยมุสลิมในอินโดนีเซีย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้พบนักศึกษาไทยที่ศึกษาอยู่ในอินโดนีเซียจำนวน 13 คน โดยมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของไทยเข้าร่วมพบปะด้วย ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้แจ้งนักศึกษาเกี่ยวกับผลการหารือกับประธานองค์กรศาสนา NU และประธานองค์กรศาสนา Muhammadiyah รวมถึงมาตรการที่รัฐบาลไทยได้ดำเนินการต่อสถานการณ์ภาคใต้
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7 E-mail : [email protected]จบ--
-พห-