ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท.เผยยังไม่ปรับประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจใหม่ในขณะนี้ แม้ฐานะดุลการค้าในเดือน ก.
ค.จะปรับตัวดีขึ้น ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็นที่ ธปท.จะต้อง
ปรับประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจใหม่ แม้ว่าฐานะดุลการค้าในเดือน ก.ค.นี้จะปรับตัวดีขึ้นจากช่วงก่อนหน้า
อย่างมาก โดยเชื่อว่า อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีนี้จะยังคงอยู่ในช่วงที่เคยประมาณการไว้ที่ร้อยละ 3.5-
4.5 ขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 3-4 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.ตามที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งหลังปี 48 คาดว่าภาวะเศรษฐกิจจะดีกว่าครึ่งปีแรก และคาดว่าฐานะดุลบัญชีเดินสะพัดใน
ครึ่งปีหลังจะเกินดุลประมาณ 2 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. จากผลดีของภาคการส่งออกที่จะขยายตัวได้มากในไตรมาส
4 ทั้งนี้ เศรษฐกิจในไตรมาส 2 ของปีนี้ถือเป็นช่วงภาวะเศรษฐกิจต่ำสุดในปี 48 ซึ่งสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและ
สังคมแห่งชาติ (สศช.) จะประกาศภาวะเศรษฐกิจจริงในวันที่ 5 ก.ย.นี้ (กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน,
บ้านเมือง, ข่าวสด)
2. ธปท.เตรียมความพร้อมของ ธพ.เพื่อใช้เกณฑ์ Basel II นางธาริษา วัฒนเกส รองผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงการเตรียมความพร้อมของ ธพ.เพื่อใช้เกณฑ์การกำกับและตรวจสอบ
สถาบันการเงินฉบับที่ 2 ของ ธ.เพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (บีไอเอส) หรือ Basel II ที่จะนำมาใช้
ตั้งแต่ปี 51 ว่า ต้องการให้ ธพ.แต่ละแห่งนำข้อมูลลูกหนี้และพฤติกรรมการกู้ยืมของลูกหนี้ของตนเองมาแลกเปลี่ยน
กัน เพื่อให้มีฐานข้อมูลที่กว้างยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการดำเนินงาน รวมทั้งลดภาระต้นทุนลง อย่างไรก็ตาม
จะเป็นตัวกลางในการทำข้อมูลเพื่อให้ ธพ.มีข้อมูลลูกหนี้มากเพียงพอ โดยจะขอความร่วมมือให้ ธพ. ทุกแห่งให้
ข้อมูลต่อ ธปท. เพื่อที่จะมีข้อมูลในการจัดอันอับความเสี่ยงของลูกหนี้ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะช่วยให้การปล่อยสินเชื่อ
ของ ธพ.ในอนาคตดีขึ้น และทำให้เงินที่กันสำรองหนี้ตาม Basel II ลดลงจากปัจจุบันได้ด้วย (ผู้จัดการรายวัน, โลกวันนี้)
3. ธปท.ยังไม่อนุญาตให้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิต นางธาริษา วัฒนเกส รองผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า กรณีที่ชมรมบัตรเครดิตมาหารือกับ ธปท.เพื่อขอขึ้นอัตราดอกเบี้ย
บัตรเครดิตนั้น ธปท.ยังไม่อนุญาตให้มีการปรับขึ้น เนื่องจากข้อมูลต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของธนาคารที่ประกอบธุรกรรมการ
ให้บริการบัตรเครดิตยังไม่เพียงพอที่จะให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แม้จะมีผู้ประกอบการบางรายที่มีต้นทุนสูงขึ้น จนจำ
เป็นต้องขอปรับอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 18 ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน แต่ ธพ.และ
ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังสามารถทำธุรกิจบัตรเครดิตภายใต้ต้นทุนและอัตราดอกเบี้ยเดิมได้ ทั้งนี้ แม้ผู้ประกอบการ
บัตรเครดิตจะชี้แจงว่าการหาเอกสารมาประกอบเพื่อชี้แจงต้นทุนที่เพิ่มขึ้นทำได้ยาก แต่เมื่อธุรกิจส่วนใหญ่ต้นทุนยังไม่
เพิ่มขึ้นจนเหมาะสมที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ก็ถือว่ายังไม่สามารถให้ขึ้นดอกเบี้ยได้ เพราะการให้ขึ้นดอกเบี้ยบัตร
เครดิตจะต้องเป็นการให้ปรับขึ้นทั้งหมดเป็นอัตราเดียวกัน ไม่ได้แยกเป็นรายธนาคาร (สยามรัฐ, ไทยรัฐ, แนวหน้า,
ข่าวสด, เดลินิวส์)
4. ดัชนีราคาส่งออกเดือน ก.ค.48 เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.9 เทียบต่อปี โฆษกประจำ ก.พาณิชย์ เปิด
เผยว่า ดัชนีราคาส่งออกประจำเดือน ก.ค.48 เท่ากับ 113.1 สูงขึ้นร้อยละ8.9 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ส่งผลให้ดัชนีราคาส่งออกเฉลี่ย 7 เดือน (ม.ค.-ก.ค.48) สูงขึ้นร้อยละ 7.5 ซึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันดิบใน
ตลาดโลกสูงขึ้น ทำให้การผลิตสินค้ามีต้นทุนสูงขึ้นในส่วนของวัตถุดิบนำเข้า เนื่องจากผู้ส่งออกได้ปรับฐานราคาสินค้า
ส่งออกในช่วงนี้ให้สอดคล้องกับราคาน้ำมัน นอกจากนี้เป็นผลจากดัชนีหมวดสินค้าเกษตรกรรมสูงขึ้นร้อยละ 3.2
เช่น ยางพารา จากผลผลิตลดลงขณะที่มีความต้องการสูงขึ้น ทั้งนี้ ราคาส่งออกที่มีทิศทางสูงขึ้นไม่กระทบกับศักยภาพ
การแข่งขันของไทย เพราะราคาน้ำมันส่งผลกระทบทั่วโลก อีกทั้งยังมีปัจจัยเสริมอื่น ๆ เช่น ภาวะค่าเงินบาทที่มี
เสถียรภาพมากขึ้น สำหรับแนวโน้มดัชนีราคาส่งออกทั้งปี 48 คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 113-115 หรือสูงขึ้นจากปีก่อน
ร้อยละ 7.8 (เดลินิวส์, มติชน)
5. บสท.สามารถบริหารจัดการหนี้ด้อยคุณภาพในไตรมาส 2 ปี 48 แล้วเสร็จร้อยละ 99.27
กรรมการผู้จัดการ บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของ บสท.ณ สิ้นไตรมาส 2
ปี 48 ว่า สามารถบริหารจัดการหนี้ด้อยคุณภาพแล้วเสร็จจำนวน 772,418 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 99.27 ของ
สินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่ได้รับโอนทั้งหมด 778,121 ล้านบาท โดยยุติด้วยกระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ 5.74 แสน
ล้านบาท หรือ 7,969 ราย คิดเป็นร้อยละ 74.29 เพิ่มขึ้นร้อยละ 68.60 จากสิ้นปี 47 ซึ่งลูกหนี้ดังกล่าวมีอัตรา
การได้รับชำระคืนอยู่ที่ร้อยละ 48.20 อย่างไรก็ตาม ยังมีลูกหนี้อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งยุติด้วยการบังคับหลักประกัน 1.99
แสนล้านบาทหรือร้อยละ 25.71 (กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน, มติชน, โลกวันนี้, บ้านเมือง, แนวหน้า)
6. นักวิชาการเผยการจัดทำเอฟทีเอ ไทย-ญี่ปุ่นส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้า 1.45 แสนล้านบาท ผอ.
ศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ ม.หอการค้าไทย เปิดเผยในการสัมมนา FTA ไทย-ญี่ปุ่น : ประเทศไทยจะได้
ประโยชน์หรือผลกระทบอะไร” ว่า ในปี 47 ที่ผ่านมา ไทยขาดดุลการค้าต่อญี่ปุ่นเป็นมูลค่า 350,000 ล้านบาท
และขาดดุลมาตลอด 30 ปีตั้งแต่ปี 17 เป็นต้นมา แม้การทำเอฟทีเอกับญี่ปุ่นจะเปิดตลาดสินค้าและบริการให้ไทย
จำนวนมาก เมื่อเทียบกับจำนวนรายการสินค้าที่ไทยเปิดตลาดให้ญี่ปุ่น แต่มูลค่าการส่งออกสินค้าที่ญี่ปุ่นเปิดให้ไทยนั้น
น้อยมากเมื่อเทียบกับสินค้าที่ไทยเปิดให้ญี่ปุ่น โดยสินค้าที่ญี่ปุ่นเปิดให้ไทยมีมูลค่าส่งออกรวม 85,000 ล้านบาท แต่
ไทยเปิดให้ญี่ปุ่น 230,000 ล้านบาท ดังนั้น ไทยจึงขาดดุลการค้าทันที 145,000 ล้านบาท อีกทั้งญี่ปุ่นยังกำหนดกฎ
แหล่งกำเนิดสินค้าที่ไม่เป็นธรรมกับฝ่ายไทย (ผู้จัดการรายวัน, ไทยรัฐ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. คำสั่งซื้อสินค้าจากโรงงานในอังกฤษในเดือน ส.ค.48 ลดลงมาอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบเกือบ
2 ปี รายงานจากลอนดอน เมื่อ 24 ส.ค.48 สภาอุตสาหกรรมของอังกฤษรายงานผลสำรวจคำสั่งซื้อสินค้าจากโรง
งานในอังกฤษในเดือน ส.ค.48 ลดลงมาอยู่ที่ระดับ — 29 ต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ปีนับตั้งแต่เดือน ต.ค.46 ตรงกัน
ข้ามกับที่คาดว่าจะดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ — 18 จากระดับ — 20 ในเดือน ก.ค.48 ผลสำรวจดังกล่าวซึ่งดำเนินการใน
ระหว่างวันที่ 26 ก.ค.ถึง 17 ส.ค.48 บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจของอังกฤษกำลังชะลอตัวลง แม้ว่าธุรกิจที่ถูกสำรวจคาด
ว่าจะเพิ่มกำลังการผลิตสินค้าในอีกหลายเดือนข้างหน้าแต่ก็เป็นผลจากคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเสียส่วนใหญ่ ในขณะ
ที่คำสั่งซื้อจากในประเทศยังมีน้อย ผลสำรวจดังกล่าวทำให้คาดกันว่า ธ.กลางอังกฤษจะลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในปี
นี้แต่นักวิเคราะห์คาดว่าจะไม่เร็วไปกว่าเดือน พ.ย.48 หลังจาก ธ.กลางอังกฤษเพิ่งลดอัตราดอกเบี้ยลงร้อยละ
0.25 ในเดือนนี้เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปี ทำให้อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 4.5 ต่อปี โดย
สภาอุตสาหกรรมของอังกฤษได้ปรับลดประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ลงเหลือร้อยละ 1.9 จาก
ประมาณการครั้งก่อนที่ร้อยละ 2.5 เมื่อเดือน พ.ค.48 ที่ผ่านมา (รอยเตอร์)
2. ดัชนีราคาผู้บริโภคของเยอรมนีในเดือนส.ค.ยังคงต่ำอยู่แม้ว่าราคาน้ำมันจะทำสถิติสูงสุดก็ตาม
รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 48 รัฐบาลเยอรมนีเปิดเผยว่า ในเดือนส.ค.ดัชนีราคาผู้บริโภค
(CPI) ของเยอรมนียังคงต่ำเนื่องจากอาหารตามฤดูกาลมีราคาถูกลงสามารถชดเชยราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นทำสถิติสูง
สุด ทำให้ตัวเลข CPI จาก 5 แคว้นสำคัญของเยอรมนีคือ Bavaria, North Rhine-Westphalia,
Saxony, Brandenburg และ Hesse ไม่เปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มขึ้นราวร้อยละ 0.2 จากเดือนก.ค. โดยตัวเลข
CPI ของทั้งประเทศยังคงใกล้เคียงกับเดือนก.ค. ทั้งนี้ CPI ของเยอรมนีสามารถแสดงแนวโน้มภาวะเงินเฟ้อของ
ยูโรโซนที่อยู่ที่ระดับร้อยละ 2.2 สูงกว่าที่ธ.กลางยุโรปกำหนดให้อยู่ในระดับร้อยละ 2.0 นักเศรษฐศาสตร์จาก
DZ Bank มีความเห็นว่าผลกระทบจากราคาน้ำมันต่อเงินเฟ้อจะมีมากขึ้นซึ่งต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดในการคาด
การณ์ภาวะเงินเฟ้อ ก่อนหน้านั้นผลการสำรวจของรอยเตอร์คาดว่า CPI ของเยอรมนีทั้งประเทศในเดือนส.ค. จะ
เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 จากเดือนก.ค.และหากเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว CPI เดือนส.ค.อยู่ที่ร้อยละ 1.9 ลดลง
จากร้อยละ 2.0 เมื่อเดือนก.ค. (รอยเตอร์)
3. เดือน ก.ค.48 ญี่ปุ่นเกินดุลการค้าลดลงร้อยละ 22.6 เทียบต่อปี รายงานจากโตเกียวเมื่อ
25 ส.ค.48 ก.คลัง เปิดเผยว่า เดือน ก.ค.48 ญี่ปุ่นเกินดุลการค้าเมื่อเทียบต่อปีลดลงร้อยละ 22.6 เป็น
จำนวน 873.6 พัน ล.เยน (7.93 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.) ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 แต่ยังคงสูงกว่าการคาด
การณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่าจะเกินดุลลดลงร้อยละ 35 เป็นจำนวน 730 พัน ล.เยน ขณะที่เมื่อเทียบต่อ
เดือนและปรับฤดูกาลแล้ว ยอดเกินดุลการค้าลดลงร้อยละ 10.2 เป็นจำนวน 604.9 พัน ล.เยน ทั้งนี้ การที่
ดุลการค้าของญี่ปุ่นลดลงในเดือน ก.ค.48 เป็นผลจากการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.6 เป็นจำนวน 4.66 ล้าน
ล้านเยน โดยมีสาเหตุหลักจากมูลค่าการนำเข้าน้ำมันซึ่งเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 48.5 ขณะที่การส่งออกเพิ่มขึ้นเพียงร้อย
ละ 4.3 เทียบต่อปีเป็นจำนวน 5.54 ล้านล้านเยน ตามการเพิ่มขึ้นของยอดการส่งออกเรือและเหล็กกล้า อนึ่ง นัก
เศรษฐศาสตร์เห็นราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นยังคงเป็นปัจจัยที่น่ากังวล อย่างไรก็ตาม จากการเปิดเผยข้อมูลผลิตภัณฑ์ใน
ประเทศ (จีดีพี) ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี (เม.ย.-มิ.ย.48) พบว่า มูลค่าการส่งออกสุทธิ ขยายตัวเป็นครั้ง
แรกในรอบ 4 ไตรมาส ขณะที่จีดีพีที่แท้จริง (real GDP) ขยายตัวร้อยละ 0.3 และความต้องการภายในประเทศ
ยังคงเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ (รอยเตอร์)
4. จีดีพีของมาเลเซียในไตรมาส 2 ปีนี้ขยายตัวต่ำสุดในรอบ 3 ปี รายงานจากกรุงกัวลาลัมเปอร์
ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 24 ส.ค.48 ธ.กลางของมาเลเซีย เปิดเผยว่า เศรษฐกิจของมาเลเซียในไตร
มาส 2 ปีนี้ขยายตัวร้อยละ 4.1 ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวต่ำสุดนับตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2545 และต่ำกว่าที่นัก
เศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 4.9 โดยมีสาเหตุจากการส่งออกชะลอตัวลง ทั้งนี้ มาเลเซียเป็นประเทศที่
ระบบเศรษฐกิจพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก มีการคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำโดยไม่คำนึงถึงภาวะเงินเฟ้อใน
ปัจจุบัน ซึ่งผู้ว่าการ ธ.กลางมาเลเซียมีความเห็นว่า อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของมาเลเซียจะถูก
กำหนดโดยข้อมูลพื้นฐานทางเศรษฐกิจ และจะดูแลรักษาความมีเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนไว้ โดยเฉพาะอย่าง
ยิ่งกับประเทศคู่ค้าของมาเลเซีย เพื่อส่งเสริมด้านการค้าและการลงทุน ทั้งนี้ นับตั้งแต่มาเลเซียเริ่มใช้อัตราแลก
เปลี่ยนเงินริงกิตระบบใหม่ยังไม่มีสัญญาณใด ๆ ชี้ให้เห็นถึงความไม่มีเสถียรภาพของค่าเงินริงกิต รวมถึงการเก็ง
กำไรค่าเงินด้วย อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่าข้อมูลทางเศรษฐกิจของไตรมาส 2 ไม่ได้เปลี่ยนแปลง
มุมมองที่ว่าช่วงเวลาการชะลอตัวลงต่ำสุดของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในตลาดโลกได้ผ่านไปแล้ว และคาดว่าการส่งออก
จะขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงครึ่งปีหลัง โดยสินค้าอิเล็กทรอนิสก์จะเริ่มกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งในปีนี้ ทั้งนี้
การขยายตัวทางเศรษฐกิจของมาเลเซียในปีนี้ลดลงเหลือ 118 พันล้านดอลลาร์ สรอ. แต่ยังคงดีที่สุดในเอเชีย
เนื่องจากการส่งออกน้ำมันดิบและน้ำมันปาล์ม รวมถึงภาคบริการที่ยังคงเติบโตดี ทำให้การส่งออกสินค้า
อิเล็กทรอนิกส์ที่ลดลงไม่ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจมากนัก โดยการส่งออกปีนี้นับถึงไตรมาส 2 ขยายตัวร้อยละ
9.2 ลดลงกว่าครึ่งหนึ่งจากระยะเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่ผู้ว่าการ ธ.กลางมาเลเซียกล่าวว่าเป้าหมายการ
ส่งออกในปีนี้ที่ตั้งไว้ที่ระดับร้อยละ 5-6 เป็นไปได้ รวมถึงปัจจัยบวกในด้านต่าง ๆ ที่คาดว่าจะทำให้เศรษฐกิจปรับ
ตัวดีขึ้นช่วงครึ่งปีหลัง (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 25 ส.ค. 48 24 ส.ค. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.118 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 40.9113/41.1959 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 2.82667 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 695.67/ 19.01 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,500/8,600 8,500/8,600 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 58.43 57.09 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 26.14*/22.99* 26.14*/22.99* 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม 40 สตางค์ เมื่อ 11 ส.ค. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท.เผยยังไม่ปรับประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจใหม่ในขณะนี้ แม้ฐานะดุลการค้าในเดือน ก.
ค.จะปรับตัวดีขึ้น ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็นที่ ธปท.จะต้อง
ปรับประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจใหม่ แม้ว่าฐานะดุลการค้าในเดือน ก.ค.นี้จะปรับตัวดีขึ้นจากช่วงก่อนหน้า
อย่างมาก โดยเชื่อว่า อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีนี้จะยังคงอยู่ในช่วงที่เคยประมาณการไว้ที่ร้อยละ 3.5-
4.5 ขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 3-4 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.ตามที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งหลังปี 48 คาดว่าภาวะเศรษฐกิจจะดีกว่าครึ่งปีแรก และคาดว่าฐานะดุลบัญชีเดินสะพัดใน
ครึ่งปีหลังจะเกินดุลประมาณ 2 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. จากผลดีของภาคการส่งออกที่จะขยายตัวได้มากในไตรมาส
4 ทั้งนี้ เศรษฐกิจในไตรมาส 2 ของปีนี้ถือเป็นช่วงภาวะเศรษฐกิจต่ำสุดในปี 48 ซึ่งสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและ
สังคมแห่งชาติ (สศช.) จะประกาศภาวะเศรษฐกิจจริงในวันที่ 5 ก.ย.นี้ (กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน,
บ้านเมือง, ข่าวสด)
2. ธปท.เตรียมความพร้อมของ ธพ.เพื่อใช้เกณฑ์ Basel II นางธาริษา วัฒนเกส รองผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงการเตรียมความพร้อมของ ธพ.เพื่อใช้เกณฑ์การกำกับและตรวจสอบ
สถาบันการเงินฉบับที่ 2 ของ ธ.เพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (บีไอเอส) หรือ Basel II ที่จะนำมาใช้
ตั้งแต่ปี 51 ว่า ต้องการให้ ธพ.แต่ละแห่งนำข้อมูลลูกหนี้และพฤติกรรมการกู้ยืมของลูกหนี้ของตนเองมาแลกเปลี่ยน
กัน เพื่อให้มีฐานข้อมูลที่กว้างยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการดำเนินงาน รวมทั้งลดภาระต้นทุนลง อย่างไรก็ตาม
จะเป็นตัวกลางในการทำข้อมูลเพื่อให้ ธพ.มีข้อมูลลูกหนี้มากเพียงพอ โดยจะขอความร่วมมือให้ ธพ. ทุกแห่งให้
ข้อมูลต่อ ธปท. เพื่อที่จะมีข้อมูลในการจัดอันอับความเสี่ยงของลูกหนี้ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะช่วยให้การปล่อยสินเชื่อ
ของ ธพ.ในอนาคตดีขึ้น และทำให้เงินที่กันสำรองหนี้ตาม Basel II ลดลงจากปัจจุบันได้ด้วย (ผู้จัดการรายวัน, โลกวันนี้)
3. ธปท.ยังไม่อนุญาตให้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิต นางธาริษา วัฒนเกส รองผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า กรณีที่ชมรมบัตรเครดิตมาหารือกับ ธปท.เพื่อขอขึ้นอัตราดอกเบี้ย
บัตรเครดิตนั้น ธปท.ยังไม่อนุญาตให้มีการปรับขึ้น เนื่องจากข้อมูลต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของธนาคารที่ประกอบธุรกรรมการ
ให้บริการบัตรเครดิตยังไม่เพียงพอที่จะให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แม้จะมีผู้ประกอบการบางรายที่มีต้นทุนสูงขึ้น จนจำ
เป็นต้องขอปรับอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 18 ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน แต่ ธพ.และ
ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังสามารถทำธุรกิจบัตรเครดิตภายใต้ต้นทุนและอัตราดอกเบี้ยเดิมได้ ทั้งนี้ แม้ผู้ประกอบการ
บัตรเครดิตจะชี้แจงว่าการหาเอกสารมาประกอบเพื่อชี้แจงต้นทุนที่เพิ่มขึ้นทำได้ยาก แต่เมื่อธุรกิจส่วนใหญ่ต้นทุนยังไม่
เพิ่มขึ้นจนเหมาะสมที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ก็ถือว่ายังไม่สามารถให้ขึ้นดอกเบี้ยได้ เพราะการให้ขึ้นดอกเบี้ยบัตร
เครดิตจะต้องเป็นการให้ปรับขึ้นทั้งหมดเป็นอัตราเดียวกัน ไม่ได้แยกเป็นรายธนาคาร (สยามรัฐ, ไทยรัฐ, แนวหน้า,
ข่าวสด, เดลินิวส์)
4. ดัชนีราคาส่งออกเดือน ก.ค.48 เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.9 เทียบต่อปี โฆษกประจำ ก.พาณิชย์ เปิด
เผยว่า ดัชนีราคาส่งออกประจำเดือน ก.ค.48 เท่ากับ 113.1 สูงขึ้นร้อยละ8.9 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ส่งผลให้ดัชนีราคาส่งออกเฉลี่ย 7 เดือน (ม.ค.-ก.ค.48) สูงขึ้นร้อยละ 7.5 ซึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันดิบใน
ตลาดโลกสูงขึ้น ทำให้การผลิตสินค้ามีต้นทุนสูงขึ้นในส่วนของวัตถุดิบนำเข้า เนื่องจากผู้ส่งออกได้ปรับฐานราคาสินค้า
ส่งออกในช่วงนี้ให้สอดคล้องกับราคาน้ำมัน นอกจากนี้เป็นผลจากดัชนีหมวดสินค้าเกษตรกรรมสูงขึ้นร้อยละ 3.2
เช่น ยางพารา จากผลผลิตลดลงขณะที่มีความต้องการสูงขึ้น ทั้งนี้ ราคาส่งออกที่มีทิศทางสูงขึ้นไม่กระทบกับศักยภาพ
การแข่งขันของไทย เพราะราคาน้ำมันส่งผลกระทบทั่วโลก อีกทั้งยังมีปัจจัยเสริมอื่น ๆ เช่น ภาวะค่าเงินบาทที่มี
เสถียรภาพมากขึ้น สำหรับแนวโน้มดัชนีราคาส่งออกทั้งปี 48 คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 113-115 หรือสูงขึ้นจากปีก่อน
ร้อยละ 7.8 (เดลินิวส์, มติชน)
5. บสท.สามารถบริหารจัดการหนี้ด้อยคุณภาพในไตรมาส 2 ปี 48 แล้วเสร็จร้อยละ 99.27
กรรมการผู้จัดการ บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของ บสท.ณ สิ้นไตรมาส 2
ปี 48 ว่า สามารถบริหารจัดการหนี้ด้อยคุณภาพแล้วเสร็จจำนวน 772,418 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 99.27 ของ
สินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่ได้รับโอนทั้งหมด 778,121 ล้านบาท โดยยุติด้วยกระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ 5.74 แสน
ล้านบาท หรือ 7,969 ราย คิดเป็นร้อยละ 74.29 เพิ่มขึ้นร้อยละ 68.60 จากสิ้นปี 47 ซึ่งลูกหนี้ดังกล่าวมีอัตรา
การได้รับชำระคืนอยู่ที่ร้อยละ 48.20 อย่างไรก็ตาม ยังมีลูกหนี้อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งยุติด้วยการบังคับหลักประกัน 1.99
แสนล้านบาทหรือร้อยละ 25.71 (กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน, มติชน, โลกวันนี้, บ้านเมือง, แนวหน้า)
6. นักวิชาการเผยการจัดทำเอฟทีเอ ไทย-ญี่ปุ่นส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้า 1.45 แสนล้านบาท ผอ.
ศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ ม.หอการค้าไทย เปิดเผยในการสัมมนา FTA ไทย-ญี่ปุ่น : ประเทศไทยจะได้
ประโยชน์หรือผลกระทบอะไร” ว่า ในปี 47 ที่ผ่านมา ไทยขาดดุลการค้าต่อญี่ปุ่นเป็นมูลค่า 350,000 ล้านบาท
และขาดดุลมาตลอด 30 ปีตั้งแต่ปี 17 เป็นต้นมา แม้การทำเอฟทีเอกับญี่ปุ่นจะเปิดตลาดสินค้าและบริการให้ไทย
จำนวนมาก เมื่อเทียบกับจำนวนรายการสินค้าที่ไทยเปิดตลาดให้ญี่ปุ่น แต่มูลค่าการส่งออกสินค้าที่ญี่ปุ่นเปิดให้ไทยนั้น
น้อยมากเมื่อเทียบกับสินค้าที่ไทยเปิดให้ญี่ปุ่น โดยสินค้าที่ญี่ปุ่นเปิดให้ไทยมีมูลค่าส่งออกรวม 85,000 ล้านบาท แต่
ไทยเปิดให้ญี่ปุ่น 230,000 ล้านบาท ดังนั้น ไทยจึงขาดดุลการค้าทันที 145,000 ล้านบาท อีกทั้งญี่ปุ่นยังกำหนดกฎ
แหล่งกำเนิดสินค้าที่ไม่เป็นธรรมกับฝ่ายไทย (ผู้จัดการรายวัน, ไทยรัฐ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. คำสั่งซื้อสินค้าจากโรงงานในอังกฤษในเดือน ส.ค.48 ลดลงมาอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบเกือบ
2 ปี รายงานจากลอนดอน เมื่อ 24 ส.ค.48 สภาอุตสาหกรรมของอังกฤษรายงานผลสำรวจคำสั่งซื้อสินค้าจากโรง
งานในอังกฤษในเดือน ส.ค.48 ลดลงมาอยู่ที่ระดับ — 29 ต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ปีนับตั้งแต่เดือน ต.ค.46 ตรงกัน
ข้ามกับที่คาดว่าจะดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ — 18 จากระดับ — 20 ในเดือน ก.ค.48 ผลสำรวจดังกล่าวซึ่งดำเนินการใน
ระหว่างวันที่ 26 ก.ค.ถึง 17 ส.ค.48 บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจของอังกฤษกำลังชะลอตัวลง แม้ว่าธุรกิจที่ถูกสำรวจคาด
ว่าจะเพิ่มกำลังการผลิตสินค้าในอีกหลายเดือนข้างหน้าแต่ก็เป็นผลจากคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเสียส่วนใหญ่ ในขณะ
ที่คำสั่งซื้อจากในประเทศยังมีน้อย ผลสำรวจดังกล่าวทำให้คาดกันว่า ธ.กลางอังกฤษจะลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในปี
นี้แต่นักวิเคราะห์คาดว่าจะไม่เร็วไปกว่าเดือน พ.ย.48 หลังจาก ธ.กลางอังกฤษเพิ่งลดอัตราดอกเบี้ยลงร้อยละ
0.25 ในเดือนนี้เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปี ทำให้อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 4.5 ต่อปี โดย
สภาอุตสาหกรรมของอังกฤษได้ปรับลดประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ลงเหลือร้อยละ 1.9 จาก
ประมาณการครั้งก่อนที่ร้อยละ 2.5 เมื่อเดือน พ.ค.48 ที่ผ่านมา (รอยเตอร์)
2. ดัชนีราคาผู้บริโภคของเยอรมนีในเดือนส.ค.ยังคงต่ำอยู่แม้ว่าราคาน้ำมันจะทำสถิติสูงสุดก็ตาม
รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 48 รัฐบาลเยอรมนีเปิดเผยว่า ในเดือนส.ค.ดัชนีราคาผู้บริโภค
(CPI) ของเยอรมนียังคงต่ำเนื่องจากอาหารตามฤดูกาลมีราคาถูกลงสามารถชดเชยราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นทำสถิติสูง
สุด ทำให้ตัวเลข CPI จาก 5 แคว้นสำคัญของเยอรมนีคือ Bavaria, North Rhine-Westphalia,
Saxony, Brandenburg และ Hesse ไม่เปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มขึ้นราวร้อยละ 0.2 จากเดือนก.ค. โดยตัวเลข
CPI ของทั้งประเทศยังคงใกล้เคียงกับเดือนก.ค. ทั้งนี้ CPI ของเยอรมนีสามารถแสดงแนวโน้มภาวะเงินเฟ้อของ
ยูโรโซนที่อยู่ที่ระดับร้อยละ 2.2 สูงกว่าที่ธ.กลางยุโรปกำหนดให้อยู่ในระดับร้อยละ 2.0 นักเศรษฐศาสตร์จาก
DZ Bank มีความเห็นว่าผลกระทบจากราคาน้ำมันต่อเงินเฟ้อจะมีมากขึ้นซึ่งต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดในการคาด
การณ์ภาวะเงินเฟ้อ ก่อนหน้านั้นผลการสำรวจของรอยเตอร์คาดว่า CPI ของเยอรมนีทั้งประเทศในเดือนส.ค. จะ
เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 จากเดือนก.ค.และหากเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว CPI เดือนส.ค.อยู่ที่ร้อยละ 1.9 ลดลง
จากร้อยละ 2.0 เมื่อเดือนก.ค. (รอยเตอร์)
3. เดือน ก.ค.48 ญี่ปุ่นเกินดุลการค้าลดลงร้อยละ 22.6 เทียบต่อปี รายงานจากโตเกียวเมื่อ
25 ส.ค.48 ก.คลัง เปิดเผยว่า เดือน ก.ค.48 ญี่ปุ่นเกินดุลการค้าเมื่อเทียบต่อปีลดลงร้อยละ 22.6 เป็น
จำนวน 873.6 พัน ล.เยน (7.93 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.) ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 แต่ยังคงสูงกว่าการคาด
การณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่าจะเกินดุลลดลงร้อยละ 35 เป็นจำนวน 730 พัน ล.เยน ขณะที่เมื่อเทียบต่อ
เดือนและปรับฤดูกาลแล้ว ยอดเกินดุลการค้าลดลงร้อยละ 10.2 เป็นจำนวน 604.9 พัน ล.เยน ทั้งนี้ การที่
ดุลการค้าของญี่ปุ่นลดลงในเดือน ก.ค.48 เป็นผลจากการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.6 เป็นจำนวน 4.66 ล้าน
ล้านเยน โดยมีสาเหตุหลักจากมูลค่าการนำเข้าน้ำมันซึ่งเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 48.5 ขณะที่การส่งออกเพิ่มขึ้นเพียงร้อย
ละ 4.3 เทียบต่อปีเป็นจำนวน 5.54 ล้านล้านเยน ตามการเพิ่มขึ้นของยอดการส่งออกเรือและเหล็กกล้า อนึ่ง นัก
เศรษฐศาสตร์เห็นราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นยังคงเป็นปัจจัยที่น่ากังวล อย่างไรก็ตาม จากการเปิดเผยข้อมูลผลิตภัณฑ์ใน
ประเทศ (จีดีพี) ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี (เม.ย.-มิ.ย.48) พบว่า มูลค่าการส่งออกสุทธิ ขยายตัวเป็นครั้ง
แรกในรอบ 4 ไตรมาส ขณะที่จีดีพีที่แท้จริง (real GDP) ขยายตัวร้อยละ 0.3 และความต้องการภายในประเทศ
ยังคงเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ (รอยเตอร์)
4. จีดีพีของมาเลเซียในไตรมาส 2 ปีนี้ขยายตัวต่ำสุดในรอบ 3 ปี รายงานจากกรุงกัวลาลัมเปอร์
ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 24 ส.ค.48 ธ.กลางของมาเลเซีย เปิดเผยว่า เศรษฐกิจของมาเลเซียในไตร
มาส 2 ปีนี้ขยายตัวร้อยละ 4.1 ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวต่ำสุดนับตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2545 และต่ำกว่าที่นัก
เศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 4.9 โดยมีสาเหตุจากการส่งออกชะลอตัวลง ทั้งนี้ มาเลเซียเป็นประเทศที่
ระบบเศรษฐกิจพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก มีการคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำโดยไม่คำนึงถึงภาวะเงินเฟ้อใน
ปัจจุบัน ซึ่งผู้ว่าการ ธ.กลางมาเลเซียมีความเห็นว่า อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของมาเลเซียจะถูก
กำหนดโดยข้อมูลพื้นฐานทางเศรษฐกิจ และจะดูแลรักษาความมีเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนไว้ โดยเฉพาะอย่าง
ยิ่งกับประเทศคู่ค้าของมาเลเซีย เพื่อส่งเสริมด้านการค้าและการลงทุน ทั้งนี้ นับตั้งแต่มาเลเซียเริ่มใช้อัตราแลก
เปลี่ยนเงินริงกิตระบบใหม่ยังไม่มีสัญญาณใด ๆ ชี้ให้เห็นถึงความไม่มีเสถียรภาพของค่าเงินริงกิต รวมถึงการเก็ง
กำไรค่าเงินด้วย อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่าข้อมูลทางเศรษฐกิจของไตรมาส 2 ไม่ได้เปลี่ยนแปลง
มุมมองที่ว่าช่วงเวลาการชะลอตัวลงต่ำสุดของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในตลาดโลกได้ผ่านไปแล้ว และคาดว่าการส่งออก
จะขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงครึ่งปีหลัง โดยสินค้าอิเล็กทรอนิสก์จะเริ่มกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งในปีนี้ ทั้งนี้
การขยายตัวทางเศรษฐกิจของมาเลเซียในปีนี้ลดลงเหลือ 118 พันล้านดอลลาร์ สรอ. แต่ยังคงดีที่สุดในเอเชีย
เนื่องจากการส่งออกน้ำมันดิบและน้ำมันปาล์ม รวมถึงภาคบริการที่ยังคงเติบโตดี ทำให้การส่งออกสินค้า
อิเล็กทรอนิกส์ที่ลดลงไม่ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจมากนัก โดยการส่งออกปีนี้นับถึงไตรมาส 2 ขยายตัวร้อยละ
9.2 ลดลงกว่าครึ่งหนึ่งจากระยะเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่ผู้ว่าการ ธ.กลางมาเลเซียกล่าวว่าเป้าหมายการ
ส่งออกในปีนี้ที่ตั้งไว้ที่ระดับร้อยละ 5-6 เป็นไปได้ รวมถึงปัจจัยบวกในด้านต่าง ๆ ที่คาดว่าจะทำให้เศรษฐกิจปรับ
ตัวดีขึ้นช่วงครึ่งปีหลัง (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 25 ส.ค. 48 24 ส.ค. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.118 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 40.9113/41.1959 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 2.82667 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 695.67/ 19.01 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,500/8,600 8,500/8,600 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 58.43 57.09 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 26.14*/22.99* 26.14*/22.99* 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม 40 สตางค์ เมื่อ 11 ส.ค. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--