อุตสาหกรรมยาเป็นอุตสาหกรรมที่ผลิตปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและสุขภาพของมนุษย์ จึงนับว่าเป็นอุตสาหกรรมที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมโดยรวม ทั้งด้านคุณภาพ ประสิทธิภาพ และความปลอดภัยในการบริโภค
ในไตรมาสแรกของปี 2548 มีประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องกำหนดจำนวนสถานที่ขายยาแผนปัจจุบันเฉพาะยาบรรจุเสร็จที่ไม่ใช่ยาอันตรายหรือยาควบคุมพิเศษในแต่ละจังหวัด เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2548 ประกาศฉบับดังกล่าวเป็นการควบคุมจำนวนร้านขายยาประเภท 2 ไม่ให้เกินจำนวนที่มีอยู่ทั้งหมดในปัจจุบันคือ 4,453 ร้าน หากร้านใดแจ้งเลิกกิจการ หรือถูกสั่งเพิกถอนใบอนุญาต ก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการอีก ยกเว้นกรณีเดียวคือ ผู้ได้รับอนุญาตเสียชีวิต ซึ่งผู้ที่มีคุณสมบัติสามารถยื่นแสดงความจำนงขอดำเนินกิจการต่อจากผู้เสียชีวิตต่อไปได้ การควบคุมจำนวนร้านขายยาประเภท 2 จะเป็นมาตรการหนึ่งที่ป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคซื้อยามารับประทานเองหรือบริโภคยาเกินความจำเป็น ลดการนำเข้ายาสำเร็จรูป และลดจำนวนร้านขายยาที่มีผู้ประกอบการซึ่งไม่ใช่เภสัชกรโดยตรงลง
1. การผลิตในประเทศ
ปริมาณการผลิตยาและผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมในไตรมาสแรกของปี 2548 มีประมาณ 6,369.6 ตัน เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 16 โดยการผลิตยาทุกประเภทเพิ่มขึ้น ยกเว้น ยาเม็ด และเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.7 ซึ่งยาทุกประเภทมีการผลิต เพิ่มขึ้น ยกเว้นยาแคปซูลและยาฉีด (ตารางที่ 1 และ 2) การขยายตัวของปริมาณการผลิต เนื่องมาจาก ผู้ประกอบการได้ทำการปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักรให้ดีขึ้น และเพิ่มกำลังการผลิต
2. การจำหน่ายในประเทศ
ปริมาณการจำหน่ายยาและผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมในไตรมาสแรกของปี 2548 มีประมาณ 5,783.3 ตัน ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 12.8 โดยยาทุกประเภทมีการจำหน่ายเพิ่มขึ้น ยกเว้นยาแดงและยาผง และเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ปริมาณการจำหน่ายเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 ซึ่งยาน้ำและยาฉีดมีการจำหน่ายเพิ่มขึ้น (ตารางที่ 1 และ 3) โครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง ยังคงทำให้สถานพยาบาลโดยเฉพาะโรงพยาบาลของรัฐ มีความต้องการยาที่ผลิตจากภายในประเทศเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ปริมาณการจำหน่ายยาขยายตัวเพิ่มขึ้น
3. การนำเข้า
การนำเข้าผลิตภัณฑ์เภสัชภัณฑ์ ไตรมาสแรกของปี 2548 มีมูลค่า 6,074 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 11.5 และขยายตัวเพิ่มจากไตรมาสก่อนร้อยละ 15 โดยตลาดนำเข้าที่สำคัญในไตรมาสนี้ ได้แก่ ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา เยอรมนี สหราชอาณาจักร และสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งการนำเข้าจากประเทศดังกล่าวมีมูลค่ารวม 2,959.8 ล้านบาท หรือร้อยละ 48.7 ของมูลค่าการนำเข้าผลิตภัณฑ์เภสัชภัณฑ์ทั้งหมด การขยายตัวของการนำเข้า มีปัจจัยสำคัญมาจากการนำเข้ายาต้นตำรับ และยารักษาโรคที่เป็นยาสำเร็จรูปราคาแพง มีสิทธิบัตร ไม่สามารถผลิตได้ในประเทศเพิ่มมากขึ้น (ตารางที่ 4)
4. การส่งออก
การส่งออกผลิตภัณฑ์เภสัชภัณฑ์ ไตรมาสแรกของปี 2548 มีมูลค่า 1,323.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 20.5 เนื่องจากมีการส่งออกสินค้าประเภทวิตามิน ยาสามัญประจำบ้าน ยาแก้ปวดลดไข้ รวมถึงการส่งออกสมุนไพรบดเพิ่มขึ้น สำหรับตลาดส่งออกที่สำคัญในไตรมาสนี้ ได้แก่ เวียดนาม กัมพูชา เมียนมาร์ มาเลเซีย และสิงคโปร์ โดยการส่งออกไปประเทศดังกล่าวมีมูลค่ารวม 731.8 ล้านบาท หรือร้อยละ 55.3 ของมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์เภสัชภัณฑ์ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน มูลค่าการส่งออกหดตัวลงร้อยละ 10.3 เนื่องจากมีการส่งออกยารักษาโรค และวัคซีนสำหรับรักษามนุษย์ลดลงมาก (ตารางที่ 4)
5. สรุปและแนวโน้ม
ในไตรมาสแรกของปี 2548 มีประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องกำหนดจำนวนสถานที่ขายยาแผนปัจจุบันเฉพาะยาบรรจุเสร็จที่ไม่ใช่ยาอันตรายหรือยาควบคุมพิเศษในแต่ละจังหวัด ซึ่งจะเป็นมาตรการหนึ่งที่ป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคซื้อยามารับประทานเองหรือบริโภคยาเกินความจำเป็น ลดการนำเข้ายาสำเร็จรูป และจำนวนร้านขายยาที่มีผู้ประกอบการซึ่งไม่ใช่เภสัชกรโดยตรงลง
ด้านการผลิตในไตรมาสนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากผู้ประกอบการทำการปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักร และเพิ่มกำลังการผลิต โครงการประกัน สุขภาพถ้วนหน้าที่ดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง ยังคงทำให้สถานพยาบาลโดยเฉพาะโรงพยาบาลของรัฐ มีความต้องการยาที่ผลิตจากภายในประเทศเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ปริมาณการจำหน่ายยาขยายตัวเพิ่มขึ้น สำหรับมูลค่าการนำเข้าขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยปัจจัยสำคัญยังคงมาจากมีการนำเข้ายาต้นตำรับ และยารักษาโรค ที่มีสิทธิบัตร เพิ่มมากขึ้น ส่วนมูลค่าการส่งออก มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน เนื่องจากมีการส่งออก สินค้าประเภทวิตามิน ยาสามัญประจำบ้าน ยาแก้ปวดลดไข้ รวมถึงการส่งออกสมุนไพรบดเพิ่มขึ้น
สำหรับในไตรมาสที่ 2 ของปี 2548 คาดว่าปริมาณการผลิตและการจำหน่ายในประเทศ ยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นโดยมีปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายสาธารณสุขของรัฐบาล ผ่านโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า ที่มีผลให้การเข้าถึงยาของประชาชนขยายวงกว้างขึ้น ส่งผลให้ปริมาณความต้องการบริโภคยาที่ผลิตในประเทศเพิ่มขึ้น ด้านการส่งออกคาดว่าจะขยายตัวดีขึ้น เนื่องจากประเทศคู่ค้ายังคงนำเข้าสินค้าจากไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับการนำเข้าคาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยเป็นการนำเข้ายาที่มีสิทธิบัตรและยาต้นตำรับ
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-
ในไตรมาสแรกของปี 2548 มีประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องกำหนดจำนวนสถานที่ขายยาแผนปัจจุบันเฉพาะยาบรรจุเสร็จที่ไม่ใช่ยาอันตรายหรือยาควบคุมพิเศษในแต่ละจังหวัด เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2548 ประกาศฉบับดังกล่าวเป็นการควบคุมจำนวนร้านขายยาประเภท 2 ไม่ให้เกินจำนวนที่มีอยู่ทั้งหมดในปัจจุบันคือ 4,453 ร้าน หากร้านใดแจ้งเลิกกิจการ หรือถูกสั่งเพิกถอนใบอนุญาต ก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการอีก ยกเว้นกรณีเดียวคือ ผู้ได้รับอนุญาตเสียชีวิต ซึ่งผู้ที่มีคุณสมบัติสามารถยื่นแสดงความจำนงขอดำเนินกิจการต่อจากผู้เสียชีวิตต่อไปได้ การควบคุมจำนวนร้านขายยาประเภท 2 จะเป็นมาตรการหนึ่งที่ป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคซื้อยามารับประทานเองหรือบริโภคยาเกินความจำเป็น ลดการนำเข้ายาสำเร็จรูป และลดจำนวนร้านขายยาที่มีผู้ประกอบการซึ่งไม่ใช่เภสัชกรโดยตรงลง
1. การผลิตในประเทศ
ปริมาณการผลิตยาและผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมในไตรมาสแรกของปี 2548 มีประมาณ 6,369.6 ตัน เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 16 โดยการผลิตยาทุกประเภทเพิ่มขึ้น ยกเว้น ยาเม็ด และเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.7 ซึ่งยาทุกประเภทมีการผลิต เพิ่มขึ้น ยกเว้นยาแคปซูลและยาฉีด (ตารางที่ 1 และ 2) การขยายตัวของปริมาณการผลิต เนื่องมาจาก ผู้ประกอบการได้ทำการปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักรให้ดีขึ้น และเพิ่มกำลังการผลิต
2. การจำหน่ายในประเทศ
ปริมาณการจำหน่ายยาและผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมในไตรมาสแรกของปี 2548 มีประมาณ 5,783.3 ตัน ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 12.8 โดยยาทุกประเภทมีการจำหน่ายเพิ่มขึ้น ยกเว้นยาแดงและยาผง และเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ปริมาณการจำหน่ายเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 ซึ่งยาน้ำและยาฉีดมีการจำหน่ายเพิ่มขึ้น (ตารางที่ 1 และ 3) โครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง ยังคงทำให้สถานพยาบาลโดยเฉพาะโรงพยาบาลของรัฐ มีความต้องการยาที่ผลิตจากภายในประเทศเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ปริมาณการจำหน่ายยาขยายตัวเพิ่มขึ้น
3. การนำเข้า
การนำเข้าผลิตภัณฑ์เภสัชภัณฑ์ ไตรมาสแรกของปี 2548 มีมูลค่า 6,074 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 11.5 และขยายตัวเพิ่มจากไตรมาสก่อนร้อยละ 15 โดยตลาดนำเข้าที่สำคัญในไตรมาสนี้ ได้แก่ ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา เยอรมนี สหราชอาณาจักร และสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งการนำเข้าจากประเทศดังกล่าวมีมูลค่ารวม 2,959.8 ล้านบาท หรือร้อยละ 48.7 ของมูลค่าการนำเข้าผลิตภัณฑ์เภสัชภัณฑ์ทั้งหมด การขยายตัวของการนำเข้า มีปัจจัยสำคัญมาจากการนำเข้ายาต้นตำรับ และยารักษาโรคที่เป็นยาสำเร็จรูปราคาแพง มีสิทธิบัตร ไม่สามารถผลิตได้ในประเทศเพิ่มมากขึ้น (ตารางที่ 4)
4. การส่งออก
การส่งออกผลิตภัณฑ์เภสัชภัณฑ์ ไตรมาสแรกของปี 2548 มีมูลค่า 1,323.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 20.5 เนื่องจากมีการส่งออกสินค้าประเภทวิตามิน ยาสามัญประจำบ้าน ยาแก้ปวดลดไข้ รวมถึงการส่งออกสมุนไพรบดเพิ่มขึ้น สำหรับตลาดส่งออกที่สำคัญในไตรมาสนี้ ได้แก่ เวียดนาม กัมพูชา เมียนมาร์ มาเลเซีย และสิงคโปร์ โดยการส่งออกไปประเทศดังกล่าวมีมูลค่ารวม 731.8 ล้านบาท หรือร้อยละ 55.3 ของมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์เภสัชภัณฑ์ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน มูลค่าการส่งออกหดตัวลงร้อยละ 10.3 เนื่องจากมีการส่งออกยารักษาโรค และวัคซีนสำหรับรักษามนุษย์ลดลงมาก (ตารางที่ 4)
5. สรุปและแนวโน้ม
ในไตรมาสแรกของปี 2548 มีประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องกำหนดจำนวนสถานที่ขายยาแผนปัจจุบันเฉพาะยาบรรจุเสร็จที่ไม่ใช่ยาอันตรายหรือยาควบคุมพิเศษในแต่ละจังหวัด ซึ่งจะเป็นมาตรการหนึ่งที่ป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคซื้อยามารับประทานเองหรือบริโภคยาเกินความจำเป็น ลดการนำเข้ายาสำเร็จรูป และจำนวนร้านขายยาที่มีผู้ประกอบการซึ่งไม่ใช่เภสัชกรโดยตรงลง
ด้านการผลิตในไตรมาสนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากผู้ประกอบการทำการปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักร และเพิ่มกำลังการผลิต โครงการประกัน สุขภาพถ้วนหน้าที่ดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง ยังคงทำให้สถานพยาบาลโดยเฉพาะโรงพยาบาลของรัฐ มีความต้องการยาที่ผลิตจากภายในประเทศเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ปริมาณการจำหน่ายยาขยายตัวเพิ่มขึ้น สำหรับมูลค่าการนำเข้าขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยปัจจัยสำคัญยังคงมาจากมีการนำเข้ายาต้นตำรับ และยารักษาโรค ที่มีสิทธิบัตร เพิ่มมากขึ้น ส่วนมูลค่าการส่งออก มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน เนื่องจากมีการส่งออก สินค้าประเภทวิตามิน ยาสามัญประจำบ้าน ยาแก้ปวดลดไข้ รวมถึงการส่งออกสมุนไพรบดเพิ่มขึ้น
สำหรับในไตรมาสที่ 2 ของปี 2548 คาดว่าปริมาณการผลิตและการจำหน่ายในประเทศ ยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นโดยมีปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายสาธารณสุขของรัฐบาล ผ่านโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า ที่มีผลให้การเข้าถึงยาของประชาชนขยายวงกว้างขึ้น ส่งผลให้ปริมาณความต้องการบริโภคยาที่ผลิตในประเทศเพิ่มขึ้น ด้านการส่งออกคาดว่าจะขยายตัวดีขึ้น เนื่องจากประเทศคู่ค้ายังคงนำเข้าสินค้าจากไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับการนำเข้าคาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยเป็นการนำเข้ายาที่มีสิทธิบัตรและยาต้นตำรับ
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-