ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท.ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยอาร์พี 14 วันไว้ที่ร้อยละ 5 เช่นเดิม ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วัน
ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่อัตราร้อยละ 5 ต่อปี เนื่องจาก กนง.เห็นว่า ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันสามารถปรับตัวได้ดีทั้งด้านเสถียรภาพและ
การเติบโตของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม แม้จะเห็นว่าเศรษฐกิจปรับตัวได้ดี แต่ กนง.ยังคงเห็นว่า อัตราเงินเฟ้อยังเป็นปัจจัยความเสี่ยงที่ยังคงมี
อยู่ และจะต้องระมัดระวังในระยะต่อไป เพราะแม้ว่าราคาน้ำมันจะลดลง และทำให้อัตราเงินเฟ้อลดลง และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลในช่วงที่
ผ่านมา แต่ความไม่แน่นอนด้านราคาน้ำมันก็ยังคงมีอยู่ ทั้งนี้ ธปท.คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบดูไบทั้งปีนี้ว่าจะไม่ต่ำกว่า 71 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล
ซึ่งในไตรมาสที่ผ่านมา ราคาน้ำมันจริงก็มีระดับราคาที่ต่ำกว่าที่ ธปท.คาดการณ์ไว้ (กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน, โพสต์ทูเดย์, มติชน, แนวหน้า)
2. เอ็นพีแอลไตรมาส 2 ปี 49 กลับเพิ่มขึ้นครั้งแรกหลังวิกฤติเศรษฐกิจที่ร้อยละ 8.23 ของสินเชื่อรวม รายงานจากธนาคาร
แห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ในไตรมาส 2 ปี 49 มีจำนวน 484,701 ล้านบาท หรือร้อยละ
8.23 ของสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นจาก 473,000 ล้านบาท หรือร้อยละ 7.97 ของสินเชื่อรวมในไตรมาสก่อนหน้า 11,701 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการ
เพิ่มขึ้นของหนี้เอ็นพีแอลครั้งแรก หลังจากที่ลดลงต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 40 โดยเป็นหนี้เอ็นพีแอลรายใหม่ 42,197 ล้านบาท หรือ
เพิ่มขึ้นร้อยละ 25 และมีหนี้เอ็นพีแอลที่เคยปรับโครงสร้างหนี้สำเร็จ กลับมาเป็นหนี้เอ็นพีแอลใหม่ (Re-Entry) จำนวน 22,892 ล้านบาท
เพิ่มขึ้นร้อยละ 70 สำหรับยอดหนี้เอ็นพีแอลที่เกิดขึ้นใหม่ในไตรมาส 2 ของปีนี้สูงสุด คือ ภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 14,704 ล้านบาท รองลงมา คือ
ภาคการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล 7,591 ล้านบาท (ไทยรัฐ, โพสต์ทูเดย์, บ้านเมือง, ข่าวสด)
3. สมาคมนักวิเคราะห์ปรับดัชนีตลาดหลักทรัพย์เฉลี่ยเหลือ 740 จุด พร้อมปรับจีดีพีปี 49 ลดลงอยู่ที่ร้อยละ 4.2 เลขาธิการ สมาคม
นักวิเคราะห์ กล่าวว่า ผลสำรวจนักวิเคราะห์จาก บ.หลักทรัพย์รวม 19 แห่ง แสดงความเห็นว่า ปัจจัยบวกที่มีผลต่อการลงทุนในตลาดหุ้นช่วงเดือน
ก.ย.-ธ.ค.49 โดยให้น้ำหนักเรื่องแนวโน้มดอกเบี้ยทรงตัวหรือน่าจะถึงหรือใกล้ถึงจุดสูงสุดแล้วเป็นอันดับหนึ่งมากถึงร้อยละ 68 และอันดับสอง
ร้อยละ 53 ก็คือ ปัจจัยการเมืองที่มีความชัดเจนขึ้น และอันดับสาม คือ อัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลง ซึ่งมีผู้ตอบรับร้อยละ 37 ส่วนปัจจัยลบที่
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า กระทบต่อบรรยากาศการลงทุน ก็คือ ประเด็นแรกทางการเมือง ซึ่งรวมถึงความขัดแย้งและการเลือกตั้งที่ล่าช้า
ให้น้ำหนักมากถึงร้อยละ 95 ขณะที่ประเด็นรองลงมา ก็คือ ราคาน้ำมันที่ยังคงทรงตัวในระดับสูงให้น้ำหนักร้อยละ 47 และประเด็นที่สาม คือ
ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวร้อยละ 37 นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ประมาณร้อยละ 79 ให้ความสำคัญต่อข่าวเรื่องความพยายามในการลอบสังหาร
รักษาการ นรม.น้อย ส่วนผลกระทบของการเลื่อนวันเลือกตั้งออกไปอีก 30-60 วันที่มีต่อตลาดหุ้น นักวิเคราะห์ร้อยละ 42 มองว่ามีผลกระทบน้อย
และร้อยละ 37 เห็นว่ามีผลกระทบปานกลาง ส่วนดัชนีตลาดหลักทรัพย์เฉลี่ยที่ระดับ 740 จุด ซึ่งลดลงจากการสำรวจที่ผ่านมาที่ 800 จุด โดยมี
ประมาณการสูงสุด 800 จุด และต่ำสุด 687 จุด นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ได้ปรับประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจปี 49 ลดลงจากผลสำรวจเดือน
พ.ค. โดยคาดว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ GDP Growth เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 4.2 ซึ่งใกล้เคียงกับการสำรวจครั้งก่อนซึ่งอยู่ที่ร้อยละ
4.3 (กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน)
4. ธ.โลกประกาศให้ไทยเป็นประเทศที่น่าลงทุนเป็นอันดับที่ 18 Kazi M.Matin เศรษฐกรอาวุโส เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ
หัวหน้าหน่วยเศรษฐกิจของ ธ.โลก เปิดเผยรายงานฉบับที่ 4 ของปีนี้ ที่ ธ.โลกจัดทำร่วมกับบรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ เรื่อง การจัดอันดับ
ประเทศที่มีบรรยากาศเอื้อต่อการลงทุนทำธุรกิจมากที่สุดในโลก ในปี 50 ปรากฏว่าประเทศไทยได้รับการจัดอันดับดีขึ้นเล็กน้อย จากลำดับที่ 19
มาอยู่ที่ 18 ติดอันดับ 3 ของกลุ่มประเทศอาเซียน จากการจัดอันดับทั้งหมด 175 ประเทศ ขณะที่ประเทศสิงคโปร์เป็นประเทศที่น่าลงทุนที่สุด
จากเดิมที่เป็นประเทศนิวซีแลนด์ ซึ่งตกลงไปอยู่ในอันดับที่ 2 ส่วนอันดับที่ 3 ได้แก่ สรอ. อันดับ 4 คือ แคนาดา และอันดับ 5 คือ ฮ่องกง ทั้งนี้
รายงานดังกล่าวได้สำรวจความคิดเห็นของบริษัทเอกชนทั่วโลก 30,000 แห่ง เป็นเอกชนไทยจำนวน 1,385 แห่ง ถึงดัชนีชี้วัดทางธุรกิจ 10 ตัว
(ผู้จัดการรายวัน, โลกวันนี้, ไทยรัฐ, โพสต์ทูเดย์, มติชน, แนวหน้า)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. EU ปรับเพิ่มประมาณการเติบโตจีดีพีของเขตยูโรปีนี้เป็นร้อยละ 2.5 รายงานกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยม เมื่อวันที่
6 ก.ย.49 คณะกรรมาธิการของสหภาพยุโรป (European Commission) ปรับเพิ่มประมาณการเติบโตของเขตยูโรปี 49 เป็นร้อยละ 2.5
จากที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อเดือน พ.ค. ร้อยละ 2.1 ซึ่งจะเป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดนับตั้งแต่ปี 43 และเป็นเกือบสองเท่าของปี 48 ที่ขยาย
ตัวร้อยละ 1.3 ทั้งนี้ ตัวเลขใหม่นี้เป็นค่ากลางของการพยากรณ์ครั้งใหม่ของ ธ.กลางสหภาพยุโรปเมื่อสัปดาห์ก่อน โดย EC กล่าวว่ามุมมองต่อ
การขยายตัวของเศรษฐกิจในปัจจุบันอาจจะส่งผลให้มีการปรับปรุงตัวเลขเศรษฐกิจสำหรับปี 50 เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน แต่ผลกระทบจากปีนี้ที่อาจตกทอด
เข้าสู่ปี 50 ก็เป็นเรื่องที่ต้องมีการประเมินอย่างละเอียดรอบคอบ ทั้งนี้ การขยายตัวทางเศรษฐกิจปี 49 จะถูกขับเคลื่อนจากเศรษฐกิจภายใน
ประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะด้านการลงทุน แต่อัตราเงินเฟ้อใน 12 ประเทศสมาชิกที่ใช้เงินสกุลยูโรจะเพิ่มสูงขึ้นด้วยเช่นกันที่ระดับร้อยละ 2.3
จากที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 2.2 โดย ธ.กลางสหภาพยุโรปคาดการณ์ไว้เมื่อสัปดาห์ก่อนว่าอัตราเงินเฟ้อปีนี้จะอยู่ที่ระดับร้อยละ 2.3 — 2.5
ปรับเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2.1 — 2.5 ซึ่งเป็นผลมาจากราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ถ้าไม่นับรวมราคาพลังงานและต้นทุนอาหารไม่แปรรูปที่
เปลี่ยนแปลงง่ายแล้ว อัตราเงินเฟ้อยังคงขยายตัวในระดับที่ควบคุมได้ ในขณะที่สมาชิกบางคนของคณะกรรมาธิการด้านกิจการทางการเงินและ
เศรษฐกิจ เรียกร้องให้ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปรีบใช้ข้อได้เปรียบจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจในการปรับลดการขาดดุลงบประมาณและปฏิรูป
โครงสร้างเศรษฐกิจ เพื่อเพิ่มศักยภาพการเติบโตที่ยังอยู่ในระดับต่ำและจัดการสำรองไว้เมื่อเศรษฐกิจเกิดปัญหาขึ้นในอนาคต (รอยเตอร์)
2. ความเชื่อมั่นของธุรกิจบริการในอังกฤษลดลงหลังการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธ.กลางอังกฤษครั้งล่าสุดเมื่อต้นเดือน
ส.ค.49 ที่ผ่านมา รายงานจากลอนดอน เมื่อ 7 ก.ย.49 รายงานผลสำรวจธุรกิจบริการรายไตรมาสในระหว่างวันที่ 27 ก.ค.ถึง 9 ส.ค.49
โดยสภาอุตสาหกรรมของอังกฤษชี้ว่าในการสำรวจครั้งนี้มีจำนวนผู้ที่เห็นว่าธุรกิจของตนเองดีขึ้นน้อยกว่าผลสำรวจครั้งก่อนเป็นจำนวนร้อยละ 29
โดยมีจำนวนธุรกิจที่รายงานว่าปริมาณธุรกรรมในช่วง 3 เดือนสิ้นสุดเดือน ส.ค.49 ลดลงมากกว่าผลสำรวจครั้งก่อนร้อยละ 35 สูงสุดนับตั้งแต่
เดือน พ.ย.44 ในขณะที่มีจำนวนธุรกิจที่คาดว่าปริมาณธุรกรรมในอีก 3 เดือนข้างหน้าจะลดลงในการสำรวจครั้งนี้มากกว่าผลสำรวจครั้งก่อนอยู่
ร้อยละ 10 ต่ำสุดในรอบ 3 ปี ทั้งนี้นักวิเคราะห์คาดว่าเป็นผลมาจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธ.กลางอังกฤษเมื่อต้นเดือน ส.ค.49
ที่ผ่านมาอีกร้อยละ 0.25 ต่อปี เพื่อชะลอภาวะเงินเฟ้อซึ่งอยู่ในระดับสูงกว่าร้อยละ 2.0 ที่ตั้งเป้าไว้ ทำให้อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ
4.75 ต่อปี ซึ่งมีส่วนทำให้ผู้บริโภคชะลอการใช้จ่ายลงเนื่องจากมีภาระค่าใช้จ่ายด้านดอกเบี้ยสูงขึ้น นอกเหนือจากค่าใช้จ่ายที่สูงอยู่แล้วจากราคา
น้ำมันและค่าสาธารณูปโภคที่เพิ่มขึ้น (รอยเตอร์)
3. ผลผลิตโรงงานของอังกฤษในเดือน ก.ค.49 เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ร้อยละ 0.2 เทียบต่อเดือน รายงานจากลอนดอน
เมื่อ 6 ก.ย.49 The Office for National Statistics เปิดเผยว่า ผลผลิตโรงงานของอังกฤษในเดือน ก.ค.49 เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็น
เดือนที่ 3 ร้อยละ 0.2 เทียบต่อเดือน ขณะที่ผลผลิตอุตสาหกรรมซึ่งรวมภาคพลังงานในเดือนเดียวกันก็เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 เทียบต่อเดือนเช่นกัน
โดยนักเศรษฐศาสตร์แสดงความเห็นว่าตัวเลขผลผลิตโรงงานและผลผลิตอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นตามการคาดการณ์ แสดงถึงสัญญาณการฟื้นตัวของภาค
อุตสาหกรรม แต่ก็ยังไม่อาจเป็นปัจจัยให้ ธ.กลางอังกฤษปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอีกจากเป้าหมายเดิมที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่
ร้อยละ 4.75 ในการประชุมวันพฤหัสบดีที่ 7 ก.ย.นี้ ทั้งนี้ ธ.กลางอังกฤษกำหนดเป้าหมายที่จะควบคุมอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้เพิ่มขึ้นที่ระดับ
ร้อยละ 5.0 ในเดือน พ.ย.49 เพื่อบรรเทาภาวะเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตาม คงจะต้องขึ้นอยู่กับการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วง 2 เดือนข้างหน้าว่า
จะปรับตัวดีขึ้นมากน้อยเพียงใด (รอยเตอร์)
4. ADB ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคเอเซียยกเว้นญี่ปุ่นเป็นร้อยละ 7.7 รายงานจาก Manila
เมื่อวันที่ 6 ก.ย. 49 Asian Development Bank — ADB ปรับเพิ่มประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆในภูมิภาคเอเชีย
ยกเว้นญี่ปุ่นในปีนี้เป็นร้อยละ 7.7 เพิ่มขึ้นจากคาดการณ์ไว้เมื่อเดือน ส.ค. ที่ร้อยละ 7.2 และที่คาดการณ์ไว้เมื่อปี 48 ที่ร้อยละ 7.6 ส่วนปีหน้า
คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 7.1 มากกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิมก่อนหน้านั้นว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวร้อยละ 7 ซึ่งยังคงต่ำกว่าปีนี้ เนื่องจากคาดว่าอุปสงค์
จากประเทศสรอ. และสหภาพยุโรปจะชะลอลง ขณะที่ราคาน้ำมันยังคงอยู่ในระดับสูง ทั้งนี้นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจาก ADB กล่าวว่าประเทศต่างๆ
ในภูมิภาคเอเซียยังคงเผชิญกับความเสี่ยงเนื่องจากการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ สรอ. และยูโรโซน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ในสินค้า
และบริการ ส่วนประเทศจีน ADB คาดว่าการส่งออกและการลงทุนที่ขยายตัวอย่างมากจะช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจปี 49 ขยายตัวร้อยละ 10.4 จาก
เดิมคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 9.5 ทั้งนี้ในปี 48 เศรษฐกิจจีนเติบโตจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 10.2 แม้ว่าจีนจะพยายามลดความร้อนแรงทาง
เศรษฐกิจแล้วก็ตาม ซึ่ง ADB ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจจีนในปี 50 ไว้ที่ร้อยละ 9.5 เพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิมร้อยละ
8.8 เนื่องจากการใช้จ่ายสาธารณะเพิ่มขึ้นก่อนการฉลองครบรอบ 17 ปีพรรคคอมมิวนิสต์ และการเตรียมความพร้อมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในปี
51 นอกจากนั้น ADB เห็นว่าจีนจำเป็นต้องปล่อยให้เงินหยวนมีความยืดหยุ่นมากขึ้นเพื่อลดการขาดดุลการค้าระหว่าง สรอ. (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 7 ก.ย. 49 6 ก.ย. 49 31 ม.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 37.361 39.078 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 37.1830/37.4774 38.9113/39.2013 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 5.11438 4.29375 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 701.96/8.11 762.63/12.66 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 11,150/11,250 11,200/11,300 10,350/10,450 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 62.24 62.96 60.96 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับลดลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 7 ก.ย. 49 27.69*/26.89* 28.09/27.29 27.24/24.69 ปตท.
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท.ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยอาร์พี 14 วันไว้ที่ร้อยละ 5 เช่นเดิม ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วัน
ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่อัตราร้อยละ 5 ต่อปี เนื่องจาก กนง.เห็นว่า ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันสามารถปรับตัวได้ดีทั้งด้านเสถียรภาพและ
การเติบโตของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม แม้จะเห็นว่าเศรษฐกิจปรับตัวได้ดี แต่ กนง.ยังคงเห็นว่า อัตราเงินเฟ้อยังเป็นปัจจัยความเสี่ยงที่ยังคงมี
อยู่ และจะต้องระมัดระวังในระยะต่อไป เพราะแม้ว่าราคาน้ำมันจะลดลง และทำให้อัตราเงินเฟ้อลดลง และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลในช่วงที่
ผ่านมา แต่ความไม่แน่นอนด้านราคาน้ำมันก็ยังคงมีอยู่ ทั้งนี้ ธปท.คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบดูไบทั้งปีนี้ว่าจะไม่ต่ำกว่า 71 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล
ซึ่งในไตรมาสที่ผ่านมา ราคาน้ำมันจริงก็มีระดับราคาที่ต่ำกว่าที่ ธปท.คาดการณ์ไว้ (กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน, โพสต์ทูเดย์, มติชน, แนวหน้า)
2. เอ็นพีแอลไตรมาส 2 ปี 49 กลับเพิ่มขึ้นครั้งแรกหลังวิกฤติเศรษฐกิจที่ร้อยละ 8.23 ของสินเชื่อรวม รายงานจากธนาคาร
แห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ในไตรมาส 2 ปี 49 มีจำนวน 484,701 ล้านบาท หรือร้อยละ
8.23 ของสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นจาก 473,000 ล้านบาท หรือร้อยละ 7.97 ของสินเชื่อรวมในไตรมาสก่อนหน้า 11,701 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการ
เพิ่มขึ้นของหนี้เอ็นพีแอลครั้งแรก หลังจากที่ลดลงต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 40 โดยเป็นหนี้เอ็นพีแอลรายใหม่ 42,197 ล้านบาท หรือ
เพิ่มขึ้นร้อยละ 25 และมีหนี้เอ็นพีแอลที่เคยปรับโครงสร้างหนี้สำเร็จ กลับมาเป็นหนี้เอ็นพีแอลใหม่ (Re-Entry) จำนวน 22,892 ล้านบาท
เพิ่มขึ้นร้อยละ 70 สำหรับยอดหนี้เอ็นพีแอลที่เกิดขึ้นใหม่ในไตรมาส 2 ของปีนี้สูงสุด คือ ภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 14,704 ล้านบาท รองลงมา คือ
ภาคการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล 7,591 ล้านบาท (ไทยรัฐ, โพสต์ทูเดย์, บ้านเมือง, ข่าวสด)
3. สมาคมนักวิเคราะห์ปรับดัชนีตลาดหลักทรัพย์เฉลี่ยเหลือ 740 จุด พร้อมปรับจีดีพีปี 49 ลดลงอยู่ที่ร้อยละ 4.2 เลขาธิการ สมาคม
นักวิเคราะห์ กล่าวว่า ผลสำรวจนักวิเคราะห์จาก บ.หลักทรัพย์รวม 19 แห่ง แสดงความเห็นว่า ปัจจัยบวกที่มีผลต่อการลงทุนในตลาดหุ้นช่วงเดือน
ก.ย.-ธ.ค.49 โดยให้น้ำหนักเรื่องแนวโน้มดอกเบี้ยทรงตัวหรือน่าจะถึงหรือใกล้ถึงจุดสูงสุดแล้วเป็นอันดับหนึ่งมากถึงร้อยละ 68 และอันดับสอง
ร้อยละ 53 ก็คือ ปัจจัยการเมืองที่มีความชัดเจนขึ้น และอันดับสาม คือ อัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลง ซึ่งมีผู้ตอบรับร้อยละ 37 ส่วนปัจจัยลบที่
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า กระทบต่อบรรยากาศการลงทุน ก็คือ ประเด็นแรกทางการเมือง ซึ่งรวมถึงความขัดแย้งและการเลือกตั้งที่ล่าช้า
ให้น้ำหนักมากถึงร้อยละ 95 ขณะที่ประเด็นรองลงมา ก็คือ ราคาน้ำมันที่ยังคงทรงตัวในระดับสูงให้น้ำหนักร้อยละ 47 และประเด็นที่สาม คือ
ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวร้อยละ 37 นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ประมาณร้อยละ 79 ให้ความสำคัญต่อข่าวเรื่องความพยายามในการลอบสังหาร
รักษาการ นรม.น้อย ส่วนผลกระทบของการเลื่อนวันเลือกตั้งออกไปอีก 30-60 วันที่มีต่อตลาดหุ้น นักวิเคราะห์ร้อยละ 42 มองว่ามีผลกระทบน้อย
และร้อยละ 37 เห็นว่ามีผลกระทบปานกลาง ส่วนดัชนีตลาดหลักทรัพย์เฉลี่ยที่ระดับ 740 จุด ซึ่งลดลงจากการสำรวจที่ผ่านมาที่ 800 จุด โดยมี
ประมาณการสูงสุด 800 จุด และต่ำสุด 687 จุด นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ได้ปรับประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจปี 49 ลดลงจากผลสำรวจเดือน
พ.ค. โดยคาดว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ GDP Growth เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 4.2 ซึ่งใกล้เคียงกับการสำรวจครั้งก่อนซึ่งอยู่ที่ร้อยละ
4.3 (กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน)
4. ธ.โลกประกาศให้ไทยเป็นประเทศที่น่าลงทุนเป็นอันดับที่ 18 Kazi M.Matin เศรษฐกรอาวุโส เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ
หัวหน้าหน่วยเศรษฐกิจของ ธ.โลก เปิดเผยรายงานฉบับที่ 4 ของปีนี้ ที่ ธ.โลกจัดทำร่วมกับบรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ เรื่อง การจัดอันดับ
ประเทศที่มีบรรยากาศเอื้อต่อการลงทุนทำธุรกิจมากที่สุดในโลก ในปี 50 ปรากฏว่าประเทศไทยได้รับการจัดอันดับดีขึ้นเล็กน้อย จากลำดับที่ 19
มาอยู่ที่ 18 ติดอันดับ 3 ของกลุ่มประเทศอาเซียน จากการจัดอันดับทั้งหมด 175 ประเทศ ขณะที่ประเทศสิงคโปร์เป็นประเทศที่น่าลงทุนที่สุด
จากเดิมที่เป็นประเทศนิวซีแลนด์ ซึ่งตกลงไปอยู่ในอันดับที่ 2 ส่วนอันดับที่ 3 ได้แก่ สรอ. อันดับ 4 คือ แคนาดา และอันดับ 5 คือ ฮ่องกง ทั้งนี้
รายงานดังกล่าวได้สำรวจความคิดเห็นของบริษัทเอกชนทั่วโลก 30,000 แห่ง เป็นเอกชนไทยจำนวน 1,385 แห่ง ถึงดัชนีชี้วัดทางธุรกิจ 10 ตัว
(ผู้จัดการรายวัน, โลกวันนี้, ไทยรัฐ, โพสต์ทูเดย์, มติชน, แนวหน้า)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. EU ปรับเพิ่มประมาณการเติบโตจีดีพีของเขตยูโรปีนี้เป็นร้อยละ 2.5 รายงานกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยม เมื่อวันที่
6 ก.ย.49 คณะกรรมาธิการของสหภาพยุโรป (European Commission) ปรับเพิ่มประมาณการเติบโตของเขตยูโรปี 49 เป็นร้อยละ 2.5
จากที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อเดือน พ.ค. ร้อยละ 2.1 ซึ่งจะเป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดนับตั้งแต่ปี 43 และเป็นเกือบสองเท่าของปี 48 ที่ขยาย
ตัวร้อยละ 1.3 ทั้งนี้ ตัวเลขใหม่นี้เป็นค่ากลางของการพยากรณ์ครั้งใหม่ของ ธ.กลางสหภาพยุโรปเมื่อสัปดาห์ก่อน โดย EC กล่าวว่ามุมมองต่อ
การขยายตัวของเศรษฐกิจในปัจจุบันอาจจะส่งผลให้มีการปรับปรุงตัวเลขเศรษฐกิจสำหรับปี 50 เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน แต่ผลกระทบจากปีนี้ที่อาจตกทอด
เข้าสู่ปี 50 ก็เป็นเรื่องที่ต้องมีการประเมินอย่างละเอียดรอบคอบ ทั้งนี้ การขยายตัวทางเศรษฐกิจปี 49 จะถูกขับเคลื่อนจากเศรษฐกิจภายใน
ประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะด้านการลงทุน แต่อัตราเงินเฟ้อใน 12 ประเทศสมาชิกที่ใช้เงินสกุลยูโรจะเพิ่มสูงขึ้นด้วยเช่นกันที่ระดับร้อยละ 2.3
จากที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 2.2 โดย ธ.กลางสหภาพยุโรปคาดการณ์ไว้เมื่อสัปดาห์ก่อนว่าอัตราเงินเฟ้อปีนี้จะอยู่ที่ระดับร้อยละ 2.3 — 2.5
ปรับเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2.1 — 2.5 ซึ่งเป็นผลมาจากราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ถ้าไม่นับรวมราคาพลังงานและต้นทุนอาหารไม่แปรรูปที่
เปลี่ยนแปลงง่ายแล้ว อัตราเงินเฟ้อยังคงขยายตัวในระดับที่ควบคุมได้ ในขณะที่สมาชิกบางคนของคณะกรรมาธิการด้านกิจการทางการเงินและ
เศรษฐกิจ เรียกร้องให้ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปรีบใช้ข้อได้เปรียบจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจในการปรับลดการขาดดุลงบประมาณและปฏิรูป
โครงสร้างเศรษฐกิจ เพื่อเพิ่มศักยภาพการเติบโตที่ยังอยู่ในระดับต่ำและจัดการสำรองไว้เมื่อเศรษฐกิจเกิดปัญหาขึ้นในอนาคต (รอยเตอร์)
2. ความเชื่อมั่นของธุรกิจบริการในอังกฤษลดลงหลังการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธ.กลางอังกฤษครั้งล่าสุดเมื่อต้นเดือน
ส.ค.49 ที่ผ่านมา รายงานจากลอนดอน เมื่อ 7 ก.ย.49 รายงานผลสำรวจธุรกิจบริการรายไตรมาสในระหว่างวันที่ 27 ก.ค.ถึง 9 ส.ค.49
โดยสภาอุตสาหกรรมของอังกฤษชี้ว่าในการสำรวจครั้งนี้มีจำนวนผู้ที่เห็นว่าธุรกิจของตนเองดีขึ้นน้อยกว่าผลสำรวจครั้งก่อนเป็นจำนวนร้อยละ 29
โดยมีจำนวนธุรกิจที่รายงานว่าปริมาณธุรกรรมในช่วง 3 เดือนสิ้นสุดเดือน ส.ค.49 ลดลงมากกว่าผลสำรวจครั้งก่อนร้อยละ 35 สูงสุดนับตั้งแต่
เดือน พ.ย.44 ในขณะที่มีจำนวนธุรกิจที่คาดว่าปริมาณธุรกรรมในอีก 3 เดือนข้างหน้าจะลดลงในการสำรวจครั้งนี้มากกว่าผลสำรวจครั้งก่อนอยู่
ร้อยละ 10 ต่ำสุดในรอบ 3 ปี ทั้งนี้นักวิเคราะห์คาดว่าเป็นผลมาจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธ.กลางอังกฤษเมื่อต้นเดือน ส.ค.49
ที่ผ่านมาอีกร้อยละ 0.25 ต่อปี เพื่อชะลอภาวะเงินเฟ้อซึ่งอยู่ในระดับสูงกว่าร้อยละ 2.0 ที่ตั้งเป้าไว้ ทำให้อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ
4.75 ต่อปี ซึ่งมีส่วนทำให้ผู้บริโภคชะลอการใช้จ่ายลงเนื่องจากมีภาระค่าใช้จ่ายด้านดอกเบี้ยสูงขึ้น นอกเหนือจากค่าใช้จ่ายที่สูงอยู่แล้วจากราคา
น้ำมันและค่าสาธารณูปโภคที่เพิ่มขึ้น (รอยเตอร์)
3. ผลผลิตโรงงานของอังกฤษในเดือน ก.ค.49 เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ร้อยละ 0.2 เทียบต่อเดือน รายงานจากลอนดอน
เมื่อ 6 ก.ย.49 The Office for National Statistics เปิดเผยว่า ผลผลิตโรงงานของอังกฤษในเดือน ก.ค.49 เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็น
เดือนที่ 3 ร้อยละ 0.2 เทียบต่อเดือน ขณะที่ผลผลิตอุตสาหกรรมซึ่งรวมภาคพลังงานในเดือนเดียวกันก็เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 เทียบต่อเดือนเช่นกัน
โดยนักเศรษฐศาสตร์แสดงความเห็นว่าตัวเลขผลผลิตโรงงานและผลผลิตอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นตามการคาดการณ์ แสดงถึงสัญญาณการฟื้นตัวของภาค
อุตสาหกรรม แต่ก็ยังไม่อาจเป็นปัจจัยให้ ธ.กลางอังกฤษปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอีกจากเป้าหมายเดิมที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่
ร้อยละ 4.75 ในการประชุมวันพฤหัสบดีที่ 7 ก.ย.นี้ ทั้งนี้ ธ.กลางอังกฤษกำหนดเป้าหมายที่จะควบคุมอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้เพิ่มขึ้นที่ระดับ
ร้อยละ 5.0 ในเดือน พ.ย.49 เพื่อบรรเทาภาวะเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตาม คงจะต้องขึ้นอยู่กับการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วง 2 เดือนข้างหน้าว่า
จะปรับตัวดีขึ้นมากน้อยเพียงใด (รอยเตอร์)
4. ADB ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคเอเซียยกเว้นญี่ปุ่นเป็นร้อยละ 7.7 รายงานจาก Manila
เมื่อวันที่ 6 ก.ย. 49 Asian Development Bank — ADB ปรับเพิ่มประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆในภูมิภาคเอเชีย
ยกเว้นญี่ปุ่นในปีนี้เป็นร้อยละ 7.7 เพิ่มขึ้นจากคาดการณ์ไว้เมื่อเดือน ส.ค. ที่ร้อยละ 7.2 และที่คาดการณ์ไว้เมื่อปี 48 ที่ร้อยละ 7.6 ส่วนปีหน้า
คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 7.1 มากกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิมก่อนหน้านั้นว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวร้อยละ 7 ซึ่งยังคงต่ำกว่าปีนี้ เนื่องจากคาดว่าอุปสงค์
จากประเทศสรอ. และสหภาพยุโรปจะชะลอลง ขณะที่ราคาน้ำมันยังคงอยู่ในระดับสูง ทั้งนี้นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจาก ADB กล่าวว่าประเทศต่างๆ
ในภูมิภาคเอเซียยังคงเผชิญกับความเสี่ยงเนื่องจากการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ สรอ. และยูโรโซน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ในสินค้า
และบริการ ส่วนประเทศจีน ADB คาดว่าการส่งออกและการลงทุนที่ขยายตัวอย่างมากจะช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจปี 49 ขยายตัวร้อยละ 10.4 จาก
เดิมคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 9.5 ทั้งนี้ในปี 48 เศรษฐกิจจีนเติบโตจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 10.2 แม้ว่าจีนจะพยายามลดความร้อนแรงทาง
เศรษฐกิจแล้วก็ตาม ซึ่ง ADB ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจจีนในปี 50 ไว้ที่ร้อยละ 9.5 เพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิมร้อยละ
8.8 เนื่องจากการใช้จ่ายสาธารณะเพิ่มขึ้นก่อนการฉลองครบรอบ 17 ปีพรรคคอมมิวนิสต์ และการเตรียมความพร้อมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในปี
51 นอกจากนั้น ADB เห็นว่าจีนจำเป็นต้องปล่อยให้เงินหยวนมีความยืดหยุ่นมากขึ้นเพื่อลดการขาดดุลการค้าระหว่าง สรอ. (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 7 ก.ย. 49 6 ก.ย. 49 31 ม.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 37.361 39.078 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 37.1830/37.4774 38.9113/39.2013 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 5.11438 4.29375 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 701.96/8.11 762.63/12.66 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 11,150/11,250 11,200/11,300 10,350/10,450 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 62.24 62.96 60.96 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับลดลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 7 ก.ย. 49 27.69*/26.89* 28.09/27.29 27.24/24.69 ปตท.
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--