นิตยสาร ดิ อีโคโนมิสต์รายงานว่า สมมติฐานที่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐถดถอยแล้ว จะทำให้ เศรษฐกิจในเอเชียจะชะลอตัวลงตามด้วยนั้นต้องตกไป เพราะแม้สหรัฐอเมริกาจะเป็นตลาดส่งออกสำคัญของเอเชียแต่ว่า ณ ขณะนี้การบริโภคภายในเอเชียเองมีส่วนสำคัญให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งเพียงพอที่จะพยุงเศรษฐกิจเอเชียให้เดินหน้าต่อไปได้ “ปีเตอร์ มอร์แกน” จาก HSBC คาดการณ์ว่า การชะลอตัวการเติบโตทางเศรษฐกิจของอเมริกาที่มีต่อประเทศเล็ก ๆ อย่างสิงคโปร์ ไต้หวัน และฮ่องกง ซึ่งต้องอาศัยอุปสงค์จากต่างประเทศจะได้รับผลกระทบมากกว่าประเทศจีน อินเดีย และญี่ปุ่น ซึ่งเมื่อ 3 ประเทศนี้รวมกันคิดเป็น 3 ใน 4 ของ GDP ในภูมิภาคเอเชีย และจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเอเชียเพียงเล็กน้อยจากที่เคยเติบโตมากกว่า 7% ในปีนี้ ปีหน้าอาจจะเติบโตต่ำกว่า 6% การส่งออกได้น้อยลงจะส่งผลกระทบอย่างมากในบางอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่ในภาพรวมทั้งภูมิภาคจะยังมีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง “ฮอง เหลียง” จากโกลด์แมน แซกส์ ประเมินว่า ถ้าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือ GDP ของอเมริกาอยู่ที่ 0% ในสิ้นปี 2550 ส่งผลให้การเติบโตการส่งออกของจีนทั้งปีจะดิ่งลงมาจาก 26% ในปลายปี 2550 ทั้งนี้ ได้ดูตัวเลขส่งออกที่จะส่งผลต่อตัวเลขการนำเข้าและอุปสงค์ในประเทศแล้ว ทำให้คาดการณ์ว่า GDP จีนจะยังคงขยายตัวที่ 8% จากที่ผ่านมาเติบโตในระดับ 10% มาโดยตลอด ซึ่งที่ผ่านมาถือเป็นการเติบโตที่เร็วเกินไป ดังนั้น ปัจจัยภายนอกจากเศรษฐกิจอเมริกาในปีหน้าอาจเข้ามาช่วยชะลอเศรษฐกิจจีนลง และเกิดความยั่งยืนได้ นักการเงินได้คาดการณ์ว่า ตลาดเงินของอเมริกาจะถดถอยลงในปีหน้าจากเศรษฐกิจอเมริกาที่ชะลอตัวลง ย่อมจะส่งผลกระเทือนไปยังตลาดเงินทั่วโลก โดยเฉพาะความเสี่ยงด้านราคา และทำให้ต้องลดสภาพคล่องในตลาดหลักทรัพย์ลง ทำให้ราคาหลักทรัพย์(share price) ของเอเชียลดต่ำลงเหมือนในตลาดอเมริกาเช่นกันประเด็นวิเคราะห์: แม้จะคาดว่าเศรษฐกิจของเอเชียจะถูกกระทบเพียงเล็กน้อย จากการที่เศรษฐกิจสหรัฐถดถอย นั้น แต่สหรัฐเป็นตลาดใหญ่ในการส่งออกของไทย จึงจำเป็นที่ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งหามาตรการ และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ เพื่อลดการพึ่งพิงตลาดอเมริกาลง ด้วยการ เร่งรัดเจาะขยายตลาดอื่นให้มากยิ่งขึ้น ที่มา: http://www.depthai.go.th