ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท.ภาคใต้ขึ้นบัญชี 10 บริษัทเงินด่วนนอกระบบ ผอส. ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงาน
ภาคใต้ เปิดเผยว่า จากการที่กรรมการนโยบายฝ่ายการเงินได้เฝ้าติดตามการปล่อยเงินกู้โดยองค์กรหรือบริษัท
ที่ไม่ได้รับอนุญาตถูกต้องตามกฎหมายการเงินนั้น ขณะนี้ ธปท.ภาคใต้ได้ติดตามและรวบรวมข้อมูลรายชื่อองค์กร
หรือบริษัทที่เข้าข่ายกระทำความผิดกรณีดังกล่าวแล้ว 10 ราย และส่งให้ ธปท.สำนักงานใหญ่ดำเนินการตาม
กฎหมายต่อไป สำหรับการติดตามสถานการณ์การปล่อยกู้โดยบริษัทเงินด่วนนอกระบบดังกล่าว สาเหตุเนื่องจาก
สินเชื่อส่วนบุคคลทั่วประเทศขยายตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นที่มาของการกระตุ้นให้ประชาชนมีการกู้ยืมและใช้จ่าย
เกินตัวมากขึ้น ซึ่งจะมีผลต่อเศรษฐกิจโดยรวม โดยก่อนหน้านี้ ธปท.ได้ออกมาตรการสินเชื่อส่วนบุคคลเพื่อกำกับ
ดูแลสินเชื่อส่วนบุคคล ในส่วนที่ไม่มีทรัพย์สินค้ำประกันแล้ว กำหนดให้มีการปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคลได้ในวงเงินไม่
เกิน 5 เท่าของรายได้เฉลี่ยต่อเดือนของผู้บริโภค (กรุงเทพธุรกิจ)
2. ธปท.ให้เครดิตบูโรลดเวลาการขึ้นบัญชีแบล็กลิสต์ลูกหนี้จาก 5 ปี เหลือ 3 ปี ผู้ว่าการธนาคาร
แห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะประธานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิต ได้ออกประกาศเรื่อง ห้ามประมวล
ผลข้อมูลที่มีอายุข้อมูลเกินกว่าที่กำหนด โดยแก้ไขประกาศฉบับเดิม เมื่อ 28 ก.ค.48 และกำหนดให้บริษัทข้อมูล
เครดิตแห่งชาติ ผู้ควบคุมหรือผู้ประมวลผลข้อมูลเก็บข้อมูลการผิดนัดชำระสินเชื่อส่วนบุคคล หรือข้อมูลการผิดนัด
ชำระสินเชื่อบัตรเครดิต เพื่อประมวลผลข้อมูลได้ไม่เกิน 3 ปี จากเดิมที่กำหนดไว้ 5 ปี นับจากวันที่บริษัทได้
รับรายงานข้อมูลการผิดนัดชำระหนี้จากสมาชิก โดยมีผลตั้งแต่เดือน ม.ค.ที่ผ่านมา ทั้งนี้ ประกาศดังกล่าวจะ
มีผลให้ลูกหนี้สินเชื่อบุคคลและสินเชื่อบัตรเครดิตที่มีประวัติค้างชำระแต่ได้ชำระหนี้และปิดบัญชีไปแล้วนานกว่า 3 ปี
จะถูกลบข้อมูลดังกล่าวออกไปจากระบบ จากเดิมข้อมูลการค้างชำระดังกล่าวจะปรากฏอยู่ในข้อมูลเครดิตนาน 5 ปี
(โพสต์ทูเดย์)
3. การควบรวมระหว่าง บบส.และ บสก.ทำให้มีอำนาจในการซื้อเอ็นพีเอของ ธพ.ได้ ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า การควบรวมบรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน (บบส.) กับ
บริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ (บสก.) ดำเนินการเสร็จสิ้นตั้งแต่วันที่ 3 ม.ค.ที่ผ่านมา ทำให้บรรษัทใหม่
ที่เกิดขึ้นมีอำนาจในการซื้อสินทรัพย์รอการขาย (เอ็นพีเอ) ของระบบ ธพ.มาบริหารได้ ซึ่งจะทำให้หนี้ที่ไม่ก่อให้
เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของระบบ ธพ.ลดลดลงอย่างรวดเร็วตามเป้าหมายที่ ธปท.กำหนดให้เหลือร้อยละ
2 ของสินเชื่อกลางปี 50 ทั้งนี้ คาดว่าภายในเดือน ก.พ.นี้ เกณฑ์ในการลดราคาและจัดอันดับสินทรัพย์จะแล้วเสร็จ
ซึ่งจะใช้เป็นมาตรฐานกับทุกสินทรัพย์และ ธพ.(โลกวันนี้, โพสต์ทูเดย์, บ้านเมือง, สยามรัฐ)
4. ปริมาณเช็คคืนไม่มีเงินในเดือน ม.ค.49 ลดลงร้อยละ 3.85 รายงานข่าวจากธนาคาร
แห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงภาวะการใช้เช็คเดือน ม.ค.49 ที่ผ่านมาว่า มีปริมาณเช็คคืนไม่มีเงิน
(เช็คเด้ง) 116,731 ฉบับ มูลค่า 10,816.69 ล้านบาท ลดลง 4,685 ฉบับ หรือร้อยละ 3.85 มูลค่า
1,582.16 ล้านบาท หรือร้อยละ 12.76 เมื่อเทียบกับเดือน ธ.ค.48 ที่มีปริมาณเช็คเด้ง 121,416 ฉบับ
มูลค่า 12,398.85 ล้านบาท ขณะที่ปริมาณเช็คเรียกเก็บรวมอยู่ที่ 7.2 ล้านฉบับ เพิ่มขึ้น 19,224 ฉบับ หรือ
ร้อยละ 0.26 แต่มูลค่านั้นลดลงโดยอยู่ที่ 2.44 ล้านล้านบาท ลดลง 135,151.73 ล้านบาท หรือร้อยละ
5.24 จากเดือน ธ.ค.48 สำหรับปีที่ผ่านมานั้นพบว่ามีการใช้เช็คเรียกเก็บทั้งหมด 87.37 ล้านฉบับ
มูลค่า 27.73 ล้านล้านฉบับ เพิ่มขึ้น 462,127 ฉบับ หรือร้อยละ 0.53 มูลค่า 2.77 ล้านล้านบาท หรือร้อยละ
11.10 ส่วนเช็คเด้งรวมทั้งระบบอยู่ที่ 1.42 ล้านฉบับ มูลค่า 130,095.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24,121 ฉบับ
หรือร้อยละ 1.72 มูลค่า 11,282.44 ล้านบาท หรือร้อยละ 9.49 (เดลินิวส์)
5. กรมสรรพากรจัดเก็บภาษีได้สูงกว่าเป้าหมายเล็กน้อยที่ร้อยละ 4.5 รอง ผอ.สำนักงานเศรษฐกิจ
การคลัง ในฐานะโฆษก ก.การคลัง แถลงผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลประจำเดือน ม.ค.49 ว่า สามารถจัดเก็บ
ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ส่งผลให้การจัดเก็บรายได้ในช่วง 4 เดือนแรกของปี งปม.49 (ต.ค.48-ม.ค.49)
สูงกว่าประมาณการตามเอกสาร งปม. 4,182 ล้านบาท ทั้งนี้ ในเดือน ม.ค.49 รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ
99,743 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสาร งปม. 209 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.2 และสูงกว่าช่วง
เดียวกันของปีก่อนร้อยละ 5.4 ส่งผลให้การจัดเก็บรายได้ในส่วนของกรมสรรพากรสูงกว่าเอกสาร งปม.ร้อยละ
4.5 และสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 15.0 โดยจัดเก็บได้ 68,042 ล้านบาท (กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. คาดว่า สรอ. จะขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นถึงระดับ 65 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ. ในเดือน ธ.ค.
รายงานจากนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 8 ก.พ. 49 ผลการสำรวจของรอยเตอร์คาดว่า ในเดือน ธ.ค. สรอ.จะขาดดุล
การค้าเพิ่มมากขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นและการนำเข้าสินค้าเพื่อสำรองทำให้การนำเข้าเพิ่มขึ้น
ชดเชยกับการส่งออกเครื่องบินพาณิชย์ที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ ก. พาณิชย์จะเปิดเผยตัวเลขดุลการค้าอย่างเป็นทางการ
ในวันศุกร์นี้ เวลา 8.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งคาดว่าจะขาดดุลการค้าถึง 65.0 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ.
เพิ่มขึ้นจาก 64.21 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ. ในเดือน พ.ย. นับเป็นการขาดดุลการค้าที่สูงที่สุดเป็นลำดับที่ 3
นับตั้งแต่ที่เคยทำสถิติสูงสุดที่ระดับ 68.13 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ. ในเดือน ต.ค. ทั้งนี้ตัวเลขสินค้าอุตสาหกรรม
แสดงถึงความต้องการสินค้าเครื่องบินพลเรือนและชิ้นส่วนในเดือน ธ.ค. ลดลงอย่างมาก แต่ยอดขายเครื่องบิน
โดยรวมยังคงแข็งแกร่ง ทำให้คาดว่าการส่งออกจะฟื้นตัว ซึ่งส่วนหนึ่งเนื่องจากความต้องการเครื่องบินโดยสารที่
ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดย บ. โบอิ้ง ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเครื่องบินที่ใหญ่ที่สุดของสรอ. กล่าวว่าคำสั่งซื้อ
เครื่องบินเพื่อการพาณิชย์เพิ่มขึ้นมากกว่า 3 เท่า ทำสถิติสูงสุดในปี 48 เนื่องจากมีความต้องการเพิ่มขึ้นมากใน
แถบเอเซีย และตะวันออกกลาง (รอยเตอร์)
2. คาดว่าจีดีพีของอังกฤษในช่วง พ.ย.48-ม.ค.49 ขยายตัวร้อยละ 0.8 รายงานจากกรุงลอนดอน
ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 9 ก.พ.49 สถาบันเพื่อการวิจัยทางเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (NIESR) ของ
อังกฤษ เปิดเผยว่า เศรษฐกิจของอังกฤษในช่วงเดือน พ.ย.48 — ม.ค.49 อาจจะขยายตัวร้อยละ 0.8 เพิ่มขึ้น
จากช่วงเดือน ต.ค. — ธ.ค.48 ที่ขยายตัวร้อยละ 0.6 ซึ่งจะเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 19 เดือน หลังจาก
ที่เคยขยายตัวสูงสุดร้อยละ 0.9 ในช่วงไตรมาส 2 ปี 47 ในขณะที่นักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่าเศรษฐกิจเติบโตได้ดี
ในช่วง 3 เดือน นับถึง ม.ค.49 แม้ว่าจะมีสัญญาณบางอย่างชี้ให้เห็นว่าเริ่มมีการชะลอตัวลงในช่วงเดือน ม.ค.49
ซึ่งเมื่อมองโดยภาพรวมแล้วไม่น่าจะเป็นผลดีถ้ามีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ทั้งนี้ ผลสำรวจความคิดเห็นนักวิเคราะห์
45 คน ของสำนักข่าวรอยเตอร์ ทั้งหมดคาดว่าในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินในวันพฤหัสบดีนี้
ธ.กลางอังกฤษจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมติดต่อกันเป็นเดือนที่ 6 ขณะที่เสียงส่วนใหญ่คาดว่าเศรษฐกิจคงจะ
ขยายตัวไม่ดีเท่าที่คาดการณ์ไว้และปัญหาเงินเฟ้อจะยังคงมีอยู่ ซึ่งจะทำให้ ธ.กลางอังกฤษชะลอการตัดสินใจปรับลด
อัตราดอกเบี้ยลงจากร้อยละ 4.5 ในปีนี้ อย่างไรก็ตาม NISER เปิดเผยในพยากรณ์รายไตรมาสคาดการณ์ว่า
เศรษฐกิจของอังกฤษในปีนี้จะขยายตัวได้ดีขึ้นจากปัจจัยสนับสนุนด้านการลงทุน การใช้จ่ายภายในครัวเรือน และการ
ใช้จ่ายของภาครัฐ (รอยเตอร์)
3. ยอดเกินดุลการค้าของเยอรมนีในเดือน ธ.ค.48 ลดลงเกินกว่าที่คาดไว้ รายงานจากเบอร์ลิน
เมื่อ 8 ก.พ.49 ยอดเกินดุลการค้าของเยอรมนีในเดือน ธ.ค.48 ลดลงเหลือ 11.5 พันล้านยูโร จาก 14 พันล้าน
ยูโรในเดือน พ.ย.48 โดยยอดนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.8 สูงสุดนับตั้งแต่เดือน ส.ค.45 คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น
56 พันล้านยูโร ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ในขณะที่ยอดส่งออกเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.8 และหากเทียบกับไตรมาส
ก่อนแล้ว ยอดส่งออกเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.8 ในขณะที่ยอดนำเข้าเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 2.8 ทำให้คาดกันว่าการ
ส่งออกจะมีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจในไตรมาสสุดท้ายปี 48 ขยายตัวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทั้งนี้ผลสำรวจรอยเตอร์ก่อน
หน้านี้คาดว่ายอดส่งออกและยอดนำเข้าในเดือน ธ.ค.48 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 และร้อยละ 2.1 ตามลำดับ โดย
คาดว่าจะมียอดเกินดุลการค้าทั้งสิ้น 13 พันล้านยูโร อย่างไรก็ดีคาดว่ายอดเกินดุลการค้าของทั้งปี 48 จะมีจำนวน
160.5 พันล้านยูโร ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์จากจำนวน 156.1 พันล้านยูโรในปี 47 (รอยเตอร์)
4. ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกาหลีใต้ในเดือน ม.ค.49 เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 รายงาน
จากโซลเมื่อ 9 ก.พ.49 The National Statistical Office เปิดเผยว่า
The consumer expectation index ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวม
และการใช้จ่ายส่วนบุคคลในช่วง 6 เดือนข้างหน้า เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 สู่ระดับสูงสุดในรอบ 9 เดือนที่
ระดับ 104.5 จากระดับ 103.0 ในเดือนก่อนหน้า โดยดัชนีเพิ่มขึ้นเหนือระดับ 100 ซึ่งเป็นระดับที่บ่งชี้ว่าผู้บริโภค
มีความเชื่อมั่นในด้านบวกมากกว่าลบ นอกจากนี้ The consumer evaluation index ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดความ
เชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจและมาตรฐานการครองชีพเทียบกับช่วง 6 เดือนก่อนหน้า เพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุด
ในรอบ 9 เดือนที่ระดับ 88.4 จากระดับ 85.3 ในเดือน ธ.ค.48 ทั้งนี้ บรรดานักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่า
ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวสนับสนุนมุมมองเกี่ยวกับการใช้จ่ายภายในประเทศว่ามีทิศทางที่เติบโต
ขึ้น แม้ว่าการส่งออกที่เริ่มชะลอตัวจะก่อให้เกิดความกังวลเพิ่มขึ้น โดยการส่งออกในเดือน ม.ค.49 ขยายตัวใน
อัตราที่ชะลอลงเหนือความคาดหมายร้อยละ 4.3 เทียบต่อปี ต่ำสุดในรอบเกือบ 3 ปี อนึ่ง ก.คลัง และ ธ.กลาง
เกาหลีใต้ ต่างคาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจปี 49 ที่ระดับร้อยละ 5 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 4 ในปี 48
โดยได้รับแรงสนับสนุนหลักจากการบริโภคที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของ
เศรษฐกิจเกาหลีใต้ คือ การชะลอตัวของการลงทุนภาคธุรกิจ การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน และการแข็งค่า
ของเงินวอนเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ สรอ. (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 9 ก.พ. 49 8 ก.พ. 49 31 ม.ค. 48 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 39.687 38.557 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 39.4910/39.7804 38.3598/38.6471 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 4.3 2..1875 - 2.2000 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 734.63/ 17.33 701.91/15.60 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,400/10,500 10,550/10,650 7,750/7,850 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 57 56.47 38.15 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท)
* ปรับลดลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 3 ก.พ. 49 26.84*/24.29* 26.84*/24.29* 19.69/14.59 ปตท.
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท.ภาคใต้ขึ้นบัญชี 10 บริษัทเงินด่วนนอกระบบ ผอส. ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงาน
ภาคใต้ เปิดเผยว่า จากการที่กรรมการนโยบายฝ่ายการเงินได้เฝ้าติดตามการปล่อยเงินกู้โดยองค์กรหรือบริษัท
ที่ไม่ได้รับอนุญาตถูกต้องตามกฎหมายการเงินนั้น ขณะนี้ ธปท.ภาคใต้ได้ติดตามและรวบรวมข้อมูลรายชื่อองค์กร
หรือบริษัทที่เข้าข่ายกระทำความผิดกรณีดังกล่าวแล้ว 10 ราย และส่งให้ ธปท.สำนักงานใหญ่ดำเนินการตาม
กฎหมายต่อไป สำหรับการติดตามสถานการณ์การปล่อยกู้โดยบริษัทเงินด่วนนอกระบบดังกล่าว สาเหตุเนื่องจาก
สินเชื่อส่วนบุคคลทั่วประเทศขยายตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นที่มาของการกระตุ้นให้ประชาชนมีการกู้ยืมและใช้จ่าย
เกินตัวมากขึ้น ซึ่งจะมีผลต่อเศรษฐกิจโดยรวม โดยก่อนหน้านี้ ธปท.ได้ออกมาตรการสินเชื่อส่วนบุคคลเพื่อกำกับ
ดูแลสินเชื่อส่วนบุคคล ในส่วนที่ไม่มีทรัพย์สินค้ำประกันแล้ว กำหนดให้มีการปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคลได้ในวงเงินไม่
เกิน 5 เท่าของรายได้เฉลี่ยต่อเดือนของผู้บริโภค (กรุงเทพธุรกิจ)
2. ธปท.ให้เครดิตบูโรลดเวลาการขึ้นบัญชีแบล็กลิสต์ลูกหนี้จาก 5 ปี เหลือ 3 ปี ผู้ว่าการธนาคาร
แห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะประธานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิต ได้ออกประกาศเรื่อง ห้ามประมวล
ผลข้อมูลที่มีอายุข้อมูลเกินกว่าที่กำหนด โดยแก้ไขประกาศฉบับเดิม เมื่อ 28 ก.ค.48 และกำหนดให้บริษัทข้อมูล
เครดิตแห่งชาติ ผู้ควบคุมหรือผู้ประมวลผลข้อมูลเก็บข้อมูลการผิดนัดชำระสินเชื่อส่วนบุคคล หรือข้อมูลการผิดนัด
ชำระสินเชื่อบัตรเครดิต เพื่อประมวลผลข้อมูลได้ไม่เกิน 3 ปี จากเดิมที่กำหนดไว้ 5 ปี นับจากวันที่บริษัทได้
รับรายงานข้อมูลการผิดนัดชำระหนี้จากสมาชิก โดยมีผลตั้งแต่เดือน ม.ค.ที่ผ่านมา ทั้งนี้ ประกาศดังกล่าวจะ
มีผลให้ลูกหนี้สินเชื่อบุคคลและสินเชื่อบัตรเครดิตที่มีประวัติค้างชำระแต่ได้ชำระหนี้และปิดบัญชีไปแล้วนานกว่า 3 ปี
จะถูกลบข้อมูลดังกล่าวออกไปจากระบบ จากเดิมข้อมูลการค้างชำระดังกล่าวจะปรากฏอยู่ในข้อมูลเครดิตนาน 5 ปี
(โพสต์ทูเดย์)
3. การควบรวมระหว่าง บบส.และ บสก.ทำให้มีอำนาจในการซื้อเอ็นพีเอของ ธพ.ได้ ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า การควบรวมบรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน (บบส.) กับ
บริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ (บสก.) ดำเนินการเสร็จสิ้นตั้งแต่วันที่ 3 ม.ค.ที่ผ่านมา ทำให้บรรษัทใหม่
ที่เกิดขึ้นมีอำนาจในการซื้อสินทรัพย์รอการขาย (เอ็นพีเอ) ของระบบ ธพ.มาบริหารได้ ซึ่งจะทำให้หนี้ที่ไม่ก่อให้
เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของระบบ ธพ.ลดลดลงอย่างรวดเร็วตามเป้าหมายที่ ธปท.กำหนดให้เหลือร้อยละ
2 ของสินเชื่อกลางปี 50 ทั้งนี้ คาดว่าภายในเดือน ก.พ.นี้ เกณฑ์ในการลดราคาและจัดอันดับสินทรัพย์จะแล้วเสร็จ
ซึ่งจะใช้เป็นมาตรฐานกับทุกสินทรัพย์และ ธพ.(โลกวันนี้, โพสต์ทูเดย์, บ้านเมือง, สยามรัฐ)
4. ปริมาณเช็คคืนไม่มีเงินในเดือน ม.ค.49 ลดลงร้อยละ 3.85 รายงานข่าวจากธนาคาร
แห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงภาวะการใช้เช็คเดือน ม.ค.49 ที่ผ่านมาว่า มีปริมาณเช็คคืนไม่มีเงิน
(เช็คเด้ง) 116,731 ฉบับ มูลค่า 10,816.69 ล้านบาท ลดลง 4,685 ฉบับ หรือร้อยละ 3.85 มูลค่า
1,582.16 ล้านบาท หรือร้อยละ 12.76 เมื่อเทียบกับเดือน ธ.ค.48 ที่มีปริมาณเช็คเด้ง 121,416 ฉบับ
มูลค่า 12,398.85 ล้านบาท ขณะที่ปริมาณเช็คเรียกเก็บรวมอยู่ที่ 7.2 ล้านฉบับ เพิ่มขึ้น 19,224 ฉบับ หรือ
ร้อยละ 0.26 แต่มูลค่านั้นลดลงโดยอยู่ที่ 2.44 ล้านล้านบาท ลดลง 135,151.73 ล้านบาท หรือร้อยละ
5.24 จากเดือน ธ.ค.48 สำหรับปีที่ผ่านมานั้นพบว่ามีการใช้เช็คเรียกเก็บทั้งหมด 87.37 ล้านฉบับ
มูลค่า 27.73 ล้านล้านฉบับ เพิ่มขึ้น 462,127 ฉบับ หรือร้อยละ 0.53 มูลค่า 2.77 ล้านล้านบาท หรือร้อยละ
11.10 ส่วนเช็คเด้งรวมทั้งระบบอยู่ที่ 1.42 ล้านฉบับ มูลค่า 130,095.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24,121 ฉบับ
หรือร้อยละ 1.72 มูลค่า 11,282.44 ล้านบาท หรือร้อยละ 9.49 (เดลินิวส์)
5. กรมสรรพากรจัดเก็บภาษีได้สูงกว่าเป้าหมายเล็กน้อยที่ร้อยละ 4.5 รอง ผอ.สำนักงานเศรษฐกิจ
การคลัง ในฐานะโฆษก ก.การคลัง แถลงผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลประจำเดือน ม.ค.49 ว่า สามารถจัดเก็บ
ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ส่งผลให้การจัดเก็บรายได้ในช่วง 4 เดือนแรกของปี งปม.49 (ต.ค.48-ม.ค.49)
สูงกว่าประมาณการตามเอกสาร งปม. 4,182 ล้านบาท ทั้งนี้ ในเดือน ม.ค.49 รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ
99,743 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสาร งปม. 209 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.2 และสูงกว่าช่วง
เดียวกันของปีก่อนร้อยละ 5.4 ส่งผลให้การจัดเก็บรายได้ในส่วนของกรมสรรพากรสูงกว่าเอกสาร งปม.ร้อยละ
4.5 และสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 15.0 โดยจัดเก็บได้ 68,042 ล้านบาท (กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. คาดว่า สรอ. จะขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นถึงระดับ 65 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ. ในเดือน ธ.ค.
รายงานจากนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 8 ก.พ. 49 ผลการสำรวจของรอยเตอร์คาดว่า ในเดือน ธ.ค. สรอ.จะขาดดุล
การค้าเพิ่มมากขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นและการนำเข้าสินค้าเพื่อสำรองทำให้การนำเข้าเพิ่มขึ้น
ชดเชยกับการส่งออกเครื่องบินพาณิชย์ที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ ก. พาณิชย์จะเปิดเผยตัวเลขดุลการค้าอย่างเป็นทางการ
ในวันศุกร์นี้ เวลา 8.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งคาดว่าจะขาดดุลการค้าถึง 65.0 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ.
เพิ่มขึ้นจาก 64.21 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ. ในเดือน พ.ย. นับเป็นการขาดดุลการค้าที่สูงที่สุดเป็นลำดับที่ 3
นับตั้งแต่ที่เคยทำสถิติสูงสุดที่ระดับ 68.13 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ. ในเดือน ต.ค. ทั้งนี้ตัวเลขสินค้าอุตสาหกรรม
แสดงถึงความต้องการสินค้าเครื่องบินพลเรือนและชิ้นส่วนในเดือน ธ.ค. ลดลงอย่างมาก แต่ยอดขายเครื่องบิน
โดยรวมยังคงแข็งแกร่ง ทำให้คาดว่าการส่งออกจะฟื้นตัว ซึ่งส่วนหนึ่งเนื่องจากความต้องการเครื่องบินโดยสารที่
ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดย บ. โบอิ้ง ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเครื่องบินที่ใหญ่ที่สุดของสรอ. กล่าวว่าคำสั่งซื้อ
เครื่องบินเพื่อการพาณิชย์เพิ่มขึ้นมากกว่า 3 เท่า ทำสถิติสูงสุดในปี 48 เนื่องจากมีความต้องการเพิ่มขึ้นมากใน
แถบเอเซีย และตะวันออกกลาง (รอยเตอร์)
2. คาดว่าจีดีพีของอังกฤษในช่วง พ.ย.48-ม.ค.49 ขยายตัวร้อยละ 0.8 รายงานจากกรุงลอนดอน
ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 9 ก.พ.49 สถาบันเพื่อการวิจัยทางเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (NIESR) ของ
อังกฤษ เปิดเผยว่า เศรษฐกิจของอังกฤษในช่วงเดือน พ.ย.48 — ม.ค.49 อาจจะขยายตัวร้อยละ 0.8 เพิ่มขึ้น
จากช่วงเดือน ต.ค. — ธ.ค.48 ที่ขยายตัวร้อยละ 0.6 ซึ่งจะเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 19 เดือน หลังจาก
ที่เคยขยายตัวสูงสุดร้อยละ 0.9 ในช่วงไตรมาส 2 ปี 47 ในขณะที่นักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่าเศรษฐกิจเติบโตได้ดี
ในช่วง 3 เดือน นับถึง ม.ค.49 แม้ว่าจะมีสัญญาณบางอย่างชี้ให้เห็นว่าเริ่มมีการชะลอตัวลงในช่วงเดือน ม.ค.49
ซึ่งเมื่อมองโดยภาพรวมแล้วไม่น่าจะเป็นผลดีถ้ามีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ทั้งนี้ ผลสำรวจความคิดเห็นนักวิเคราะห์
45 คน ของสำนักข่าวรอยเตอร์ ทั้งหมดคาดว่าในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินในวันพฤหัสบดีนี้
ธ.กลางอังกฤษจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมติดต่อกันเป็นเดือนที่ 6 ขณะที่เสียงส่วนใหญ่คาดว่าเศรษฐกิจคงจะ
ขยายตัวไม่ดีเท่าที่คาดการณ์ไว้และปัญหาเงินเฟ้อจะยังคงมีอยู่ ซึ่งจะทำให้ ธ.กลางอังกฤษชะลอการตัดสินใจปรับลด
อัตราดอกเบี้ยลงจากร้อยละ 4.5 ในปีนี้ อย่างไรก็ตาม NISER เปิดเผยในพยากรณ์รายไตรมาสคาดการณ์ว่า
เศรษฐกิจของอังกฤษในปีนี้จะขยายตัวได้ดีขึ้นจากปัจจัยสนับสนุนด้านการลงทุน การใช้จ่ายภายในครัวเรือน และการ
ใช้จ่ายของภาครัฐ (รอยเตอร์)
3. ยอดเกินดุลการค้าของเยอรมนีในเดือน ธ.ค.48 ลดลงเกินกว่าที่คาดไว้ รายงานจากเบอร์ลิน
เมื่อ 8 ก.พ.49 ยอดเกินดุลการค้าของเยอรมนีในเดือน ธ.ค.48 ลดลงเหลือ 11.5 พันล้านยูโร จาก 14 พันล้าน
ยูโรในเดือน พ.ย.48 โดยยอดนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.8 สูงสุดนับตั้งแต่เดือน ส.ค.45 คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น
56 พันล้านยูโร ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ในขณะที่ยอดส่งออกเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.8 และหากเทียบกับไตรมาส
ก่อนแล้ว ยอดส่งออกเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.8 ในขณะที่ยอดนำเข้าเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 2.8 ทำให้คาดกันว่าการ
ส่งออกจะมีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจในไตรมาสสุดท้ายปี 48 ขยายตัวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทั้งนี้ผลสำรวจรอยเตอร์ก่อน
หน้านี้คาดว่ายอดส่งออกและยอดนำเข้าในเดือน ธ.ค.48 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 และร้อยละ 2.1 ตามลำดับ โดย
คาดว่าจะมียอดเกินดุลการค้าทั้งสิ้น 13 พันล้านยูโร อย่างไรก็ดีคาดว่ายอดเกินดุลการค้าของทั้งปี 48 จะมีจำนวน
160.5 พันล้านยูโร ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์จากจำนวน 156.1 พันล้านยูโรในปี 47 (รอยเตอร์)
4. ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกาหลีใต้ในเดือน ม.ค.49 เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 รายงาน
จากโซลเมื่อ 9 ก.พ.49 The National Statistical Office เปิดเผยว่า
The consumer expectation index ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวม
และการใช้จ่ายส่วนบุคคลในช่วง 6 เดือนข้างหน้า เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 สู่ระดับสูงสุดในรอบ 9 เดือนที่
ระดับ 104.5 จากระดับ 103.0 ในเดือนก่อนหน้า โดยดัชนีเพิ่มขึ้นเหนือระดับ 100 ซึ่งเป็นระดับที่บ่งชี้ว่าผู้บริโภค
มีความเชื่อมั่นในด้านบวกมากกว่าลบ นอกจากนี้ The consumer evaluation index ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดความ
เชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจและมาตรฐานการครองชีพเทียบกับช่วง 6 เดือนก่อนหน้า เพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุด
ในรอบ 9 เดือนที่ระดับ 88.4 จากระดับ 85.3 ในเดือน ธ.ค.48 ทั้งนี้ บรรดานักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่า
ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวสนับสนุนมุมมองเกี่ยวกับการใช้จ่ายภายในประเทศว่ามีทิศทางที่เติบโต
ขึ้น แม้ว่าการส่งออกที่เริ่มชะลอตัวจะก่อให้เกิดความกังวลเพิ่มขึ้น โดยการส่งออกในเดือน ม.ค.49 ขยายตัวใน
อัตราที่ชะลอลงเหนือความคาดหมายร้อยละ 4.3 เทียบต่อปี ต่ำสุดในรอบเกือบ 3 ปี อนึ่ง ก.คลัง และ ธ.กลาง
เกาหลีใต้ ต่างคาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจปี 49 ที่ระดับร้อยละ 5 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 4 ในปี 48
โดยได้รับแรงสนับสนุนหลักจากการบริโภคที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของ
เศรษฐกิจเกาหลีใต้ คือ การชะลอตัวของการลงทุนภาคธุรกิจ การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน และการแข็งค่า
ของเงินวอนเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ สรอ. (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 9 ก.พ. 49 8 ก.พ. 49 31 ม.ค. 48 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 39.687 38.557 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 39.4910/39.7804 38.3598/38.6471 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 4.3 2..1875 - 2.2000 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 734.63/ 17.33 701.91/15.60 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,400/10,500 10,550/10,650 7,750/7,850 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 57 56.47 38.15 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท)
* ปรับลดลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 3 ก.พ. 49 26.84*/24.29* 26.84*/24.29* 19.69/14.59 ปตท.
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--