1. สถานการณ์ปัจจุบัน
การผลิต
ปริมาณการผลิตเหล็กและเหล็กกล้าที่สำคัญในไตรมาสที่ 4 ปี 2548 มีประมาณ 2,254,582 เมตริกตัน ( ไม่รวมผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูป เหล็กแผ่นรีดเย็น เหล็กแผ่นเคลือบและท่อเหล็กเพื่อไม่ให้เกิดการนับซ้ำ ) ชะลอตัวลง ร้อยละ 31.22 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่ชะลอตัว จากปัญหาต้นทุนทางด้านพลังงานที่สูงขึ้น ภาวะภัยแล้งและน้ำท่วม ทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ งานก่อสร้างโครงการต่างๆ ลดน้อยลง ประกอบกับผู้ผลิตและพ่อค้าคนกลางยังคงมีปริมาณสินค้าคงคลังที่สูงอยู่ จึงเร่งระบายสินค้าในสต๊อกออก มีผลให้ผู้ผลิตลดการผลิตในส่วนของเหล็กทรงยาวลง และเมื่อพิจารณารายผลิตภัณฑ์ พบว่า ผลิตภัณฑ์ที่มีชะลอตัวลงมากที่สุดในระยะนี้ คือ ผลิตภัณฑ์เหล็กเคลือบสังกะสี ลดลง ร้อยละ 41.32 เนื่องจากมีการนำเข้าเหล็กชนิดนี้เพิ่มขึ้นมากในช่วงนี้โดยเป็นผลมาจากการที่ผู้ผลิตประสบปัญหาทางด้านราคาเหล็กที่ลดลงอยางต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี ทำให้ผู้ผลิตซึ่งสั่งซื้อวัตถุดิบไว้ล่วงหน้ามีต้นทุนราคาสต๊อกวัตถุดิบที่สูง ขณะที่ราคาสินค้าสำเร็จรูปในช่วงนี้มีกลับลดลง จึงทำให้ราคาสินค้าที่ผลิตออกมาในประเทศสูงกว่าราคาสินค้าสำเร็จรูปที่นำเข้ามา ซึ่งมีผลให้สินค้าที่ผลิตในประเทศไม่สามารถแข่งขันกับสินค้าที่นำเข้ามาได้ รองลงมาคือ เหล็กแผ่นรีดเย็น ลดลง ร้อยละ 39.69 และ เหล็กแผ่นเคลือบดีบุก ลดลง ร้อยละ 36.32
สำหรับปริมาณการผลิตเหล็กและเหล็กกล้าที่สำคัญในปี 2548 มีประมาณ 9,409,000 เมตริกตัน ( ไม่รวมผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูป เหล็กแผ่นรีดเย็น เหล็กแผ่นเคลือบและท่อเหล็กเพื่อไม่ให้เกิดการนับซ้ำ ) ขยายตัวขึ้นเล็กน้อยเพียง ร้อยละ 2.87 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน และเมื่อพิจารณารายผลิตภัณฑ์ พบว่า ผลิตภัณฑ์ที่มีขยายตัวมากที่สุดในระยะนี้ คือ ผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูป เพิ่มขึ้น ร้อยละ 13.86 รองลงมาคือ เหล็กแผ่นรีดร้อน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 9.27 สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีการผลิตชะลอตัวลงมากที่สุดในระยะนี้ คือ เหล็กแผ่นเคลือบดีบุก ลดลง ร้อยละ 30.87 รองลงมาคือ เหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี ลดลง ร้อยละ 25.14
การใช้ในประเทศ
ปริมาณการใช้เหล็กและเหล็กกล้าในประเทศที่สำคัญในไตรมาสที่ 4 ปี 2548 ประมาณ 2,882,744 เมตริกตัน โดยการใช้ในประเทศชะลอตัวลง ร้อยละ 10.80 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน โดยเหล็กทรงยาว ชะลอตัวลงถึงร้อยละ 20.18 เป็นมาจากสภาวะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ชะลอตัวลง เหล็กทรงแบนชะลอตัวลงร้อยละ 4.29
ปริมาณการใช้เหล็กและเหล็กกล้าในประเทศที่สำคัญในปี 2548 ประมาณ 11,011,800 เมตริกตัน โดยปริมาณการใช้ในประเทศขยายตัวขึ้นเล็กน้อย ร้อยละ 3.25 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นผลมาจากการขยายตัวของเหล็กทรงแบน ขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 6.62 เนื่องจากความต้องการใช้ของอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งยังคงมีอยู่ แต่เหล็กทรงยาวชะลอตัวลงเล็กน้อยร้อยละ 0.09
การนำเข้า
มูลค่าและปริมาณการนำเข้าเหล็กและเหล็กกล้าที่สำคัญในไตรมาสที่ 4 ปี 2548 มีจำนวนประมาณ 58,339ล้านบาท และ 2,420,849 เมตริกตัน โดยมูลค่าและปริมาณการนำเข้าชะลอตัวลง ร้อยละ 6.26 และ 11.91 ตามลำดับ ซึ่งส่วนใหญ่นำเข้ามาจากประเทศรัสเซียและจีน โดยผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการนำเข้าชะลอตัวลงมากที่สุดเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ เหล็กแท่งเล็กบิลเล็ต ลดลง ร้อยละ 69.07 เนื่องจากเหล็กชนิดนี้เป็นวัตถุดิบของเหล็กเส้น ซึ่งช่วงนี้การผลิตได้ชะลอตัวลงจากสภาวะก่อสร้างที่ซบเซารองลงมาคือ เหล็กแผ่นบางรีดร้อน ลดลง ร้อยละ 60.55และเหล็กแผ่นเคลือบดีบุก ลดลง ร้อยละ 25.94
ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการนำเข้ามากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ เหล็กแท่งแบน มีมูลค่า 14,000 ล้านบาท รองลงมาคือเหล็กแผ่นหนารีดร้อน มีมูลค่า 11,136 ล้านบาท และเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสีแบบจุ่มร้อน มีมูลค่า 7,809 ล้านบาท โดยผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการนำเข้าขยายตัวเพิ่มมากที่สุด ได้แก่ ท่อเหล็กมีตะเข็บ เพิ่มขึ้น ร้อยละ 138.50 เหล็กแผ่นบางรีดร้อนชนิดผ่านการกัดล้างและชุบน้ำมัน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 82.52 และ เหล็กแผ่นเคลือบสังกะสีแบบจุ่มร้อน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 58.62 รายละเอียดตามตารางที่ 3
มูลค่าและปริมาณการนำเข้าเหล็กและเหล็กกล้าที่สำคัญในปี 2548 มีจำนวนประมาณ 278,896ล้านบาท และ 11,563,162 เมตริกตัน โดยมูลค่าและปริมาณการนำเข้าขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 39.63 และ 12.95 ตามลำดับ ซึ่งส่วนใหญ่นำเข้ามาจากประเทศรัสเซียและญี่ปุ่น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากในช่วงต้นปี 2548 หลายประเทศของโลก เช่น อเมริกา ญี่ปุ่น และประเทศในกลุ่มยุโรป มีปริมาณสินค้าคงคลังสูงขณะที่ความต้องการใช้ทรงตัวเนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ จึงมีผลทำให้แต่ละประเทศเร่งระบายสินค้าในสต๊อกโดยเพิ่มปริมาณการส่งออก ประกอบกับสถานการณ์เหล็กในประเทศจีนที่ประสบปัญหากำลังการผลิตส่วนเกิน ซึ่งการแก้ไขปัญหาด้วยการส่งเสริมให้เกิดการควบรวมกิจการโรงงานขนาดเล็กในประเทศยังไม่สัมฤทธิ์ผล จึงมีผลทำให้ผู้ผลิตเหล็กจีนเพิ่มการส่งออกเหล็กไปยังต่างประเทศและได้มีการส่งออกเหล็กราคาถูกเข้ามายังประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น โดยผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการนำเข้าขยายตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุดเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ เหล็กโครงสร้างรูปพรรณ เพิ่มขึ้น ร้อยละ 126.02 รองลงมาคือ เหล็กแผ่นบางรีดร้อนชนิดผ่านการกัดล้างและชุบน้ำมัน (HR sheet P&O ) ขยายตัว เพิ่มขึ้น ร้อยละ 111.96
ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการนำเข้ามากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ เหล็กแท่งแบน มีมูลค่า 60,099 ล้านบาท รองลงมาคือเหล็กแผ่นบางรีดร้อน มีมูลค่า 38,135 ล้านบาท และเหล็กแท่งเล็กบิลเล็ต มีมูลค่า 28,636 ล้านบาท
การส่งออก
มูลค่าและปริมาณการส่งออกเหล็กและเหล็กกล้าในไตรมาสที่ 4 ปี 2548 มีจำนวนประมาณ 12,755 ล้านบาท และ 500,969 เมตริกตัน โดยมีการขยายตัวของปริมาณการส่งออกเพิ่มมากขึ้น ร้อยละ 5.58แต่มูลค่าการส่งออกชะลอตัวลง ร้อยละ 6.80 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากราคาเหล็กในตลาดโลกที่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยตลาดส่งออกที่สำคัญของไทยในช่วงนี้คือ จีน ฮ่องกงและมาเลเซีย สำหรับผลิตภัณฑ์มีมูลค่าการส่งออกชะลอตัวลงในช่วงนี้เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูปชนิดอื่นๆ ลดลงร้อยละ 99.89 เหล็กแผ่นเคลือบสังกะสีด้วยไฟฟ้า ลดลง ร้อยละ 74 และเหล็กเส้นลดลงร้อยละ 54.20
ผลิตภัณฑ์ที่มีการมูลค่าการส่งออกมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ เหล็กแผ่นบางรีดร้อน ท่อเหล็กมีตะเข็บ และเหล็กแผ่นรีดเย็นไร้สนิม โดยมีมูลค่า 2,635 2,148 และ 1,740 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความต้องการใช้ในประเทศที่ทรงตัว ผู้ผลิตจึงขยายสัดส่วนการส่งออกเพิ่มมากขึ้นเพื่อกระจายความเสี่ยงในธุรกิจ
มูลค่าและปริมาณการส่งออกเหล็กและเหล็กกล้าในปี 2548 มีจำนวนประมาณ 53,006 ล้านบาท และ 1,931,770 เมตริกตัน โดยมีการขยายตัวของมูลค่าและปริมาณการส่งออกเพิ่มมากขึ้น ร้อยละ 29.38 และ 15.11 โดยตลาดส่งออกที่สำคัญของไทยในช่วงนี้คือ จีนและฮ่องกง สำหรับผลิตภัณฑ์มีมูลค่าการส่งออกขยายตัวขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ เหล็กแผ่นไม่ได้เคลือบดีบุก เพิ่มขึ้น ร้อยละ 618.14 เหล็กแผ่นหนารีดร้อน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 446.51 และ เหล็กแผ่นบางรีดร้อน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 165.23 โดยผลิตภัณฑ์ที่มีการมูลค่าการส่งออกมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ เหล็กแผ่นบางรีดร้อน เหล็กแผ่นรีดเย็น และ เหล็กแผ่นรีดเย็นไร้สนิม โดยมีมูลค่า 11,407 8,163 และ 7,112 ล้านบาท ตามลำดับ
2. สรุป
สถานการณ์เหล็กโดยรวมในไตรมาสที่ 4 ปี 2548 ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัวลง โดยธุรกิจภาคก่อสร้าง โครงการต่างๆ ของภาครัฐและภาคเอกชนที่ซบเซาลง ทำให้สภาวะการค้าภายในประเทศชะลอตัวลง ประกอบกับผู้ผลิตและพ่อค้าคนกลางยังคงมีปริมาณสินค้าคงคลังอยู่ จึงทำให้ผู้ผลิตลดการผลิตลง โดยเหล็กทรงยาวชะลอตัวลงทั้งการผลิตและความต้องการใช้ในประเทศร้อยละ 20.72 และ 20.18 ตามลำดับ เช่นเดียวกับเหล็กทรงแบนที่มีสภาวะการผลิตและการใช้ในประเทศที่ชะลอตัวลง ร้อยละ 10.62 และ 4.29 สำหรับมูลค่าและปริมาณการนำเข้าโดยรวมชะลอตัวลงร้อยละ 6.26 และ 11.91 โดยเหล็กแท่งเล็กบิลเล็ต ลดลง ร้อยละ 69.07 เนื่องจากเหล็กชนิดนี้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเหล็กทรงยาว ซึ่งมีการผลิตลดลง รองลงมาคือเหล็กแผ่นบางรีดร้อน ลดลง ร้อยละ 60.55 สำหรับการส่งออกโดยรวมมีการขยายตัวของปริมาณ ร้อยละ 5.58 แต่มูลค่ากลับลดลง ร้อยละ 6.80 ทั้งนี้เป็นผลมาจากราคาเหล็กที่ปรับตัวลดลง โดยส่วนใหญ่เป็นการเหล็กแผ่นบางรีดร้อนไปยังประเทศจีน
สถานการณ์เหล็กโดยรวมใน ปี 2548 ทรงตัวเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน โดยการผลิตโดยรวมขยายตัวขึ้นเล็กน้อย ร้อยละ 2.87 ความต้องการใช้ในประเทศขยายตัว ร้อยละ 3.25 มูลค่าและปริมาณการนำเข้าขยายตัว ร้อยละ 39.63 และ 12.95 มูลค่าและปริมาณการส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 29.38 และ 15.11 โดยเหล็กทรงยาวชะลอตัวลงทั้งการผลิตและความต้องการใช้ในประเทศ ร้อยละ 2.21 และ 0.09 ตามลำดับ เนื่องจากภาวะอุตสาหกรรมก่อสร้างที่ซบเซา แต่เหล็กทรงแบนมีสภาวะการผลิตที่ชะลอตัวลงร้อยละ 4.42 แต่ความต้องการใช้ในประเทศกลับขยายตัวขึ้น ร้อยละ 6.62 ทั้งนี้ เนื่องจากผู้ผลิตและพ่อค้าคนกลางยังคงมีปริมาณสินค้าคงคลังอยู่และได้มีการนำเข้าเข้าเหล็กจากต่างประเทศเข้ามาเพิ่มขึ้นมากด้วย
สำหรับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของราคาผลิตภัณฑ์เหล็กที่สำคัญ (FOB)โดยเฉลี่ยในตลาดโลกของไตรมาสที่ 4 ปี 2548 เทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน ผลิตภัณฑ์เหล็กที่สำคัญทุกตัวมีทิศทางในการปรับตัวของราคาที่ลดลง ดังนี้ เหล็กแท่งแบน จาก CIS ณ ท่า Far East ลดลงจาก 507 เหรียญสหรัฐต่อตัน เป็น 299 เหรียญสหรัฐต่อตัน ลดลง ร้อยละ 41.02 เหล็กแผ่นรีดร้อน จาก CIS ณ ท่า Far East ลดลงจาก 517 เหรียญสหรัฐต่อตัน เป็น 396 เหรียญสหรัฐต่อตัน ลดลง ร้อยละ 23.42 เหล็กแผ่นรีดเย็น จาก CIS ณ ท่า Far East ลดลงจาก 585 เหรียญสหรัฐต่อตัน เป็น 495 เหรียญสหรัฐต่อตัน ลดลง ร้อยละ 15.38 เหล็กเส้นจาก CIS ณ ท่า Far East ลดลงจาก 425 เหรียญสหรัฐต่อตัน เป็น 366 เหรียญสหรัฐต่อตัน ลดลงร้อยละ 13.99 และ เหล็กแท่งเล็กบิลเล็ต จาก CIS ณ ท่า Far East ลดลงจาก 367 เหรียญสหรัฐต่อตัน เป็น 330 เหรียญสหรัฐต่อตัน ลดลง ร้อยละ 10.10 ทั้งนี้ เป็นผลมาจากความต้องการใช้เหล็กในตลาดโลกลดลง จากการที่ประเทศจีนได้ชะลอการนำเข้าลงหลังจากที่ได้มีการตั้งโรงงานใหม่รวมทั้งมีการปรับปรุงประสิทธิภาพของโรงงานเดิมทำให้ขณะนี้ปริมาณการผลิตของประเทศเกินกว่าความต้องการใช้ในประเทศแล้ว ทำให้ประเทศจีนต้องส่งออกเหล็กราคาถูกเข้ามาทุ่มตลาดเหล็กในประเทศแถบเอเชียเป็นจำนวนมาก
สำหรับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของราคาผลิตภัณฑ์เหล็กที่สำคัญ (FOB)โดยเฉลี่ยในตลาดโลกของปี 2548 เทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน ผลิตภัณฑ์เหล็กที่สำคัญทุกตัวมีทิศทางในการปรับตัวของราคาที่ลดลง ดังนี้ เหล็กแท่งแบน จาก CIS ณ ท่า Far East ลดลงจาก 470 เหรียญสหรัฐต่อตัน เป็น 380 เหรียญสหรัฐต่อตัน ลดลง ร้อยละ 19.29 เหล็กเส้นจาก CIS ณ ท่า Far East ลดลงจาก 429 เหรียญสหรัฐต่อตัน เป็น 388 เหรียญสหรัฐต่อตัน ลดลงร้อยละ 9.60 เหล็กแผ่นรีดร้อน จาก CIS ณ ท่า Far East ลดลงจาก 495 เหรียญสหรัฐต่อตัน เป็น 453 เหรียญสหรัฐต่อตัน ลดลง ร้อยละ 8.49 เหล็กแท่งเล็กบิลเล็ต จาก CIS ณ ท่า Far East ลดลงจาก 368 เหรียญสหรัฐต่อตัน เป็น 339 เหรียญสหรัฐต่อตัน ลดลง ร้อยละ 7.77 และเหล็กแผ่นรีดเย็น จาก CIS ณ ท่า Far East ลดลงจาก 564 เหรียญสหรัฐต่อตัน เป็น 553 เหรียญสหรัฐต่อตัน ลดลง ร้อยละ 2.05
จากรายงานของสถาบันเหล็กและเหล็กกล้านานาชาติ (IISI) พบว่าปริมาณการบริโภคเหล็กของโลกในปี 2548 ประมาณ 998 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยประเทศจีนมีปริมาณการบริโภคถึง300 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.3 ประเทศอื่นๆ ประมาณ 698 ล้านตัน ชะลอตัวลง ร้อยละ 0.2 ขณะเดียวกันได้มีการคาดการณ์ว่าในปี 2549 ปริมาณการบริโภคเหล็กของโลก อยู่ในช่วง 1,040 — 1,055 ล้านตัน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 4-5.5 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยจีนมีปริมาณการบริโภคประมาณ 320-330 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 7-10 ประเทศอื่นๆ ประมาณ 720-725 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 3-3.5 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งการประมาณการขยายตัวของปริมาณการบริโภคเหล็กจะเป็นไปในทิศทางเดียวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจประเทศที่มีการขยายตัวของ GDP สูง เช่น ประเทศจีนและอินเดีย อย่างไรก็ตาม ต้นทุนของวัตถุดิบและพลังงานยังคงเป็นปัจจัยที่มีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเหล็กโลก
สำหรับสถานการณ์เหล็กในประเทศ บริษัท ทาทา สตีล จำกัด ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของประเทศอินเดีย ได้เข้าซื้อหุ้น บ. มิลเลนเนียม สตีล จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็น บ.ผู้ผลิตเหล็กเส้นรายใหญ่ของไทย ซึ่งมีผลในทางบวกคือ ทางบริษัทจะได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่ทันสมัย ซึ่งผู้ประกอบการเหล็กของไทยรายอื่นๆ จะต้องมีการปรับตัวโดยปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตเพื่อให้สามารถแข่งขันได้
3.แนวโน้ม
แนวโน้มสถานการณ์เหล็กโดยรวมในประเทศในไตรมาสที่ 1 ปี 2549 เทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน คาดการณ์ว่าจะทรงตัว โดยในส่วนของเหล็กทรงยาวที่ใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้างในช่วงไตรมาสที่ 1 ความต้องการใช้ยังคงชะลอตัวอยู่ ในขณะที่โครงการเมกะโปรเจ็คส์ของทางภาครัฐที่จะกระตุ้นให้ธุรกิจก่อสร้างขยายตัวมากขึ้นคาดการณ์ว่าจะมีผลในทางปฏิบัติช่วงครึ่งหลังของปี 2549 สำหรับเหล็กทรงแบนคาดการณ์ว่าจะทรงตัวเช่นกัน เนื่องจากผู้ผลิตยังคงมีปริมาณสินค้าคงคลังที่สูงอยู่ ประกอบกับผู้ผลิตประสบปัญหาสต๊อกวัตถุดิบที่มีราคาแพง จึงทำให้สินค้าที่ผลิตออกมาในประเทศไม่สามารถแข่งขันกับสินค้าที่นำเข้ามาได้ ซึ่งอาจทำให้มีการนำเข้าเหล็กประเภทนี้เข้ามาก ถึงแม้จะมีความต้องการใช้จากอุตสาหกรรมต่อเนื่องก็ตาม
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-
การผลิต
ปริมาณการผลิตเหล็กและเหล็กกล้าที่สำคัญในไตรมาสที่ 4 ปี 2548 มีประมาณ 2,254,582 เมตริกตัน ( ไม่รวมผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูป เหล็กแผ่นรีดเย็น เหล็กแผ่นเคลือบและท่อเหล็กเพื่อไม่ให้เกิดการนับซ้ำ ) ชะลอตัวลง ร้อยละ 31.22 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่ชะลอตัว จากปัญหาต้นทุนทางด้านพลังงานที่สูงขึ้น ภาวะภัยแล้งและน้ำท่วม ทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ งานก่อสร้างโครงการต่างๆ ลดน้อยลง ประกอบกับผู้ผลิตและพ่อค้าคนกลางยังคงมีปริมาณสินค้าคงคลังที่สูงอยู่ จึงเร่งระบายสินค้าในสต๊อกออก มีผลให้ผู้ผลิตลดการผลิตในส่วนของเหล็กทรงยาวลง และเมื่อพิจารณารายผลิตภัณฑ์ พบว่า ผลิตภัณฑ์ที่มีชะลอตัวลงมากที่สุดในระยะนี้ คือ ผลิตภัณฑ์เหล็กเคลือบสังกะสี ลดลง ร้อยละ 41.32 เนื่องจากมีการนำเข้าเหล็กชนิดนี้เพิ่มขึ้นมากในช่วงนี้โดยเป็นผลมาจากการที่ผู้ผลิตประสบปัญหาทางด้านราคาเหล็กที่ลดลงอยางต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี ทำให้ผู้ผลิตซึ่งสั่งซื้อวัตถุดิบไว้ล่วงหน้ามีต้นทุนราคาสต๊อกวัตถุดิบที่สูง ขณะที่ราคาสินค้าสำเร็จรูปในช่วงนี้มีกลับลดลง จึงทำให้ราคาสินค้าที่ผลิตออกมาในประเทศสูงกว่าราคาสินค้าสำเร็จรูปที่นำเข้ามา ซึ่งมีผลให้สินค้าที่ผลิตในประเทศไม่สามารถแข่งขันกับสินค้าที่นำเข้ามาได้ รองลงมาคือ เหล็กแผ่นรีดเย็น ลดลง ร้อยละ 39.69 และ เหล็กแผ่นเคลือบดีบุก ลดลง ร้อยละ 36.32
สำหรับปริมาณการผลิตเหล็กและเหล็กกล้าที่สำคัญในปี 2548 มีประมาณ 9,409,000 เมตริกตัน ( ไม่รวมผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูป เหล็กแผ่นรีดเย็น เหล็กแผ่นเคลือบและท่อเหล็กเพื่อไม่ให้เกิดการนับซ้ำ ) ขยายตัวขึ้นเล็กน้อยเพียง ร้อยละ 2.87 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน และเมื่อพิจารณารายผลิตภัณฑ์ พบว่า ผลิตภัณฑ์ที่มีขยายตัวมากที่สุดในระยะนี้ คือ ผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูป เพิ่มขึ้น ร้อยละ 13.86 รองลงมาคือ เหล็กแผ่นรีดร้อน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 9.27 สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีการผลิตชะลอตัวลงมากที่สุดในระยะนี้ คือ เหล็กแผ่นเคลือบดีบุก ลดลง ร้อยละ 30.87 รองลงมาคือ เหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี ลดลง ร้อยละ 25.14
การใช้ในประเทศ
ปริมาณการใช้เหล็กและเหล็กกล้าในประเทศที่สำคัญในไตรมาสที่ 4 ปี 2548 ประมาณ 2,882,744 เมตริกตัน โดยการใช้ในประเทศชะลอตัวลง ร้อยละ 10.80 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน โดยเหล็กทรงยาว ชะลอตัวลงถึงร้อยละ 20.18 เป็นมาจากสภาวะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ชะลอตัวลง เหล็กทรงแบนชะลอตัวลงร้อยละ 4.29
ปริมาณการใช้เหล็กและเหล็กกล้าในประเทศที่สำคัญในปี 2548 ประมาณ 11,011,800 เมตริกตัน โดยปริมาณการใช้ในประเทศขยายตัวขึ้นเล็กน้อย ร้อยละ 3.25 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นผลมาจากการขยายตัวของเหล็กทรงแบน ขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 6.62 เนื่องจากความต้องการใช้ของอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งยังคงมีอยู่ แต่เหล็กทรงยาวชะลอตัวลงเล็กน้อยร้อยละ 0.09
การนำเข้า
มูลค่าและปริมาณการนำเข้าเหล็กและเหล็กกล้าที่สำคัญในไตรมาสที่ 4 ปี 2548 มีจำนวนประมาณ 58,339ล้านบาท และ 2,420,849 เมตริกตัน โดยมูลค่าและปริมาณการนำเข้าชะลอตัวลง ร้อยละ 6.26 และ 11.91 ตามลำดับ ซึ่งส่วนใหญ่นำเข้ามาจากประเทศรัสเซียและจีน โดยผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการนำเข้าชะลอตัวลงมากที่สุดเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ เหล็กแท่งเล็กบิลเล็ต ลดลง ร้อยละ 69.07 เนื่องจากเหล็กชนิดนี้เป็นวัตถุดิบของเหล็กเส้น ซึ่งช่วงนี้การผลิตได้ชะลอตัวลงจากสภาวะก่อสร้างที่ซบเซารองลงมาคือ เหล็กแผ่นบางรีดร้อน ลดลง ร้อยละ 60.55และเหล็กแผ่นเคลือบดีบุก ลดลง ร้อยละ 25.94
ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการนำเข้ามากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ เหล็กแท่งแบน มีมูลค่า 14,000 ล้านบาท รองลงมาคือเหล็กแผ่นหนารีดร้อน มีมูลค่า 11,136 ล้านบาท และเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสีแบบจุ่มร้อน มีมูลค่า 7,809 ล้านบาท โดยผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการนำเข้าขยายตัวเพิ่มมากที่สุด ได้แก่ ท่อเหล็กมีตะเข็บ เพิ่มขึ้น ร้อยละ 138.50 เหล็กแผ่นบางรีดร้อนชนิดผ่านการกัดล้างและชุบน้ำมัน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 82.52 และ เหล็กแผ่นเคลือบสังกะสีแบบจุ่มร้อน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 58.62 รายละเอียดตามตารางที่ 3
มูลค่าและปริมาณการนำเข้าเหล็กและเหล็กกล้าที่สำคัญในปี 2548 มีจำนวนประมาณ 278,896ล้านบาท และ 11,563,162 เมตริกตัน โดยมูลค่าและปริมาณการนำเข้าขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 39.63 และ 12.95 ตามลำดับ ซึ่งส่วนใหญ่นำเข้ามาจากประเทศรัสเซียและญี่ปุ่น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากในช่วงต้นปี 2548 หลายประเทศของโลก เช่น อเมริกา ญี่ปุ่น และประเทศในกลุ่มยุโรป มีปริมาณสินค้าคงคลังสูงขณะที่ความต้องการใช้ทรงตัวเนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ จึงมีผลทำให้แต่ละประเทศเร่งระบายสินค้าในสต๊อกโดยเพิ่มปริมาณการส่งออก ประกอบกับสถานการณ์เหล็กในประเทศจีนที่ประสบปัญหากำลังการผลิตส่วนเกิน ซึ่งการแก้ไขปัญหาด้วยการส่งเสริมให้เกิดการควบรวมกิจการโรงงานขนาดเล็กในประเทศยังไม่สัมฤทธิ์ผล จึงมีผลทำให้ผู้ผลิตเหล็กจีนเพิ่มการส่งออกเหล็กไปยังต่างประเทศและได้มีการส่งออกเหล็กราคาถูกเข้ามายังประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น โดยผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการนำเข้าขยายตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุดเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ เหล็กโครงสร้างรูปพรรณ เพิ่มขึ้น ร้อยละ 126.02 รองลงมาคือ เหล็กแผ่นบางรีดร้อนชนิดผ่านการกัดล้างและชุบน้ำมัน (HR sheet P&O ) ขยายตัว เพิ่มขึ้น ร้อยละ 111.96
ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการนำเข้ามากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ เหล็กแท่งแบน มีมูลค่า 60,099 ล้านบาท รองลงมาคือเหล็กแผ่นบางรีดร้อน มีมูลค่า 38,135 ล้านบาท และเหล็กแท่งเล็กบิลเล็ต มีมูลค่า 28,636 ล้านบาท
การส่งออก
มูลค่าและปริมาณการส่งออกเหล็กและเหล็กกล้าในไตรมาสที่ 4 ปี 2548 มีจำนวนประมาณ 12,755 ล้านบาท และ 500,969 เมตริกตัน โดยมีการขยายตัวของปริมาณการส่งออกเพิ่มมากขึ้น ร้อยละ 5.58แต่มูลค่าการส่งออกชะลอตัวลง ร้อยละ 6.80 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากราคาเหล็กในตลาดโลกที่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยตลาดส่งออกที่สำคัญของไทยในช่วงนี้คือ จีน ฮ่องกงและมาเลเซีย สำหรับผลิตภัณฑ์มีมูลค่าการส่งออกชะลอตัวลงในช่วงนี้เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูปชนิดอื่นๆ ลดลงร้อยละ 99.89 เหล็กแผ่นเคลือบสังกะสีด้วยไฟฟ้า ลดลง ร้อยละ 74 และเหล็กเส้นลดลงร้อยละ 54.20
ผลิตภัณฑ์ที่มีการมูลค่าการส่งออกมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ เหล็กแผ่นบางรีดร้อน ท่อเหล็กมีตะเข็บ และเหล็กแผ่นรีดเย็นไร้สนิม โดยมีมูลค่า 2,635 2,148 และ 1,740 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความต้องการใช้ในประเทศที่ทรงตัว ผู้ผลิตจึงขยายสัดส่วนการส่งออกเพิ่มมากขึ้นเพื่อกระจายความเสี่ยงในธุรกิจ
มูลค่าและปริมาณการส่งออกเหล็กและเหล็กกล้าในปี 2548 มีจำนวนประมาณ 53,006 ล้านบาท และ 1,931,770 เมตริกตัน โดยมีการขยายตัวของมูลค่าและปริมาณการส่งออกเพิ่มมากขึ้น ร้อยละ 29.38 และ 15.11 โดยตลาดส่งออกที่สำคัญของไทยในช่วงนี้คือ จีนและฮ่องกง สำหรับผลิตภัณฑ์มีมูลค่าการส่งออกขยายตัวขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ เหล็กแผ่นไม่ได้เคลือบดีบุก เพิ่มขึ้น ร้อยละ 618.14 เหล็กแผ่นหนารีดร้อน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 446.51 และ เหล็กแผ่นบางรีดร้อน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 165.23 โดยผลิตภัณฑ์ที่มีการมูลค่าการส่งออกมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ เหล็กแผ่นบางรีดร้อน เหล็กแผ่นรีดเย็น และ เหล็กแผ่นรีดเย็นไร้สนิม โดยมีมูลค่า 11,407 8,163 และ 7,112 ล้านบาท ตามลำดับ
2. สรุป
สถานการณ์เหล็กโดยรวมในไตรมาสที่ 4 ปี 2548 ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัวลง โดยธุรกิจภาคก่อสร้าง โครงการต่างๆ ของภาครัฐและภาคเอกชนที่ซบเซาลง ทำให้สภาวะการค้าภายในประเทศชะลอตัวลง ประกอบกับผู้ผลิตและพ่อค้าคนกลางยังคงมีปริมาณสินค้าคงคลังอยู่ จึงทำให้ผู้ผลิตลดการผลิตลง โดยเหล็กทรงยาวชะลอตัวลงทั้งการผลิตและความต้องการใช้ในประเทศร้อยละ 20.72 และ 20.18 ตามลำดับ เช่นเดียวกับเหล็กทรงแบนที่มีสภาวะการผลิตและการใช้ในประเทศที่ชะลอตัวลง ร้อยละ 10.62 และ 4.29 สำหรับมูลค่าและปริมาณการนำเข้าโดยรวมชะลอตัวลงร้อยละ 6.26 และ 11.91 โดยเหล็กแท่งเล็กบิลเล็ต ลดลง ร้อยละ 69.07 เนื่องจากเหล็กชนิดนี้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเหล็กทรงยาว ซึ่งมีการผลิตลดลง รองลงมาคือเหล็กแผ่นบางรีดร้อน ลดลง ร้อยละ 60.55 สำหรับการส่งออกโดยรวมมีการขยายตัวของปริมาณ ร้อยละ 5.58 แต่มูลค่ากลับลดลง ร้อยละ 6.80 ทั้งนี้เป็นผลมาจากราคาเหล็กที่ปรับตัวลดลง โดยส่วนใหญ่เป็นการเหล็กแผ่นบางรีดร้อนไปยังประเทศจีน
สถานการณ์เหล็กโดยรวมใน ปี 2548 ทรงตัวเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน โดยการผลิตโดยรวมขยายตัวขึ้นเล็กน้อย ร้อยละ 2.87 ความต้องการใช้ในประเทศขยายตัว ร้อยละ 3.25 มูลค่าและปริมาณการนำเข้าขยายตัว ร้อยละ 39.63 และ 12.95 มูลค่าและปริมาณการส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 29.38 และ 15.11 โดยเหล็กทรงยาวชะลอตัวลงทั้งการผลิตและความต้องการใช้ในประเทศ ร้อยละ 2.21 และ 0.09 ตามลำดับ เนื่องจากภาวะอุตสาหกรรมก่อสร้างที่ซบเซา แต่เหล็กทรงแบนมีสภาวะการผลิตที่ชะลอตัวลงร้อยละ 4.42 แต่ความต้องการใช้ในประเทศกลับขยายตัวขึ้น ร้อยละ 6.62 ทั้งนี้ เนื่องจากผู้ผลิตและพ่อค้าคนกลางยังคงมีปริมาณสินค้าคงคลังอยู่และได้มีการนำเข้าเข้าเหล็กจากต่างประเทศเข้ามาเพิ่มขึ้นมากด้วย
สำหรับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของราคาผลิตภัณฑ์เหล็กที่สำคัญ (FOB)โดยเฉลี่ยในตลาดโลกของไตรมาสที่ 4 ปี 2548 เทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน ผลิตภัณฑ์เหล็กที่สำคัญทุกตัวมีทิศทางในการปรับตัวของราคาที่ลดลง ดังนี้ เหล็กแท่งแบน จาก CIS ณ ท่า Far East ลดลงจาก 507 เหรียญสหรัฐต่อตัน เป็น 299 เหรียญสหรัฐต่อตัน ลดลง ร้อยละ 41.02 เหล็กแผ่นรีดร้อน จาก CIS ณ ท่า Far East ลดลงจาก 517 เหรียญสหรัฐต่อตัน เป็น 396 เหรียญสหรัฐต่อตัน ลดลง ร้อยละ 23.42 เหล็กแผ่นรีดเย็น จาก CIS ณ ท่า Far East ลดลงจาก 585 เหรียญสหรัฐต่อตัน เป็น 495 เหรียญสหรัฐต่อตัน ลดลง ร้อยละ 15.38 เหล็กเส้นจาก CIS ณ ท่า Far East ลดลงจาก 425 เหรียญสหรัฐต่อตัน เป็น 366 เหรียญสหรัฐต่อตัน ลดลงร้อยละ 13.99 และ เหล็กแท่งเล็กบิลเล็ต จาก CIS ณ ท่า Far East ลดลงจาก 367 เหรียญสหรัฐต่อตัน เป็น 330 เหรียญสหรัฐต่อตัน ลดลง ร้อยละ 10.10 ทั้งนี้ เป็นผลมาจากความต้องการใช้เหล็กในตลาดโลกลดลง จากการที่ประเทศจีนได้ชะลอการนำเข้าลงหลังจากที่ได้มีการตั้งโรงงานใหม่รวมทั้งมีการปรับปรุงประสิทธิภาพของโรงงานเดิมทำให้ขณะนี้ปริมาณการผลิตของประเทศเกินกว่าความต้องการใช้ในประเทศแล้ว ทำให้ประเทศจีนต้องส่งออกเหล็กราคาถูกเข้ามาทุ่มตลาดเหล็กในประเทศแถบเอเชียเป็นจำนวนมาก
สำหรับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของราคาผลิตภัณฑ์เหล็กที่สำคัญ (FOB)โดยเฉลี่ยในตลาดโลกของปี 2548 เทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน ผลิตภัณฑ์เหล็กที่สำคัญทุกตัวมีทิศทางในการปรับตัวของราคาที่ลดลง ดังนี้ เหล็กแท่งแบน จาก CIS ณ ท่า Far East ลดลงจาก 470 เหรียญสหรัฐต่อตัน เป็น 380 เหรียญสหรัฐต่อตัน ลดลง ร้อยละ 19.29 เหล็กเส้นจาก CIS ณ ท่า Far East ลดลงจาก 429 เหรียญสหรัฐต่อตัน เป็น 388 เหรียญสหรัฐต่อตัน ลดลงร้อยละ 9.60 เหล็กแผ่นรีดร้อน จาก CIS ณ ท่า Far East ลดลงจาก 495 เหรียญสหรัฐต่อตัน เป็น 453 เหรียญสหรัฐต่อตัน ลดลง ร้อยละ 8.49 เหล็กแท่งเล็กบิลเล็ต จาก CIS ณ ท่า Far East ลดลงจาก 368 เหรียญสหรัฐต่อตัน เป็น 339 เหรียญสหรัฐต่อตัน ลดลง ร้อยละ 7.77 และเหล็กแผ่นรีดเย็น จาก CIS ณ ท่า Far East ลดลงจาก 564 เหรียญสหรัฐต่อตัน เป็น 553 เหรียญสหรัฐต่อตัน ลดลง ร้อยละ 2.05
จากรายงานของสถาบันเหล็กและเหล็กกล้านานาชาติ (IISI) พบว่าปริมาณการบริโภคเหล็กของโลกในปี 2548 ประมาณ 998 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยประเทศจีนมีปริมาณการบริโภคถึง300 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.3 ประเทศอื่นๆ ประมาณ 698 ล้านตัน ชะลอตัวลง ร้อยละ 0.2 ขณะเดียวกันได้มีการคาดการณ์ว่าในปี 2549 ปริมาณการบริโภคเหล็กของโลก อยู่ในช่วง 1,040 — 1,055 ล้านตัน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 4-5.5 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยจีนมีปริมาณการบริโภคประมาณ 320-330 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 7-10 ประเทศอื่นๆ ประมาณ 720-725 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 3-3.5 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งการประมาณการขยายตัวของปริมาณการบริโภคเหล็กจะเป็นไปในทิศทางเดียวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจประเทศที่มีการขยายตัวของ GDP สูง เช่น ประเทศจีนและอินเดีย อย่างไรก็ตาม ต้นทุนของวัตถุดิบและพลังงานยังคงเป็นปัจจัยที่มีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเหล็กโลก
สำหรับสถานการณ์เหล็กในประเทศ บริษัท ทาทา สตีล จำกัด ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของประเทศอินเดีย ได้เข้าซื้อหุ้น บ. มิลเลนเนียม สตีล จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็น บ.ผู้ผลิตเหล็กเส้นรายใหญ่ของไทย ซึ่งมีผลในทางบวกคือ ทางบริษัทจะได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่ทันสมัย ซึ่งผู้ประกอบการเหล็กของไทยรายอื่นๆ จะต้องมีการปรับตัวโดยปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตเพื่อให้สามารถแข่งขันได้
3.แนวโน้ม
แนวโน้มสถานการณ์เหล็กโดยรวมในประเทศในไตรมาสที่ 1 ปี 2549 เทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน คาดการณ์ว่าจะทรงตัว โดยในส่วนของเหล็กทรงยาวที่ใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้างในช่วงไตรมาสที่ 1 ความต้องการใช้ยังคงชะลอตัวอยู่ ในขณะที่โครงการเมกะโปรเจ็คส์ของทางภาครัฐที่จะกระตุ้นให้ธุรกิจก่อสร้างขยายตัวมากขึ้นคาดการณ์ว่าจะมีผลในทางปฏิบัติช่วงครึ่งหลังของปี 2549 สำหรับเหล็กทรงแบนคาดการณ์ว่าจะทรงตัวเช่นกัน เนื่องจากผู้ผลิตยังคงมีปริมาณสินค้าคงคลังที่สูงอยู่ ประกอบกับผู้ผลิตประสบปัญหาสต๊อกวัตถุดิบที่มีราคาแพง จึงทำให้สินค้าที่ผลิตออกมาในประเทศไม่สามารถแข่งขันกับสินค้าที่นำเข้ามาได้ ซึ่งอาจทำให้มีการนำเข้าเหล็กประเภทนี้เข้ามาก ถึงแม้จะมีความต้องการใช้จากอุตสาหกรรมต่อเนื่องก็ตาม
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-