แท็ก
ธปท.
ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท. จะยุติภารกิจปรับปรุงโครงสร้างหนี้ 1 ต.ค.49 ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ
ธปท. ในฐานะประธานคณะกรรมการเพื่อส่งเสริมการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ (คปน.) เปิดเผยว่า คปน. จะยุติ
ภารกิจการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.49 ซึ่งจะครบกำหนดเวลาดำเนินการ 8 ปี เนื่องจากการดูแล
ทำหน้าที่ลุล่วงแล้วเสร็จ โดยนับจากตั้ง คปน. ในปี 41 จนถึงปัจจุบันสามารถลดเอ็นพีแอลจาก 2.7 ล้านล้านบาท
หรือร้อยละ 47 ของสินเชื่อรวม จนเหลือ 4.7 แสนล้านบาทท หรือร้อยละ 8.16 ส่วนเอ็นพีแอลที่เหลือจะให้
ธ.พาณิชย์เป็นผู้ดูแลซึ่งไม่น่าก่อความเสียหายเนื่องจากมีการตั้งสำรองหนี้สูญไว้แล้วกว่า 2 ใน 3 และมีเครื่องมือ
ในการดูแลต่อ ทั้งบรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน (บบส.) ที่จะควบรวมกับบริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพ
พาณิชย์ (บสก.) และบริษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน (เอเอ็มซี) จะรับซื้อไว้ โดยยังยืนเป้าเดิมให้เอ็นพีแอล
ลดลงอยู่ที่ร้อยละ 5 ในปีนี้ และร้อยละ 2 ในปีหน้า ด้านนายทำนอง ดาศรี ผอ.ฝ่ายปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ธปท.
กล่าวว่า คปน. ได้กำหนดแนวทางในการดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ในปี 49 จะต้องเป็นลูกหนี้เอ็นพีแอล
ณ วันที่ 31 ธ.ค.47 เท่านั้น ส่วนลูกหนี้ที่ คปน. จะไม่รับดำเนินการคือลูกหนี้ที่เคยปรับปรุงโครงสร้างนี้มาแล้ว
กลับมาเป็นเอ็นพีแอลใหม่ หรือเป็นลูกหนี้ที่เป็นเอ็นพีแอลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.49 หรือเป็นลูกหนี้บัตรเครดิต ลูกหนี้
สินเชื่อบุคคล หรือเงินกู้ส่วนบุคคล ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 41 ถึง 48 มีลูกหนี้ที่ปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำเร็จ 11,643 ราย
มูลหนี้ 1,501,161 ล้านบาท (โพสต์ทูเดย์, กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน, โลกวันนี้)
2. คาดเศรษฐกิจปีนี้ขยายตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ระดับร้อยละ 4.75-5.75 บ.ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
ได้ปรับลดประมาณการขยายตัวทางเศรษฐกิจจากเดิมร้อยละ 4.5 — 5.0 เป็น 4.0 — 5.0 ต่ำกว่าการคาดการณ์
ของ ธปท. ที่ร้อยละ 4.75 — 5.75 และ สศช. ที่ร้อยละ 4.7 — 5.7 โดยระบุว่าการปรับลดดังกล่าวเป็นผลจาก
ปัจจัยเสี่ยงหลัก ได้แก่ การลงทุนภาครัฐที่อาจขยายตัวเพียงร้อยละ 6.2 ต่ำกว่าเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ
22.7 เนื่องจากความล่าช้าของโครงการเมกะโปรเจกต์ และข้อจำกัดด้านฐานะทางการคลังของรัฐบาล ตลอดจน
ความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเศรษฐกิจ สรอ. ที่ยังคงจะชะลอตัวสูงหลังจากที่
ธ.กลาง สรอ. ปรับขึ้นดอกเบี้ยเสร็จสิ้นในไตรมาส 2 ปีนี้ รวมทั้งราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มสูงขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้
เนื่องจากความขัดแย้งของอิหร่าน ไนจีเรีย และเวเนซุเอลลา ซึ่งจะส่งผลให้เงินเฟ้อปีนี้สูงขึ้นเป็นร้อยละ
4.3 — 4.8 จากประมาณการเดิมที่ร้อยละ 3.8 — 4.3 ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจไทยนอกจากจะเผชิญปัญหาการ
ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นปีที่สอง ประมาณ 3.8 —4.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. รัฐบาลอาจเผชิญปัญหาการขาดดุล
งปม. 2-3 หมื่นล้านบาท จากการที่รัฐไม่มีรายได้จากการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ขณะที่การจัดเก็บภาษีขยายตัวร้อยละ
7-8 และรัฐมีการเร่งเบิกจ่ายตามเป้าที่วางไว้ ทั้งนี้ การขาดดุล งปม. ดังกล่าวอาจจะมีผลกระทบทางจิตวิทยาต่อ
ความเชื่อมั่นในตลาดเงินและตลาดทุนได้ เนื่องจากจะเป็นปีแรกที่ไทยประสบกับการขาดดุลคู่นับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจ
ในปี 40 (มติชน)
3. คาด ธ.กลาง สรอ. อาจจะขึ้นดอกเบี้ยจนสูงถึงร้อยละ 5 ในกลางปีนี้ นายเบน เบอร์นันเก้
ประธาน ธ.กลาง สรอ. กล่าวว่า ผลผลิตทางเศรษฐกิจของ สรอ. ในขณะนี้ใกล้แตะระดับที่มีศักยภาพเต็มที่แล้ว
และอาจส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นหากไม่มีการใช้นโยบายการเงินที่เหมาะสมในการรับมือกับภาวะเช่นนี้ โดยตั้ง
ข้อสังเกตว่าคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟดระบุว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปอาจเป็นสิ่งจำเป็น
ซึ่งเขาเห็นด้วยกับการคาดการณ์นี้ และย้ำถึงความเสี่ยงของภาวะเงินเฟ้อโดยกล่าวว่า ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานใน
ระดับสูงอาจถ่วงการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และมีการจับตาดูอย่างใกล้ชิดเกี่ยวกับภาวะชะลอตัวที่อาจเกิดขึ้นใน
ตลาดที่พักอาศัย นอกจากนี้ เขาได้แสดงความเชื่อมั่นว่าอุปสงค์จากภาคเศรษฐกิจอื่นยังคงมีอยู่ ซึ่งจะช่วยขจัดความ
วิตกที่ว่าภาวะชะลอตัวอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ส่วนการที่อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอยู่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ย
ระยะยาวในตลาดพันธบัตร สรอ. ไม่ได้เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจแต่อย่างใด เนื่องจากเป็นสิ่ง
ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในอดีตที่ผ่านมา (กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ณ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 11 ก.พ.49 เพิ่มขึ้นจำนวน
19,000 ราย รายงานจากวอชิงตัน เมื่อ 16 ก.พ.49 ก.แรงงาน สรอ. เปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการ
ว่างงานครั้งแรก ณ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 11 ก.พ.49 เพิ่มขึ้นอยู่ที่จำนวน 297,000 ราย จากจำนวน 278,000 ราย
ในสัปดาห์ก่อนหน้า หรือเพิ่มขึ้น 19,000 ราย ซึ่งสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์โดยรอยเตอร์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นอยู่ที่
จำนวน 285,000 ราย สำหรับอัตราถัวเฉลี่ย 4 สัปดาห์ ที่เป็นเครื่องชี้ภาวะตลาดแรงงานลดลงอยู่ในระดับต่ำสุด
นับตั้งแต่เดือน มี.ค.44 บ่งชี้ว่าตลาดแรงงานเริ่มดีขึ้น ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ ก.แรงงานได้เปิดเผยตัวเลขอัตราการว่าง
งานในเดือน ม.ค.ของ สรอ.ว่าอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปีครึ่งที่ร้อยละ 4.7 (รอยเตอร์)
2. ประสิทธิภาพในการผลิตของยุโรปเพิ่มขึ้นในเดือน ม.ค.49 รายงานจากปารีส เมื่อ 16 ก.พ.49
NTC ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจชั้นนำรายงานดัชนีชี้วัดประสิทธิภาพในการผลิตต่อหัวประชากรของประเทศทั้งใน
สหภาพยุโรปและเขตเศรษฐกิจยุโรปหรือ Euro zone สำหรับเดือน ม.ค.49 อยู่ที่ระดับ 54.3 ทั้งนี้ตัวเลขที่สูงกว่า
50 แสดงถึงการขยายตัว โดยเยอรมนีที่พยายามลดต้นทุนค่าแรงในช่วงที่ผ่านมามีประสิทธิภาพในการผลิตในเดือน
ดังกล่าวอยู่ในระดับสูงสุดที่ 56.0 นำหน้าฝรั่งเศสและอังกฤษซึ่งอยู่ที่ระดับ 55.6 และ 54.7 ตามลำดับ ในขณะที่
อิตาลีเป็นประเทศเดียวใน 4 ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่สุดในยุโรปที่มีประสิทธิภาพในการผลิตต่ำกว่าค่าเฉลี่ย
ของสหภาพยุโรปและ Euro zone โดยอยู่ที่ระดับ 52.8 ทั้งนี้หากแยกตามภาคอุตสาหกรรมแล้ว อุตสาหกรรม
กระดาษและผลิตภัณฑ์จากป่ามีประสิทธิภาพในการผลิตสูงสุด ตามมาด้วยอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ สินค้าทุน วัสดุก่อสร้าง
ธุรกิจบริการและสันทนาการ ในขณะที่ประสิทธิภาพในการผลิตของธุรกิจโทรคมนาคม อสังหาริมทรัพย์และเทคโนโลยี
สารสนเทศลดลง (รอยเตอร์)
3. คาดว่าจีนจะเกินดุลการค้าในปี 49 จำนวน 104 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.รายงานจากปักกิ่ง เมื่อ
17 ก.พ.49 เว็บไซต์ China Securities Journal อ้างรายงานการศึกษาของ Chinese Academy of
Social Science ที่คาดการณ์ว่า จีนน่าจะเกินดุลการค้าในปี 49 จำนวน 104 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้น
จากปีก่อนเล็กน้อย แม้ว่าการส่งออกจะชะลอตัวลงบ้างก็ตาม ทั้งนี้คาดว่าในปี 49 จีนจะส่งออกเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า
ประมาณร้อยละ 18 ที่จำนวน 900 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. ในขณะที่การนำเข้าคาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 อยู่ที่
จำนวนเกิน 790 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. อย่างไรก็ตาม เมื่อเดือน ม.ค.49 จีนเกินดุลการค้ามากกว่าที่คาดการณ์
ไว้ที่จำนวน 9.5 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. เตอกย้ำความรู้สึกของนักวิเคราะห์ที่มีความเห็นว่าค่าเงินหยวนต่ำกว่า
ความเป็นจริง ทำให้ผู้ประกอบการของจีนได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดโลก อนึ่ง ในปี 48 ที่ผ่านมาจีนเกินดุล
การค้ามากกว่า 3 เท่าที่จำนวน 102 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.เนื่องจากส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 28.4 ขณะที่นำเข้า
เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 17.6 (รอยเตอร์)
4. เศรษฐกิจญี่ปุ่นขยายตัวร้อยละ 1.4 ในไตรมาสสุดท้ายปี 48 จากไตรมาสก่อนสูงกว่าที่คาดไว้
รายงานจากโตเกียว เมื่อ 17 ก.พ.49 เศรษฐกิจญี่ปุ่นในไตรมาสสุดท้ายปี 48 ขยายตัวหลังปรับตัวเลขด้วยอัตรา
เงินเฟ้อแล้วร้อยละ 1.4 ต่อไตรมาสและร้อยละ 5.5 ต่อปี สูงกว่าที่คาดไว้ว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.2 ต่อไตรมาส
และร้อยละ 5.0 ต่อปี หลังจากขยายตัวร้อยละ 0.3 ต่อไตรมาสในไตรมาสที่ 3 ปี 48 และเป็นอัตราสูงสุดนับ
ตั้งแต่ขยายตัวร้อยละ 1.5 ในไตรมาสแรกปี 48 ทั้งนี้เป็นผลจากความต้องการในประเทศขยายตัว โดยการใช้จ่าย
ภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 0.8 ในไตรมาสสุดท้ายปี 48 จากการจ้างงานที่ดีขึ้นและรายได้ที่เป็นตัวเงินซึ่งรวมค่า
ล่วงเวลา เงินเดือนและโบนัสเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปีในปี 48 ในขณะที่การใช้จ่ายลงทุนของภาคธุรกิจก็
เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 ในไตรมาสสุดท้ายปี 48 นอกจากนี้การส่งออกที่กำลังฟื้นตัวก็มีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัว
ร้อยละ 0.6 ในไตรมาสดังกล่าว ตัวเลขดังกล่าวสอดคล้องกับความคาดหวังที่กำลังเพิ่มขึ้นในตลาดว่า ธ.กลางญี่ปุ่น
จะยกเลิกนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายที่ดำเนินมาตลอด 5 ปีที่ผ่านมาในเร็ว ๆ นี้ โดยในปี 48 เศรษฐกิจญี่ปุ่น
ขยายตัวร้อยละ 2.8 เทียบกับร้อยละ 2.4 จากการประเมินขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการ
พัฒนาหรือ OECD และเทียบกับร้อยละ 2.0 จากการประเมินของ IMF นับเป็นอัตราสูงสุดนับตั้งแต่ขยายตัวร้อยละ
2.9 ในปี 43 (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 17 ก.พ. 49 16 ก.พ. 49 31 ม.ค. 48 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 39.391 38.557 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 39.1871/39.4790 38.3598/38.6471 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 4.30156 2..1875 - 2.2000 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย(พันล้านบาท) 735.16/ 21.31 701.91/15.60 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,150/10,250 10,050/10,150 7,750/7,850 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 55.46 55.44 38.15 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับลดลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 16 ก.พ. 49
* ปรับลดลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 3 ก.พ. 49
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท. จะยุติภารกิจปรับปรุงโครงสร้างหนี้ 1 ต.ค.49 ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ
ธปท. ในฐานะประธานคณะกรรมการเพื่อส่งเสริมการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ (คปน.) เปิดเผยว่า คปน. จะยุติ
ภารกิจการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.49 ซึ่งจะครบกำหนดเวลาดำเนินการ 8 ปี เนื่องจากการดูแล
ทำหน้าที่ลุล่วงแล้วเสร็จ โดยนับจากตั้ง คปน. ในปี 41 จนถึงปัจจุบันสามารถลดเอ็นพีแอลจาก 2.7 ล้านล้านบาท
หรือร้อยละ 47 ของสินเชื่อรวม จนเหลือ 4.7 แสนล้านบาทท หรือร้อยละ 8.16 ส่วนเอ็นพีแอลที่เหลือจะให้
ธ.พาณิชย์เป็นผู้ดูแลซึ่งไม่น่าก่อความเสียหายเนื่องจากมีการตั้งสำรองหนี้สูญไว้แล้วกว่า 2 ใน 3 และมีเครื่องมือ
ในการดูแลต่อ ทั้งบรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน (บบส.) ที่จะควบรวมกับบริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพ
พาณิชย์ (บสก.) และบริษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน (เอเอ็มซี) จะรับซื้อไว้ โดยยังยืนเป้าเดิมให้เอ็นพีแอล
ลดลงอยู่ที่ร้อยละ 5 ในปีนี้ และร้อยละ 2 ในปีหน้า ด้านนายทำนอง ดาศรี ผอ.ฝ่ายปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ธปท.
กล่าวว่า คปน. ได้กำหนดแนวทางในการดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ในปี 49 จะต้องเป็นลูกหนี้เอ็นพีแอล
ณ วันที่ 31 ธ.ค.47 เท่านั้น ส่วนลูกหนี้ที่ คปน. จะไม่รับดำเนินการคือลูกหนี้ที่เคยปรับปรุงโครงสร้างนี้มาแล้ว
กลับมาเป็นเอ็นพีแอลใหม่ หรือเป็นลูกหนี้ที่เป็นเอ็นพีแอลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.49 หรือเป็นลูกหนี้บัตรเครดิต ลูกหนี้
สินเชื่อบุคคล หรือเงินกู้ส่วนบุคคล ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 41 ถึง 48 มีลูกหนี้ที่ปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำเร็จ 11,643 ราย
มูลหนี้ 1,501,161 ล้านบาท (โพสต์ทูเดย์, กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน, โลกวันนี้)
2. คาดเศรษฐกิจปีนี้ขยายตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ระดับร้อยละ 4.75-5.75 บ.ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
ได้ปรับลดประมาณการขยายตัวทางเศรษฐกิจจากเดิมร้อยละ 4.5 — 5.0 เป็น 4.0 — 5.0 ต่ำกว่าการคาดการณ์
ของ ธปท. ที่ร้อยละ 4.75 — 5.75 และ สศช. ที่ร้อยละ 4.7 — 5.7 โดยระบุว่าการปรับลดดังกล่าวเป็นผลจาก
ปัจจัยเสี่ยงหลัก ได้แก่ การลงทุนภาครัฐที่อาจขยายตัวเพียงร้อยละ 6.2 ต่ำกว่าเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ
22.7 เนื่องจากความล่าช้าของโครงการเมกะโปรเจกต์ และข้อจำกัดด้านฐานะทางการคลังของรัฐบาล ตลอดจน
ความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเศรษฐกิจ สรอ. ที่ยังคงจะชะลอตัวสูงหลังจากที่
ธ.กลาง สรอ. ปรับขึ้นดอกเบี้ยเสร็จสิ้นในไตรมาส 2 ปีนี้ รวมทั้งราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มสูงขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้
เนื่องจากความขัดแย้งของอิหร่าน ไนจีเรีย และเวเนซุเอลลา ซึ่งจะส่งผลให้เงินเฟ้อปีนี้สูงขึ้นเป็นร้อยละ
4.3 — 4.8 จากประมาณการเดิมที่ร้อยละ 3.8 — 4.3 ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจไทยนอกจากจะเผชิญปัญหาการ
ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นปีที่สอง ประมาณ 3.8 —4.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. รัฐบาลอาจเผชิญปัญหาการขาดดุล
งปม. 2-3 หมื่นล้านบาท จากการที่รัฐไม่มีรายได้จากการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ขณะที่การจัดเก็บภาษีขยายตัวร้อยละ
7-8 และรัฐมีการเร่งเบิกจ่ายตามเป้าที่วางไว้ ทั้งนี้ การขาดดุล งปม. ดังกล่าวอาจจะมีผลกระทบทางจิตวิทยาต่อ
ความเชื่อมั่นในตลาดเงินและตลาดทุนได้ เนื่องจากจะเป็นปีแรกที่ไทยประสบกับการขาดดุลคู่นับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจ
ในปี 40 (มติชน)
3. คาด ธ.กลาง สรอ. อาจจะขึ้นดอกเบี้ยจนสูงถึงร้อยละ 5 ในกลางปีนี้ นายเบน เบอร์นันเก้
ประธาน ธ.กลาง สรอ. กล่าวว่า ผลผลิตทางเศรษฐกิจของ สรอ. ในขณะนี้ใกล้แตะระดับที่มีศักยภาพเต็มที่แล้ว
และอาจส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นหากไม่มีการใช้นโยบายการเงินที่เหมาะสมในการรับมือกับภาวะเช่นนี้ โดยตั้ง
ข้อสังเกตว่าคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟดระบุว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปอาจเป็นสิ่งจำเป็น
ซึ่งเขาเห็นด้วยกับการคาดการณ์นี้ และย้ำถึงความเสี่ยงของภาวะเงินเฟ้อโดยกล่าวว่า ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานใน
ระดับสูงอาจถ่วงการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และมีการจับตาดูอย่างใกล้ชิดเกี่ยวกับภาวะชะลอตัวที่อาจเกิดขึ้นใน
ตลาดที่พักอาศัย นอกจากนี้ เขาได้แสดงความเชื่อมั่นว่าอุปสงค์จากภาคเศรษฐกิจอื่นยังคงมีอยู่ ซึ่งจะช่วยขจัดความ
วิตกที่ว่าภาวะชะลอตัวอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ส่วนการที่อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอยู่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ย
ระยะยาวในตลาดพันธบัตร สรอ. ไม่ได้เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจแต่อย่างใด เนื่องจากเป็นสิ่ง
ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในอดีตที่ผ่านมา (กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ณ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 11 ก.พ.49 เพิ่มขึ้นจำนวน
19,000 ราย รายงานจากวอชิงตัน เมื่อ 16 ก.พ.49 ก.แรงงาน สรอ. เปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการ
ว่างงานครั้งแรก ณ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 11 ก.พ.49 เพิ่มขึ้นอยู่ที่จำนวน 297,000 ราย จากจำนวน 278,000 ราย
ในสัปดาห์ก่อนหน้า หรือเพิ่มขึ้น 19,000 ราย ซึ่งสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์โดยรอยเตอร์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นอยู่ที่
จำนวน 285,000 ราย สำหรับอัตราถัวเฉลี่ย 4 สัปดาห์ ที่เป็นเครื่องชี้ภาวะตลาดแรงงานลดลงอยู่ในระดับต่ำสุด
นับตั้งแต่เดือน มี.ค.44 บ่งชี้ว่าตลาดแรงงานเริ่มดีขึ้น ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ ก.แรงงานได้เปิดเผยตัวเลขอัตราการว่าง
งานในเดือน ม.ค.ของ สรอ.ว่าอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปีครึ่งที่ร้อยละ 4.7 (รอยเตอร์)
2. ประสิทธิภาพในการผลิตของยุโรปเพิ่มขึ้นในเดือน ม.ค.49 รายงานจากปารีส เมื่อ 16 ก.พ.49
NTC ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจชั้นนำรายงานดัชนีชี้วัดประสิทธิภาพในการผลิตต่อหัวประชากรของประเทศทั้งใน
สหภาพยุโรปและเขตเศรษฐกิจยุโรปหรือ Euro zone สำหรับเดือน ม.ค.49 อยู่ที่ระดับ 54.3 ทั้งนี้ตัวเลขที่สูงกว่า
50 แสดงถึงการขยายตัว โดยเยอรมนีที่พยายามลดต้นทุนค่าแรงในช่วงที่ผ่านมามีประสิทธิภาพในการผลิตในเดือน
ดังกล่าวอยู่ในระดับสูงสุดที่ 56.0 นำหน้าฝรั่งเศสและอังกฤษซึ่งอยู่ที่ระดับ 55.6 และ 54.7 ตามลำดับ ในขณะที่
อิตาลีเป็นประเทศเดียวใน 4 ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่สุดในยุโรปที่มีประสิทธิภาพในการผลิตต่ำกว่าค่าเฉลี่ย
ของสหภาพยุโรปและ Euro zone โดยอยู่ที่ระดับ 52.8 ทั้งนี้หากแยกตามภาคอุตสาหกรรมแล้ว อุตสาหกรรม
กระดาษและผลิตภัณฑ์จากป่ามีประสิทธิภาพในการผลิตสูงสุด ตามมาด้วยอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ สินค้าทุน วัสดุก่อสร้าง
ธุรกิจบริการและสันทนาการ ในขณะที่ประสิทธิภาพในการผลิตของธุรกิจโทรคมนาคม อสังหาริมทรัพย์และเทคโนโลยี
สารสนเทศลดลง (รอยเตอร์)
3. คาดว่าจีนจะเกินดุลการค้าในปี 49 จำนวน 104 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.รายงานจากปักกิ่ง เมื่อ
17 ก.พ.49 เว็บไซต์ China Securities Journal อ้างรายงานการศึกษาของ Chinese Academy of
Social Science ที่คาดการณ์ว่า จีนน่าจะเกินดุลการค้าในปี 49 จำนวน 104 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้น
จากปีก่อนเล็กน้อย แม้ว่าการส่งออกจะชะลอตัวลงบ้างก็ตาม ทั้งนี้คาดว่าในปี 49 จีนจะส่งออกเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า
ประมาณร้อยละ 18 ที่จำนวน 900 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. ในขณะที่การนำเข้าคาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 อยู่ที่
จำนวนเกิน 790 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. อย่างไรก็ตาม เมื่อเดือน ม.ค.49 จีนเกินดุลการค้ามากกว่าที่คาดการณ์
ไว้ที่จำนวน 9.5 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. เตอกย้ำความรู้สึกของนักวิเคราะห์ที่มีความเห็นว่าค่าเงินหยวนต่ำกว่า
ความเป็นจริง ทำให้ผู้ประกอบการของจีนได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดโลก อนึ่ง ในปี 48 ที่ผ่านมาจีนเกินดุล
การค้ามากกว่า 3 เท่าที่จำนวน 102 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.เนื่องจากส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 28.4 ขณะที่นำเข้า
เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 17.6 (รอยเตอร์)
4. เศรษฐกิจญี่ปุ่นขยายตัวร้อยละ 1.4 ในไตรมาสสุดท้ายปี 48 จากไตรมาสก่อนสูงกว่าที่คาดไว้
รายงานจากโตเกียว เมื่อ 17 ก.พ.49 เศรษฐกิจญี่ปุ่นในไตรมาสสุดท้ายปี 48 ขยายตัวหลังปรับตัวเลขด้วยอัตรา
เงินเฟ้อแล้วร้อยละ 1.4 ต่อไตรมาสและร้อยละ 5.5 ต่อปี สูงกว่าที่คาดไว้ว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.2 ต่อไตรมาส
และร้อยละ 5.0 ต่อปี หลังจากขยายตัวร้อยละ 0.3 ต่อไตรมาสในไตรมาสที่ 3 ปี 48 และเป็นอัตราสูงสุดนับ
ตั้งแต่ขยายตัวร้อยละ 1.5 ในไตรมาสแรกปี 48 ทั้งนี้เป็นผลจากความต้องการในประเทศขยายตัว โดยการใช้จ่าย
ภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 0.8 ในไตรมาสสุดท้ายปี 48 จากการจ้างงานที่ดีขึ้นและรายได้ที่เป็นตัวเงินซึ่งรวมค่า
ล่วงเวลา เงินเดือนและโบนัสเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปีในปี 48 ในขณะที่การใช้จ่ายลงทุนของภาคธุรกิจก็
เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 ในไตรมาสสุดท้ายปี 48 นอกจากนี้การส่งออกที่กำลังฟื้นตัวก็มีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัว
ร้อยละ 0.6 ในไตรมาสดังกล่าว ตัวเลขดังกล่าวสอดคล้องกับความคาดหวังที่กำลังเพิ่มขึ้นในตลาดว่า ธ.กลางญี่ปุ่น
จะยกเลิกนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายที่ดำเนินมาตลอด 5 ปีที่ผ่านมาในเร็ว ๆ นี้ โดยในปี 48 เศรษฐกิจญี่ปุ่น
ขยายตัวร้อยละ 2.8 เทียบกับร้อยละ 2.4 จากการประเมินขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการ
พัฒนาหรือ OECD และเทียบกับร้อยละ 2.0 จากการประเมินของ IMF นับเป็นอัตราสูงสุดนับตั้งแต่ขยายตัวร้อยละ
2.9 ในปี 43 (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 17 ก.พ. 49 16 ก.พ. 49 31 ม.ค. 48 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 39.391 38.557 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 39.1871/39.4790 38.3598/38.6471 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 4.30156 2..1875 - 2.2000 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย(พันล้านบาท) 735.16/ 21.31 701.91/15.60 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,150/10,250 10,050/10,150 7,750/7,850 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 55.46 55.44 38.15 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับลดลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 16 ก.พ. 49
* ปรับลดลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 3 ก.พ. 49
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--