อุตสาหกรรมปิโตรเคมี
ไตรมาส 4 ปี 2548 ราคาแนฟธาของตลาดเอเชียค่อนข้างผันผวน กล่าวคือในเดือนตุลาคมปรับตัวสูงขึ้น และค่อยๆปรับลดลงในเดือนพฤศจิกายนและเดือนธันวาคม สืบเนื่องจากตลาดอยู่ในภาวะค่อนข้างตึงตัวและราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น โดยเป็นผลมาจากปัยจัยภายนอกเอเชียเป็นหลัก โดยมีเหตุการณ์สำคัญได้แก่ โรงกลั่นหลายแห่งในสหรัฐอเมริกายังไม่สามารถกลับมาดำเนินการได้ตามปกติ เนื่องมาจากพายุ Katrina และ Rita พัดเข้าสู่อ่าวเม็กซิโกเมื่อปลายเดือนกันยายน ส่วนราคาเอทิลีนตลาดเอเชียปรับตัวลดลง เนื่องจากราคาแนฟธาอยู่ในทิศทางขาลง และปริมาณเอทิลีนในตลาดมีมาก อีกทั้งจีนได้ชะลอการซื้อขายลง
ปริมาณการส่งออก PE จากตลาดเอเชียไปยังตลาดละตินอเมริกามีมากในช่วงปลายไตรมาสที่ 3 และเริ่มลดลงในช่วงกลางไตรมาส 4 สาเหตุเกิดจากแครกเกอร์คอมเพล็กซ์ในสหรัฐอเมริกาเริ่มกลับมาเดินเครื่องตามปกติหลังจากหยุดดำเนินการผลิตชั่วคราว จากพายุ Katrina และ Rita ส่งผลให้ปริมาณ PE ในตลาดละตินอเมริกาบรรเทาความขาดแคลนลง
สำหรับการซื้อขายเม็ดพลาสติกทั้ง PE และ PP อยู่ในภาวะปรับตัวลดลงเล็กน้อย สาเหตุเนื่องจากราคาแนฟธาอยู่ในทิศทางขาลง ประกอบกับปริมาณเอทิลินในตลาดมีมาก ซึ่งเกิดจากเอทิลินในเอเชียกลับมาเดินเครื่องตามปกติหลังจากปิดซ่อมบำรุง โดยเฉพาะญี่ปุ่น และในขณะเดียวกันผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องในจีนได้ชะลอการสั่งซื้อเอทิลีนลง เพราะต้องการรอดูทิศทางราคาในเดือนมกราคม 2549 เนื่องจากจีนจะนำอัตราอากรใหม่มาบังคับใช้
การผลิต
ไตรมาส 4 ปี 2548 อุตสาหกรรมปิโตรเคมีได้คลายความกังวลลงจากภาวการณ์ประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำในเขตพื้นที่ชายฝั่งภาคตะวันออก (Eastern Seaboard) เนื่องจากระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำดอกกรายและหนองปลาไหลค่อยๆ เพิ่มระดับขึ้นจากปริมาณฝนที่ตกอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม บริษัท จัดการพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก (East Water) ได้ลดปริมาณการสูบน้ำจากอ่างทั้งสองลงและหาแนวทางการแก้ปัญหาในระยะยาว ซึ่งอยู่ระหว่างการออกแบบระบบส่งน้ำที่จะทำให้สามารถผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำประแสร์มาสู่อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหลได้
สำหรับการผลิตในภูมิภาคเอเชีย หลายประเทศมีโครงการขยายการผลิต โดยประเทศอินโดนีเซียมีแผนดำเนินการขยายกำลังการผลิตเอทิลินแครกเกอร์จาก 520,000 ตัน/ปี เป็น 590,000 ตัน/ปี ในเดือนพฤศจิกายน 2549 และประเทศอิหร่านจะขยายกำลังการผลิต LDPE และ LLDPE/ADPE เพิ่มขึ้นอีกอย่างละ 300,000 ตัน/ปี ในปี 2549-2550
การตลาด
ราคาเม็ดพลาติก PE และ PP ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2548 ระดับราคาปรับเพิ่มขี้น โดยราคาจำหน่ายเม็ดพลาสติก (ราคาเฉลี่ย SE Asia CIF) ในเดือนธันวาคม 2548 ของ LDPE, HDPE, และ PP (Blown Film) อยู่ที่ระดับ 43.19, 41.23 และ 43.29 บาท/กิโลกรัม ตามลำดับ ทั้งนี้ LDPE, HDPE และ PP มีระดับราคาเฉลี่ยลดลงจากไตรมาสก่อน ที่ระดับราคา 44.75, 44.18 และ 46.42 บาท/กิโลกรัม ตามลำดับ
การนำเข้า
ไตรมาส 4 ปี 2548 การนำเข้าปิโตรเคมีขั้นต้นมีมูลค่า 4,064.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 47.47 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้วและเพิ่มขึ้นร้อยละ 54.02 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปิโตรเคมีขั้นกลางมีมูลค่านำเข้า 11,220.28 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 0.16 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้วและลดลงร้อยละ 33.40 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนปิโตรเคมีขั้นปลายมีมูลค่านำเข้า 15,460.49 ล้านบาทลดลงร้อยละ 20.27 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้วและลดลงร้อยละ 33.24 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
การส่งออก
ไตรมาส 4 ปี 2548 การส่งออกปิโตรเคมีขั้นต้นมีมูลค่าส่งออก 6,392.98 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 39.21 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และลดลงร้อยละ 40.08 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปิโตรเคมีขั้นกลางมีมูลค่าส่งออก 7,621.24 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.89 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และเพิ่มขึ้นร้อยละ 56.18 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนปิโตรเคมีขั้นปลายมีมูลค่าส่งออก 41,601.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.72 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้วและเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.60 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
แนวโน้ม
สถานการณ์ตลาดเอทิลีนมีแนวโน้มคลายตัวลง เนื่องจากเอทิลีนแครกเกอร์หลายแหล่งทั้งในจีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และยุโรป ได้กลับมาดำเนินการผลิตตามปกติ หลังจากมีการปิดซ่อมบำรุง คาดว่าความต้องการเอทิลีนในจีนจะสูงขึ้น เนื่องจากการปรับลดอัตราอากรที่มีผลบังคับใช้ในเดือนมกราคม 2549 ซึ่งจะส่งผลให้ราคาเอทิลีนและ PE มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น สำหรับประเทศไทยแนวโน้มความต้องการใช้เม็ดพลาสติกน่าจะทรงตัว ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-
ไตรมาส 4 ปี 2548 ราคาแนฟธาของตลาดเอเชียค่อนข้างผันผวน กล่าวคือในเดือนตุลาคมปรับตัวสูงขึ้น และค่อยๆปรับลดลงในเดือนพฤศจิกายนและเดือนธันวาคม สืบเนื่องจากตลาดอยู่ในภาวะค่อนข้างตึงตัวและราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น โดยเป็นผลมาจากปัยจัยภายนอกเอเชียเป็นหลัก โดยมีเหตุการณ์สำคัญได้แก่ โรงกลั่นหลายแห่งในสหรัฐอเมริกายังไม่สามารถกลับมาดำเนินการได้ตามปกติ เนื่องมาจากพายุ Katrina และ Rita พัดเข้าสู่อ่าวเม็กซิโกเมื่อปลายเดือนกันยายน ส่วนราคาเอทิลีนตลาดเอเชียปรับตัวลดลง เนื่องจากราคาแนฟธาอยู่ในทิศทางขาลง และปริมาณเอทิลีนในตลาดมีมาก อีกทั้งจีนได้ชะลอการซื้อขายลง
ปริมาณการส่งออก PE จากตลาดเอเชียไปยังตลาดละตินอเมริกามีมากในช่วงปลายไตรมาสที่ 3 และเริ่มลดลงในช่วงกลางไตรมาส 4 สาเหตุเกิดจากแครกเกอร์คอมเพล็กซ์ในสหรัฐอเมริกาเริ่มกลับมาเดินเครื่องตามปกติหลังจากหยุดดำเนินการผลิตชั่วคราว จากพายุ Katrina และ Rita ส่งผลให้ปริมาณ PE ในตลาดละตินอเมริกาบรรเทาความขาดแคลนลง
สำหรับการซื้อขายเม็ดพลาสติกทั้ง PE และ PP อยู่ในภาวะปรับตัวลดลงเล็กน้อย สาเหตุเนื่องจากราคาแนฟธาอยู่ในทิศทางขาลง ประกอบกับปริมาณเอทิลินในตลาดมีมาก ซึ่งเกิดจากเอทิลินในเอเชียกลับมาเดินเครื่องตามปกติหลังจากปิดซ่อมบำรุง โดยเฉพาะญี่ปุ่น และในขณะเดียวกันผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องในจีนได้ชะลอการสั่งซื้อเอทิลีนลง เพราะต้องการรอดูทิศทางราคาในเดือนมกราคม 2549 เนื่องจากจีนจะนำอัตราอากรใหม่มาบังคับใช้
การผลิต
ไตรมาส 4 ปี 2548 อุตสาหกรรมปิโตรเคมีได้คลายความกังวลลงจากภาวการณ์ประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำในเขตพื้นที่ชายฝั่งภาคตะวันออก (Eastern Seaboard) เนื่องจากระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำดอกกรายและหนองปลาไหลค่อยๆ เพิ่มระดับขึ้นจากปริมาณฝนที่ตกอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม บริษัท จัดการพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก (East Water) ได้ลดปริมาณการสูบน้ำจากอ่างทั้งสองลงและหาแนวทางการแก้ปัญหาในระยะยาว ซึ่งอยู่ระหว่างการออกแบบระบบส่งน้ำที่จะทำให้สามารถผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำประแสร์มาสู่อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหลได้
สำหรับการผลิตในภูมิภาคเอเชีย หลายประเทศมีโครงการขยายการผลิต โดยประเทศอินโดนีเซียมีแผนดำเนินการขยายกำลังการผลิตเอทิลินแครกเกอร์จาก 520,000 ตัน/ปี เป็น 590,000 ตัน/ปี ในเดือนพฤศจิกายน 2549 และประเทศอิหร่านจะขยายกำลังการผลิต LDPE และ LLDPE/ADPE เพิ่มขึ้นอีกอย่างละ 300,000 ตัน/ปี ในปี 2549-2550
การตลาด
ราคาเม็ดพลาติก PE และ PP ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2548 ระดับราคาปรับเพิ่มขี้น โดยราคาจำหน่ายเม็ดพลาสติก (ราคาเฉลี่ย SE Asia CIF) ในเดือนธันวาคม 2548 ของ LDPE, HDPE, และ PP (Blown Film) อยู่ที่ระดับ 43.19, 41.23 และ 43.29 บาท/กิโลกรัม ตามลำดับ ทั้งนี้ LDPE, HDPE และ PP มีระดับราคาเฉลี่ยลดลงจากไตรมาสก่อน ที่ระดับราคา 44.75, 44.18 และ 46.42 บาท/กิโลกรัม ตามลำดับ
การนำเข้า
ไตรมาส 4 ปี 2548 การนำเข้าปิโตรเคมีขั้นต้นมีมูลค่า 4,064.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 47.47 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้วและเพิ่มขึ้นร้อยละ 54.02 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปิโตรเคมีขั้นกลางมีมูลค่านำเข้า 11,220.28 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 0.16 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้วและลดลงร้อยละ 33.40 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนปิโตรเคมีขั้นปลายมีมูลค่านำเข้า 15,460.49 ล้านบาทลดลงร้อยละ 20.27 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้วและลดลงร้อยละ 33.24 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
การส่งออก
ไตรมาส 4 ปี 2548 การส่งออกปิโตรเคมีขั้นต้นมีมูลค่าส่งออก 6,392.98 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 39.21 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และลดลงร้อยละ 40.08 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปิโตรเคมีขั้นกลางมีมูลค่าส่งออก 7,621.24 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.89 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และเพิ่มขึ้นร้อยละ 56.18 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนปิโตรเคมีขั้นปลายมีมูลค่าส่งออก 41,601.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.72 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้วและเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.60 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
แนวโน้ม
สถานการณ์ตลาดเอทิลีนมีแนวโน้มคลายตัวลง เนื่องจากเอทิลีนแครกเกอร์หลายแหล่งทั้งในจีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และยุโรป ได้กลับมาดำเนินการผลิตตามปกติ หลังจากมีการปิดซ่อมบำรุง คาดว่าความต้องการเอทิลีนในจีนจะสูงขึ้น เนื่องจากการปรับลดอัตราอากรที่มีผลบังคับใช้ในเดือนมกราคม 2549 ซึ่งจะส่งผลให้ราคาเอทิลีนและ PE มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น สำหรับประเทศไทยแนวโน้มความต้องการใช้เม็ดพลาสติกน่าจะทรงตัว ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-