อุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยางยังคงเป็นอุตสาหกรรมในอันดับต้นๆ ของประเทศไทยที่มีความความสำคัญทั้งในแง่ของการสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรในภาคเกษตรกรรมและการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ในแง่ของอุตสาหกรรม รวมถึงมูลค่าการส่งออกที่อยู่ในสินค้าอันดับ 1 ใน 20 ของประเทศ เนื่องจากประเทศไทยมีศักยภาพสูงในด้านวัตถุดิบที่เป็นข้อได้เปรียบกับประเทศคู่แข่ง หากพิจารณาในไตรมาสที่ 4 ของปี 2548 ไทยมี มูลค่าการส่งออกของยางพาราและผลิตภัณฑ์ยางรวมทั้งสิ้น 1,654.20 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งแบ่งเป็นมูลค่ายางพาราร้อยละ 63.22 และผลิตภัณฑ์ยางร้อยละ 36.88 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2547 ในไตรมาสเดียวกันการส่งออกยางพาราร้อยละ 65.38 และผลิตภัณฑ์ยางร้อยละ34.61 ซึ่งมีสัดส่วนขยายตัวเพิ่มขึ้นในผลิตภัณฑ์ยาง
1. การผลิต
ประเทศไทยผลิตยางแปรรูปขั้นต้นเป็นอันดับหนึ่งของโลก โดยมีปริมาณการผลิต ประมาณ 2.8 ล้านตัน/ปี โดยยางแปรรูปขั้นต้นมีอัตราส่วนการส่งออกร้อยละ 90 และส่วนที่เหลือเป็นการจำหน่ายในประเทศ
ในส่วนของผลิตยางขั้นต้น ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2548 มีการผลิตยางแท่งจำนวน 182,603.67 ตัน ลดลงจากไตรมาสก่อนร้อยละ 4.35 ส่วนยางแผ่นมีการผลิตจำนวน 70,825.94 ตัน ลดลงจากไตรมาสก่อนร้อยละ 20.75 ทั้งนี้เนื่องจากเป็นช่วงปลายปีจะมีการชะลอผลผลิตออกสู่ตลาดประกอบกับเป็นช่วงฤดูฝนทำให้น้ำยางที่ได้จากการกรีดยางมีน้อยลง
สำหรับผลิตภัณฑ์ยางในไตรมาส 4 ของปี 2548 จำแนกเป็นการผลิตยางนอกรถยนต์นั่ง จำนวน 3,303,557 เส้น ลดลงจากไตรมาสก่อนร้อยละ 4.33 ส่วนยางนอกรถกะบะ 1,552,601 เส้น เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนร้อยละ 6.74 อันเนื่องมาจากยอดการผลิตรถกะบะภายในประเทศยังมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น ส่วนการผลิตถุงมือยางมีจำนวนการผลิต 2,199.39 ล้านชิ้น เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนร้อยละ 5.66 อันเนื่องมาจากมีการคาดการณ์ว่า ต้นทุนการผลิตจากวัตถุดิบมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
2. การตลาด
2.1 ตลาดส่งออก ประเภทสินค้าที่ผลิตและส่งออกแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1) ยางแปรรูปขั้นต้น ประกอบด้วย ยางแผ่น ยางแท่ง ยางเครพ น้ำยางข้น โดยมีมูลค่าการส่งออกในไตรมาสที่ 4 ของปี 2548 จำนวน 1,095.10 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวที่ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่แล้ว ร้อยละ 6.63 และหากเปรียบกับไตรมาสเดียวกันกับปีก่อนก็ยังอยู่ในระดับที่มีการขยายตัวร้อยละ 8.58 ซึ่งเหตุผลจากการขยายตัวดังกล่าว เป็นผลมาจากการเพิ่มปริมาณการสั่งซื้อของตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น มาเลเซีย และสหรัฐอเมริกา ที่ยังมีปริมาณความต้องการอยู่ในระดับที่สูงและขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
2) ผลิตภัณฑ์ยาง ประกอบด้วย ยางยานพาหนะ ถุงมือยาง ยางรัดของ หลอดและท่อสายพานลำเลียงและส่งกำลัง โดยมีมูลค่าการส่งออกในไตรมาสที่ 4 ปี 2548 จำนวน 637.10 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนร้อยละ 1.57 และหากเปรียบเทียบกับปีก่อนในไตรมาสเดียวกันมีอัตราการขยายตัวร้อยละ 19.35 โดยตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และฮ่องกง โดยการส่งออกผลิตภัณฑ์ยางมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเกือบทุกรายการ
2.2 ตลาดนำเข้า ประเภทสินค้าผลิตภัณฑ์ยางที่นำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ ท่อหรือข้อต่อ และสายพานลำเลียง และผลิตภัณฑ์ยางแคไนซ์ โดยในไตรมาสที่ 4 ปี 2548 ผลิตภัณฑ์ยางมีมูลค่าการนำเข้า 132.80 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงในอัตราร้อยละ 0.15 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน แยกเป็นผลิตภัณฑ์ยางวัลแคไนซ์ มีมูลค่าการนำเข้า 70.90 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 0.71 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 ยางประเภทท่อหรือข้อต่อ มีมูลค่าการนำเข้า 23.90 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงในอัตราร้อยละ 3.62 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และยางประเภทอื่นๆ มีมูลค่าการนำเข้า 38.0 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 0.52 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3
3. สรุปและแนวโน้ม
ในไตรมาสที่ 4 ปี 2548 การผลิตยางขั้นต้น ประเภทยางแท่งและยางแผ่นมีปริมาณการผลิตลดลงจากไตรมาสที่แล้ว เนื่องจากเป็นช่วงฤดูฝนของแหล่งผลิตในภาคใต้ ทำให้ผลผลิตออกสู่ตลาดน้อยลง ประกอบกับมีปัจจัยเสี่ยงจากความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ทำให้เกษตรกรออกไปกรีดยางน้อยลง แม้ว่าราคาน้ำยางจะมีราคาเพิ่มขึ้นก็ตาม ส่วนผลิตภัณฑ์ยาง ประเภทยางล้อรถกะบะ มีปริมาณการผลิตเพิ่มมากขึ้น อันเนื่องมาจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ปิกอัพขนาด 1 ตันภายที่มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น ส่วนยางประเภทยางนอกรถยนต์นั่ง รถบรรทุก และรถจักรยานมีการปรับตัวลงเล็กน้อยจากไตรมาสที่แล้ว ส่วนการผลิตประเภทผลิตภัณฑ์ ถุงมือยางมีการผลิตเพิ่มขึ้น อันเนื่องมาจากมีการคาดการณ์ว่าราคาต้นทุนวัตถุดิบคงไม่ต่ำกว่าราคาในปัจจุบันและอนาคตคาดว่าจะมีราคาที่เพิ่มสูงขึ้น ทางด้านมูลค่าการส่งออกและตลาดต่างประเทศ การส่งออกยางขั้นต้นในไตรมาสนี้ พบว่ามีมูลค่าการส่งออกที่เพิ่มขึ้นในทุกผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็น ยางแผ่น ยางแท่ง น้ำยางข้น และยางขั้นต้นอื่น ๆ และการส่งออกในประเภทผลิตภัณฑ์ยางก็มีการขยายตัวในมูลค่าการส่งออกในผลิตภัณฑ์ที่สำคัญ เช่น ยางยานพาหนะ และถุงมือยาง ทั้งนี้เนื่องมาจากยังคงมีการเพิ่มปริมาณการสั่งซื้อของตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น มาเลเซีย และสหรัฐอเมริกา
สำหรับไตรมาสที่ 1 ปี 2549 คาดว่าราคาน้ำยางจะยังคงมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น เพราะยังคงมีปัจจัยจากความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เข้ามาส่งผลกระทบ ทำให้ปริมาณน้ำยางที่กรีดได้ออกสู่ตลาดในปริมาณไม่มากเท่าที่ควร ประกอบกับความต้องการใช้ยางในตลาดโลกยังมีทิศทางที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจโดยเฉพาะในตลาดในประเทศจีน ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้นโยบายของรัฐในเรื่องของแผน ยุทธศาสตร์การปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมใหม่และยุทธศาสตร์ยางพาราปี 2549 — 2551 โดยมีเป้าหมายมุ่งเน้นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ ที่มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นในการสนับสนุนการใช้ยางภายในประเทศ ทั้งในด้านการทำเขื่อน สร้างอ่างเก็บน้ำ หรือถนน ประกอบกับอุตสาหกรรมยานยนต์ที่รัฐต้องการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางผลิตรถยนต์และชิ้นส่วน โดยตั้งเป้าในปี 2549 จะผลิตรถยนต์ให้ได้ 1 ล้านคัน ส่งผลให้มีการใช้ยางภายในประเทศมากยิ่งขึ้น จาก 2 ปัจจัยทั้งตลาดภายในและนอกประเทศดังกล่าว จะยังคงส่งผลทิศทางอุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยางในประเทศไทยมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-
1. การผลิต
ประเทศไทยผลิตยางแปรรูปขั้นต้นเป็นอันดับหนึ่งของโลก โดยมีปริมาณการผลิต ประมาณ 2.8 ล้านตัน/ปี โดยยางแปรรูปขั้นต้นมีอัตราส่วนการส่งออกร้อยละ 90 และส่วนที่เหลือเป็นการจำหน่ายในประเทศ
ในส่วนของผลิตยางขั้นต้น ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2548 มีการผลิตยางแท่งจำนวน 182,603.67 ตัน ลดลงจากไตรมาสก่อนร้อยละ 4.35 ส่วนยางแผ่นมีการผลิตจำนวน 70,825.94 ตัน ลดลงจากไตรมาสก่อนร้อยละ 20.75 ทั้งนี้เนื่องจากเป็นช่วงปลายปีจะมีการชะลอผลผลิตออกสู่ตลาดประกอบกับเป็นช่วงฤดูฝนทำให้น้ำยางที่ได้จากการกรีดยางมีน้อยลง
สำหรับผลิตภัณฑ์ยางในไตรมาส 4 ของปี 2548 จำแนกเป็นการผลิตยางนอกรถยนต์นั่ง จำนวน 3,303,557 เส้น ลดลงจากไตรมาสก่อนร้อยละ 4.33 ส่วนยางนอกรถกะบะ 1,552,601 เส้น เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนร้อยละ 6.74 อันเนื่องมาจากยอดการผลิตรถกะบะภายในประเทศยังมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น ส่วนการผลิตถุงมือยางมีจำนวนการผลิต 2,199.39 ล้านชิ้น เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนร้อยละ 5.66 อันเนื่องมาจากมีการคาดการณ์ว่า ต้นทุนการผลิตจากวัตถุดิบมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
2. การตลาด
2.1 ตลาดส่งออก ประเภทสินค้าที่ผลิตและส่งออกแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1) ยางแปรรูปขั้นต้น ประกอบด้วย ยางแผ่น ยางแท่ง ยางเครพ น้ำยางข้น โดยมีมูลค่าการส่งออกในไตรมาสที่ 4 ของปี 2548 จำนวน 1,095.10 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวที่ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่แล้ว ร้อยละ 6.63 และหากเปรียบกับไตรมาสเดียวกันกับปีก่อนก็ยังอยู่ในระดับที่มีการขยายตัวร้อยละ 8.58 ซึ่งเหตุผลจากการขยายตัวดังกล่าว เป็นผลมาจากการเพิ่มปริมาณการสั่งซื้อของตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น มาเลเซีย และสหรัฐอเมริกา ที่ยังมีปริมาณความต้องการอยู่ในระดับที่สูงและขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
2) ผลิตภัณฑ์ยาง ประกอบด้วย ยางยานพาหนะ ถุงมือยาง ยางรัดของ หลอดและท่อสายพานลำเลียงและส่งกำลัง โดยมีมูลค่าการส่งออกในไตรมาสที่ 4 ปี 2548 จำนวน 637.10 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนร้อยละ 1.57 และหากเปรียบเทียบกับปีก่อนในไตรมาสเดียวกันมีอัตราการขยายตัวร้อยละ 19.35 โดยตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และฮ่องกง โดยการส่งออกผลิตภัณฑ์ยางมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเกือบทุกรายการ
2.2 ตลาดนำเข้า ประเภทสินค้าผลิตภัณฑ์ยางที่นำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ ท่อหรือข้อต่อ และสายพานลำเลียง และผลิตภัณฑ์ยางแคไนซ์ โดยในไตรมาสที่ 4 ปี 2548 ผลิตภัณฑ์ยางมีมูลค่าการนำเข้า 132.80 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงในอัตราร้อยละ 0.15 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน แยกเป็นผลิตภัณฑ์ยางวัลแคไนซ์ มีมูลค่าการนำเข้า 70.90 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 0.71 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 ยางประเภทท่อหรือข้อต่อ มีมูลค่าการนำเข้า 23.90 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงในอัตราร้อยละ 3.62 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และยางประเภทอื่นๆ มีมูลค่าการนำเข้า 38.0 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 0.52 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3
3. สรุปและแนวโน้ม
ในไตรมาสที่ 4 ปี 2548 การผลิตยางขั้นต้น ประเภทยางแท่งและยางแผ่นมีปริมาณการผลิตลดลงจากไตรมาสที่แล้ว เนื่องจากเป็นช่วงฤดูฝนของแหล่งผลิตในภาคใต้ ทำให้ผลผลิตออกสู่ตลาดน้อยลง ประกอบกับมีปัจจัยเสี่ยงจากความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ทำให้เกษตรกรออกไปกรีดยางน้อยลง แม้ว่าราคาน้ำยางจะมีราคาเพิ่มขึ้นก็ตาม ส่วนผลิตภัณฑ์ยาง ประเภทยางล้อรถกะบะ มีปริมาณการผลิตเพิ่มมากขึ้น อันเนื่องมาจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ปิกอัพขนาด 1 ตันภายที่มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น ส่วนยางประเภทยางนอกรถยนต์นั่ง รถบรรทุก และรถจักรยานมีการปรับตัวลงเล็กน้อยจากไตรมาสที่แล้ว ส่วนการผลิตประเภทผลิตภัณฑ์ ถุงมือยางมีการผลิตเพิ่มขึ้น อันเนื่องมาจากมีการคาดการณ์ว่าราคาต้นทุนวัตถุดิบคงไม่ต่ำกว่าราคาในปัจจุบันและอนาคตคาดว่าจะมีราคาที่เพิ่มสูงขึ้น ทางด้านมูลค่าการส่งออกและตลาดต่างประเทศ การส่งออกยางขั้นต้นในไตรมาสนี้ พบว่ามีมูลค่าการส่งออกที่เพิ่มขึ้นในทุกผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็น ยางแผ่น ยางแท่ง น้ำยางข้น และยางขั้นต้นอื่น ๆ และการส่งออกในประเภทผลิตภัณฑ์ยางก็มีการขยายตัวในมูลค่าการส่งออกในผลิตภัณฑ์ที่สำคัญ เช่น ยางยานพาหนะ และถุงมือยาง ทั้งนี้เนื่องมาจากยังคงมีการเพิ่มปริมาณการสั่งซื้อของตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น มาเลเซีย และสหรัฐอเมริกา
สำหรับไตรมาสที่ 1 ปี 2549 คาดว่าราคาน้ำยางจะยังคงมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น เพราะยังคงมีปัจจัยจากความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เข้ามาส่งผลกระทบ ทำให้ปริมาณน้ำยางที่กรีดได้ออกสู่ตลาดในปริมาณไม่มากเท่าที่ควร ประกอบกับความต้องการใช้ยางในตลาดโลกยังมีทิศทางที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจโดยเฉพาะในตลาดในประเทศจีน ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้นโยบายของรัฐในเรื่องของแผน ยุทธศาสตร์การปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมใหม่และยุทธศาสตร์ยางพาราปี 2549 — 2551 โดยมีเป้าหมายมุ่งเน้นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ ที่มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นในการสนับสนุนการใช้ยางภายในประเทศ ทั้งในด้านการทำเขื่อน สร้างอ่างเก็บน้ำ หรือถนน ประกอบกับอุตสาหกรรมยานยนต์ที่รัฐต้องการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางผลิตรถยนต์และชิ้นส่วน โดยตั้งเป้าในปี 2549 จะผลิตรถยนต์ให้ได้ 1 ล้านคัน ส่งผลให้มีการใช้ยางภายในประเทศมากยิ่งขึ้น จาก 2 ปัจจัยทั้งตลาดภายในและนอกประเทศดังกล่าว จะยังคงส่งผลทิศทางอุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยางในประเทศไทยมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-