ภาพรวมอุตสาหกรรม
ในปี 2548 มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์พลาสติก 1,871.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.94 เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ในส่วนของการนำเข้าปี 2548 มีการนำเข้าผลิตภัณฑ์พลาสติก 2,046.1 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.39 เมื่อเทียบกับปีก่อน จากตัวเลขนำเข้า — ส่งออก ของผลิตภัณฑ์พลาสติก พบว่าประเทศไทยขาดดุลการค้าอยู่ประมาณ 174.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็น 7,341 ล้านบาท ซึ่งประเทศไทยมีการขาดดุลอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้นประเทศไทยควรที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์พลาสติก โดยมีการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์พลาสติกให้มีคุณภาพดีขึ้น และมีความหลากหลายในการนำไปใช้ อีกทั้งต้องพัฒนารูปแบบดีไซน์ ของผลิตภัณฑ์พลาสติกให้มีความทันสมัยสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคอีกด้วย นอกจากนี้ควรจะต้องหาตลาดใหม่ ๆ เพื่อขยายตลาดส่งออกของไทยต่อไปในอนาคต และศึกษากฎระเบียบใหม่ๆ ของประเทศผู้นำเข้าที่ส่งผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์พลาสติก
การตลาด
การส่งออก
ไตรมาสที่ 4 ปี 2548 ผลิตภัณฑ์พลาสติกมีมูลค่าการส่งออกรวมทั้งสิ้น 478.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 7.39 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และเพิ่มขึ้นร้อยละ 45.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตลาดส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ ฮ่องกง จีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา กลุ่มประเทศในอาเชียน และออสเตรเลีย ทั้งนี้ความต้องการของตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะฮ่องกง จีน สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ยังคงมีปริมาณความต้องการสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกาที่ประสบเหตุการณ์พายุเฮอริเคนถล่มในหลายรัฐ มีผลทำให้กำลังการผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกลดลง ความต้องการในการนำเข้าจึงมีปริมาณสูงขึ้นและมีปริมาณการสั่งซื้อเพิ่มขึ้น
สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าส่งออกสูงสุด คือ แผ่นฟิมล์ฟอยล์และแถบ มีมูลค่าการส่งออก 138.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 5.32 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และเพิ่มขึ้นร้อยละ 34.66 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน รองลงมาได้แก่ ถุงและกระสอบพลาสติก มีมูลค่าส่งออก 133.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 16.20 เทียบกับไตรมาสที่แล้ว และเพิ่มขึ้นร้อยละ 77.53 เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ตาม สินค้าเช่น ถุงพลาสติก ได้ถูกบังคับใช้มาตรการเอดีแล้วในรอบปีนี้ในตลาดมาเลเซียและสหภาพยุโรป ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อการส่งออกบ้าง
การนำเข้า
ไตรมาสที่ 4 ปี 2548 ผลิตภัณฑ์พลาสติกมีมูลค่าการนำเข้ารวมทั้งสิ้น 523.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.95 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.85 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน แหล่งนำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา จีน เกาหลีใต้ และกลุ่มอาเซียนสำหรับแผ่นฟิมล์ ฟลอย์และแถบพลาสติก มีสัดส่วนการนำเข้าลดลงร้อยละ 1.05 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้วและมีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.33 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน หลอดและท่อพลาสติก มีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.21 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และลดลง 10.65 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
การนำเข้าสินค้าพลาสติกของไทยในช่วงนี้มีการนำเข้าเพิ่มขึ้นมาก เพราะมีสินค้าราคาถูกจากจีน มาเลเซียและอินโดนีเซีย เข้ามาตีตลาดจำนวนมาก
แนวโน้ม
จากการที่มีการนำเข้าผลิตภัณฑ์พลาสติกราคาถูกจากประเทศจีน มาเลเซีย อินโดนีเซีย ทำให้ผู้ประกอบการภายในประเทศได้รับความเดือดร้อน ซึ่งประเทศไทยยังไม่ค่อยมีบทบาทในเชิงรุกในการกำหนดนโยบายตอบโต้การทุ่มตลาดเท่าใดนัก อีกทั้งการเปิดเขตเสรีทางการค้าจะส่งผลให้เกิดการแข่งขันมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้โครงสร้างอุตสาหกรรมพลาสติกของไทยยังอ่อนแออยู่ ดังนั้นอุตสาหกรรมพลาสติกจึงควรจะต้องมีนโยบายอย่างชัดเจนคือ จะต้องผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้าและมีการส่งเสริมการส่งออกให้มากยิ่งขึ้น โดยพัฒนาการผลิตให้สามารถผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น และ ลดต้นทุนในการผลิตเพื่อให้สามารถแข่งขันได้
แนวโน้มการเจริญเติบโตของอุตสาหกรรมพลาสติกไทยในอนาคตจะขึ้นอยู่กับการปรับปรุงพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อเป็นการยกระดับของสินค้าพลาสติกไทย ให้มีการพัฒนาอย่างครบวงจร ตั้งแต่อุตสาหกรรมต้นน้ำไปถึงปลายน้ำตลอดจนด้านการตลาดและการรักษาสิ่งแวดล้อม
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-
ในปี 2548 มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์พลาสติก 1,871.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.94 เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ในส่วนของการนำเข้าปี 2548 มีการนำเข้าผลิตภัณฑ์พลาสติก 2,046.1 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.39 เมื่อเทียบกับปีก่อน จากตัวเลขนำเข้า — ส่งออก ของผลิตภัณฑ์พลาสติก พบว่าประเทศไทยขาดดุลการค้าอยู่ประมาณ 174.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็น 7,341 ล้านบาท ซึ่งประเทศไทยมีการขาดดุลอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้นประเทศไทยควรที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์พลาสติก โดยมีการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์พลาสติกให้มีคุณภาพดีขึ้น และมีความหลากหลายในการนำไปใช้ อีกทั้งต้องพัฒนารูปแบบดีไซน์ ของผลิตภัณฑ์พลาสติกให้มีความทันสมัยสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคอีกด้วย นอกจากนี้ควรจะต้องหาตลาดใหม่ ๆ เพื่อขยายตลาดส่งออกของไทยต่อไปในอนาคต และศึกษากฎระเบียบใหม่ๆ ของประเทศผู้นำเข้าที่ส่งผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์พลาสติก
การตลาด
การส่งออก
ไตรมาสที่ 4 ปี 2548 ผลิตภัณฑ์พลาสติกมีมูลค่าการส่งออกรวมทั้งสิ้น 478.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 7.39 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และเพิ่มขึ้นร้อยละ 45.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตลาดส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ ฮ่องกง จีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา กลุ่มประเทศในอาเชียน และออสเตรเลีย ทั้งนี้ความต้องการของตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะฮ่องกง จีน สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ยังคงมีปริมาณความต้องการสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกาที่ประสบเหตุการณ์พายุเฮอริเคนถล่มในหลายรัฐ มีผลทำให้กำลังการผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกลดลง ความต้องการในการนำเข้าจึงมีปริมาณสูงขึ้นและมีปริมาณการสั่งซื้อเพิ่มขึ้น
สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าส่งออกสูงสุด คือ แผ่นฟิมล์ฟอยล์และแถบ มีมูลค่าการส่งออก 138.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 5.32 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และเพิ่มขึ้นร้อยละ 34.66 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน รองลงมาได้แก่ ถุงและกระสอบพลาสติก มีมูลค่าส่งออก 133.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 16.20 เทียบกับไตรมาสที่แล้ว และเพิ่มขึ้นร้อยละ 77.53 เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ตาม สินค้าเช่น ถุงพลาสติก ได้ถูกบังคับใช้มาตรการเอดีแล้วในรอบปีนี้ในตลาดมาเลเซียและสหภาพยุโรป ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อการส่งออกบ้าง
การนำเข้า
ไตรมาสที่ 4 ปี 2548 ผลิตภัณฑ์พลาสติกมีมูลค่าการนำเข้ารวมทั้งสิ้น 523.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.95 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.85 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน แหล่งนำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา จีน เกาหลีใต้ และกลุ่มอาเซียนสำหรับแผ่นฟิมล์ ฟลอย์และแถบพลาสติก มีสัดส่วนการนำเข้าลดลงร้อยละ 1.05 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้วและมีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.33 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน หลอดและท่อพลาสติก มีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.21 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และลดลง 10.65 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
การนำเข้าสินค้าพลาสติกของไทยในช่วงนี้มีการนำเข้าเพิ่มขึ้นมาก เพราะมีสินค้าราคาถูกจากจีน มาเลเซียและอินโดนีเซีย เข้ามาตีตลาดจำนวนมาก
แนวโน้ม
จากการที่มีการนำเข้าผลิตภัณฑ์พลาสติกราคาถูกจากประเทศจีน มาเลเซีย อินโดนีเซีย ทำให้ผู้ประกอบการภายในประเทศได้รับความเดือดร้อน ซึ่งประเทศไทยยังไม่ค่อยมีบทบาทในเชิงรุกในการกำหนดนโยบายตอบโต้การทุ่มตลาดเท่าใดนัก อีกทั้งการเปิดเขตเสรีทางการค้าจะส่งผลให้เกิดการแข่งขันมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้โครงสร้างอุตสาหกรรมพลาสติกของไทยยังอ่อนแออยู่ ดังนั้นอุตสาหกรรมพลาสติกจึงควรจะต้องมีนโยบายอย่างชัดเจนคือ จะต้องผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้าและมีการส่งเสริมการส่งออกให้มากยิ่งขึ้น โดยพัฒนาการผลิตให้สามารถผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น และ ลดต้นทุนในการผลิตเพื่อให้สามารถแข่งขันได้
แนวโน้มการเจริญเติบโตของอุตสาหกรรมพลาสติกไทยในอนาคตจะขึ้นอยู่กับการปรับปรุงพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อเป็นการยกระดับของสินค้าพลาสติกไทย ให้มีการพัฒนาอย่างครบวงจร ตั้งแต่อุตสาหกรรมต้นน้ำไปถึงปลายน้ำตลอดจนด้านการตลาดและการรักษาสิ่งแวดล้อม
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-