สรุปสถานการณ์ ในสภาวะการณ์ปัญหาทางการเมืองในขณะนี้ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของไทยซึ่งจะเห็นได้จากการชะลอตัวของการบริโภคภาคเอกชน ความล่าช้าของการลงทุนในโครงการเมกะโปรเจ็กต์ รวมถึงการชะลอการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศ ผนวกกับแนวโน้มค่าเงินบาทต่อดอลลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องและแข็งค่าขึ้นเร็วกว่าค่าเงินในภูมิภาคโดยที่ค่าเงินบาทในช่วงที่ผ่านมาไม่ได้สะท้อนว่าจะถูกกระทบจากสถานการณ์ทางการเมือง ซึ่งการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทมีสาเหตุจากการที่ยังมีการไหลข้าวของเงินอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ เมื่อเทียบค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบันกับต้นปี 2549 พบว่าในระยะ 2 เดือนที่ผ่านมาค่าเงินบาทได้แข็งค่าขึ้นไปแล้วประมาณ 6% ดร.สมชัย สัจจพงษ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้กล่าวว่าการแข็งค่าขึ้นอย่างมากของเงินบาทในช่วงนี้มีผลจากการโอนเงินก้อนใหญ่จากต่างประเทศเข้ามาซึ่งเข้าใจว่าเป็นการโอนเงินของกองทุนเทมาเส็กของสิงคโปร์เพื่อมาชำระค่าหุ้นของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งจะเป็นการทยอยเข้ามาชำระไม่ได้ชำระทั้งหมด สำหรับด้านการลงทุน ดร. ทนง พิทยะ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ชี้แจงว่านักลงทุนต่างประเทศมีความกังวลในเหตุการณ์ทางการเมืองของไทยในขณะนี้บ้างแต่ไม่มากนักเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ถือเป็นความขัดแย้งทางความคิดซึ่งโดยปกติแล้วในต่างประเทศก็จะเกิดขึ้นอยู่แล้วและเชื่อว่าเรื่องนี้จะสามารถจบลงได้อย่างเร็วด้านนักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) ได้กล่าวว่าการที่เศรษฐกิจของไทยจะขยายตัวกว่า 5% ตามที่รัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายไว้อาจจะเป็นเรื่องที่ท้าทายมากในสถานการณ์เวลานี้โดยเฉพาะการคาดหวังการส่งออกโดยมีเป้าหมายที่ 15-17% นั้นจะเป็นไปได้ยากในส่วนของค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นแล้วประมาณ 6.3% ซึ่งแข็งค่าเร็วกว่าสกุลเงินในภูมิภาค ด้านผู้ประกอบการส่งออกเห็นว่าสถานการณ์บ้านเมืองและค่าเงินบาทมีความผันผวนซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจการส่งออกแล้ว เช่น กลุ่มสินค้าเสื้อผ้าส่งออกสำเร็จรูปส่วนใหญ่ได้รับคำสั่งซื้อจากลูกค้าจนเต็มกำลังการผลิตไปจนถึงไตรมาสที่ 3 ของปี 2549 ดังนั้นเมื่อค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 38.60 บาทต่อดอลลาร์จะทำให้ผู้ประกอบการมีรายได้ลดลงและบางรายอาจถึงขาดทุนและไม่สามารถขอปรับราคาขึ้นได้เพราะลูกค้าจะหันไปซื้อจากประเทศอื่นที่ มีราคาถูกกว่าไทย กลุ่มสินค้าอาหารแช่เยือกแข็งสินค้าส่งออกที่สำคัญ เช่น กุ้ง และทูน่า มีต้นทุนการส่งออกที่สูงมากจากวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นแต่ไม่สามารถปรับราคาขึ้นได้ในขณะนี้เพราะจะกระทบกับความสามารถในการแข่งขัน ส่วนสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับโดยกลุ่มบิวตี้เจมส์กรุ๊ป เห็นว่าค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นผิดปกติในขณะนี้ควรจะได้รับการดูแลจากธนาคารแห่งประเทศไทยในการตรวจสอบถึงเหตุที่แท้จริงรวมถึงควรเข้ามาแทรกแซงค่าเงินไม่ให้แข็งค่าขึ้นไปกว่านี้เพราะจะมีผลกระทบต่อภาคการส่งออกซึ่งเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้มีการขยายตัวโดยค่าเงินที่เหมาะสมควรอยู่ทีประมาณ 39-41 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ด้านการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีนซึ่งเข้ามาดูลู่ทางการลงทุนในไทยจากการมาเยือนไทย 2 คณะใหญ่เมื่อปลายปี 2548 โดยกลุ่มแรกเป็นคณะนักธุรกิจที่เดินทางมากับรองนายกรัฐมนตรี (มาดามอู๋อี๋) และอีกกลุ่มเป็นกลุ่มทุนเอกชนจากยูนนาน ทั้ง 2 กลุ่มนี้ได้รับแจ้งจากคณะติดต่อประสานงานดึงทุนจากจีนมาลงทุนในไทยว่าเนื่องจากเกิดความไม่สงบทางการเมืองของไทย จึงได้ขอชะลอแผนการลงทุนในไทยออกไปก่อนเพื่อขอรอดูสถานการณ์โดยส่วนใหญ่ของนักลงทุนจากจีนเป็นนักลงทุนรายใหม่ที่ไม่เคยเข้ามาลงทุนในไทยมาก่อน ซึ่งอาจจะส่งผลให้ไทยเสียโอกาสในการเป็นฐานการผลิตของทุนต่างชาติได้ โดยเฉพาะหากเหตุการณ์ยืดเยื้อหรือเกิดความรุนแรงเกิดขึ้นก็จะส่งผลกระทบต่อกลุ่มทุนที่ประกอบกิจการพัฒนาที่ดินเพื่อจัดตั้งโรงงานอุตสาหกรรมอย่างแน่นอน ประเด็นวิเคราะห์: จากภาวการณ์เมืองและค่าเงินบาทผันผวนในเวลานี้ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งขณะนี้เงินบาทแข็งค่าขึ้นประมาณ 6% (บาทละ 38.50-38.60 ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ) และหากอยู่ในระดับนี้ต่อเนื่องจะมีผลให้จีดีพีลดลงประมาณร้อยละ 1.56 ประการที่สองส่งผลให้ขีดความสามารถการแข่งขันของไทยเสียเปรียบในด้านราคาต่อประเทศคู่แข่งขันอาจจะทำให้การส่งออกไม่บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้หากปัญหาการเมืองยังยืดเยื้อต่อไปผู้ประกอบการธุรกิจหวังว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะสามารถดูแลให้ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพได้ ประการที่สามการลงทุนจากต่างประเทศขณะนี้อยู่ในภาวะชะลอตัว ที่มา: http://www.depthai.go.th