ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท.ระบุเงินบาทแข็งค่ามากเกินไป แต่ยังคงดูแลอย่างใกล้ชิด ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศ
ไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 12 ม.ค.ที่ผ่านมา เงินบาทได้ปรับตัวแข็งค่าขึ้นไปอยู่ที่ 39.45 บาทต่อ
ดอลลาร์ สรอ. ถือเป็นระดับแข็งค่ามากเกินไป ซึ่ง ธปท.ต้องเข้าไปดูแลอย่างใกล้ชิดมากขึ้น สำหรับสาเหตุที่ค่า
เงินบาทยังคงแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง เพราะมีเงินไหลจากฝั่งตะวันตกมายังฝั่งตะวันออกของโลก เนื่องจากนักลงทุนเริ่ม
ไม่เชื่อมั่นในเงินดอลลาร์ และหันมาเชื่อมั่นในเงินบาทและเงินในเอเชียมากขึ้น ทำให้มีเงินไหลเข้ามาลงทุนใน
ประเทศไทยต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้ ธปท.คงจะไม่จำกัดหรือกีดขวางการไหลเข้าของเงิน เพราะเป็นเรื่องที่ดีที่มีเงิน
ไหลเข้าประเทศ อย่างไรก็ตาม ธปท.จะดูแลแนวโน้มค่าเงินบาทในระยะต่อไปไม่ให้แข็งค่ามากจนเกินไป เพื่อช่วย
ภาคการส่งออก และไม่ต้องการให้ต่างชาติเห็นเป็นช่องทางการเก็งกำไร นอกจากนี้ เชื่อว่าในปี 49 จะมีเงินจาก
ต่างประเทศไหลเข้าต่อเนื่อง ไม่เฉพาะเงินที่ลงทุนในตลาดหุ้นเท่านั้น แต่เป็นเงินลงทุนโดยตรงในภาคธุรกิจจริง
ด้วย เห็นได้จากสิ้นปี 48 ที่มีเงินลงทุนโดยตรงเข้ามาประมาณ 2,000 ล.ดอลลาร์ สรอ. (80,000 ล.บาท) ซึ่ง
สูงกว่าในปี 48 (โลกวันนี้, กรุงเทพธุรกิจ, ข่าวสด)
2. ธปท.ระบุการซื้อขายหลักทรัพย์ต่างประเทศโดยใช้สกุลเงินตราต่างประเทศไม่ติดขัดกฎเกณฑ์
ใด รมว.คลังกล่าวว่า เพื่อป้องกันผลกระทบที่เกิดจากเงินทุนที่ไหลเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น
จึงเสนอให้การซื้อขายหุ้นในกระดานต่างประเทศ หรือ “ออฟชอร์ ฟอร์เรน บอร์ด” เป็นการซื้อขายที่ใช้สกุลเงิน
ตราต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้ผู้เกี่ยวข้องกำลังพิจารณาอยู่ ด้าน ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ในส่วนของ
ธปท.ไม่ได้ติดกฎเกณฑ์แต่อย่างใด โดยจะต้องให้คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และ
ตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นผู้พิจารณาในประเด็นนี้ ส่วน ผอ.ฝ่ายกำกับการแลกเปลี่ยนเงินและสินเชื่อ ธปท. กล่าวว่า
หากมีนโยบายการซื้อขายหลักทรัพย์โดยใช้สกุลเงินต่างประเทศจริง ก็ย่อมที่จะทำได้ โดยในส่วนของเกณฑ์การควบ
คุมและดูแลการแลกเปลี่ยนเงินก็ไม่ได้ติดขัดแต่อย่างใด เพียงแต่อาจจะต้องมีประเด็นรายละเอียดอื่นเพิ่มเติมบ้าง
เพื่อให้สามารถรับฝากเงินต่างประเทศที่มาจากการซื้อขายหลักทรัพย์ได้ (กรุงเทพธุรกิจ)
3. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ธ.ค.48 ปรับตัวดีขึ้นทุกรายการต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ผอ.
ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ธ.ค.48
ว่า ดัชนีปรับตัวดีขึ้นทุกรายการต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 เนื่องจากสัญญาณทางเศรษฐกิจหลายด้านเริ่มปรับตัวดีขึ้น ไม่
ว่าจะเป็นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ มูลกค่าการส่งออก ดุลการค้า และดุลบัญชีเดินสะพัด อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภค
ยังมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาค่าครองชีพ ราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น และอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศที่สูงขึ้น
ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ 83.6 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำโดยรวมอยู่
ที่ 82.1 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ 100.4 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 82.6, 81.4
และ 99.8 ตามลำดับ ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเฉลี่ยอยู่ที่ 88.7 เพิ่มขึ้นจากระดับ 87.9 ในเดือนก่อน
หน้า อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยลบหลายปัจจัยที่อาจจะกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ได้แก่
ทิศทางดอกเบี้ยโลกที่เป็นขาขึ้น ดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ของ ธพ.ในทิศทางขาขึ้นเช่นเดียวกัน การชะลอตัวของ
เศรษฐกิจโลก ความผันผวนของค่าเงิน และราคาน้ำมัน เป็นต้น (โลกวันนี้, กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน, ข่าวสด)
4. ก.เกษตรฯ กำหนดเป้าหมายจีดีพีด้านการเกษตรเพิ่มขึ้นในปี 51 รมว.เกษตรและ สหกรณ์ กล่าวว่า ภายหลังปรับโครงสร้างสินค้าเกษตรแล้ว ก.เกษตรฯ กำหนดเป้าหมายขยายผลิตภัณฑ์ในประเทศ
ด้านการเกษตร (จีดีพี) ในปี 51 เพิ่มขึ้นจากปีปัจจุบันคิดเป็นมูลค่าประมาณ 6 แสน ล.บาทเป็น 9 แสน ล.บาท
รายได้เกษตรกรเพิ่มขึ้นจาก 3.2 หมื่นบาท/ครัวเรือน/ปี เป็น 4 หมื่นบาท/ครัวเรือน/ปี การส่งออกสินค้าเกษตร
เพิ่มขึ้นจาก 4.3 แสน ล.บาท เป็น 7-8 แสน ล.บาท เป็นต้น ทั้งนี้ สินค้าที่มีศักยภาพสำหรับประเทศไทยคือ
ข้าว ไก่ กุ้ง และยางพารา สินค้าที่มีโอกาสคือ กลุ่มสินค้าพลังงาน อาทิ ปาล์ม อ้อย และมันสำปะหลัง และกลุ่ม
สินค้าที่ต้องมีการปรับตัวคือ ลำไย และผลไม้ในภาคตะวันออก (ผู้จัดการรายวัน)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. คาดว่าเศรษฐกิจโลกในปีนี้จะเติบโตร้อยละ 4.1 รายงานจากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
เมื่อวันที่ 12 ม.ค.49 สำนักข่าวรอยเตอร์เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นนักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารชั้นนำนานา
ชาติที่คาดว่า เศรษฐกิจโลกในปีนี้จะขยายตัวร้อยละ 4.1 ใกล้เคียงกับปี 48 ที่คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 4.2 ซึ่ง
เป็นการปรับเพิ่มขึ้นจากผลสำรวจเมื่อ 6 เดือนก่อนที่คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 3.9 และ 4.0 ตามลำดับ แม้ว่า
เศรษฐกิจของ สรอ. และจีนอาจจะชะลอตัวลง แต่จะชดเชยได้จากเศรษฐกิจของเขตยูโรและญี่ปุ่นที่คาดว่าจะขยาย
ตัวได้ดีในปีนี้ ในขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกในปี 48 และ ปี 49 จะขยายตัว
ในระดับเดียวกันคือร้อยละ 4.3 ซึ่งจะเป็นการขยายตัวต่ำกว่าร้อยละ 5.1 ในปี 47 ที่เป็นระดับสูงสุดในรอบ 3
ทศวรรษ แต่ยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 20 ปี ที่อัตราการเติบโตรายปีอยู่ที่ระดับร้อยละ 3.5 (รอยเตอร์)
2. คาดว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของอังกฤษในช่วง 3 เดือนสิ้นสุด ธ.ค.48 จะขยายตัวร้อย
ละ 0.5 รายงานจากลอนดอน เมื่อ 13 ม.ค.49 The National Institute of Economic and Social
Research (NIESR) เปิดเผยว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของอังกฤษในช่วง 3 เดือน สิ้นสุด ธ.ค.48
คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 0.5 ซึ่งเป็นอัตราที่เติบโตรวดเร็วที่สุดในรอบ 4 เดือน ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ให้ข้อสังเกต
ว่า การเติบโตของยอดขายปลีกและอุตสาหกรรมการผลิตในเดือน พ.ย.48 ที่ขยายตัวร้อยละ 0.4 นับว่าเป็นการ
ขยายตัวแข็งแกร่งที่สุดตั้งแต่เดือน ส.ค.48 ที่ผ่านมานั้น ส่งผลให้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจอังกฤษจะฟื้นตัวจนถึงปี 49
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขบ่งชี้ดังกล่าวไม่ได้เป็นสาเหตุให้ ธ.กลางอังกฤษปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทั้งนี้ ธ.กลาง
อังกฤษประกาศคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ร้อยละ 4.5 เช่นเดิมในการประชุมครั้งล่าสุดในเดือนนี้ ซึ่งเป็นการคงไว้ที่
ระดับเดิมติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 หลังจากที่ปรับลดลงร้อยละ 0.25 ในเดือน ส.ค.48 นอกจากนี้ NIESR ยังเปิด
เผยเพิ่มเติมว่า ผลผลิตโรงงานในเดือน พ.ย.48 ขยายตัวสูงสุดในรอบ 7 เดือน ขณะที่ผลสำรวจล่าสุดบ่งชี้ว่า
ยอดขายในตลาดที่อยู่อาศัยและภาคบริการเพิ่มสูงขึ้น (รอยเตอร์)
3. จีดีพีของเยอรมนีในปี 48 ขยายตัวร้อยละ 0.9 รายงานจากแฟรงก์เฟิร์ต เมื่อ 12 ม.ค.49
สำนักงานสถิติเยอรมนี เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์ในประเทศ (จีดีพี) ของเยอรมนีในปี 48 ขยายตัวเพียงร้อยละ 0.9
ลดลงจากร้อยละ 1.6 ในปี 47 อันทำให้คาดว่าจะกระทบกับการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 49 อย่างไรก็ตาม ตัว
เลขจีดีพีดังกล่าวยังอยู่เหนือกว่าเป้าหมายที่รัฐบาลเยอรมนีกำหนดไว้ว่าจะขยายตัวร้อยละ 0.8 แต่ต่ำกว่าที่นัก
เศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.0 ทั้งนี้ การขยายตัวของจีดีพีมีปัจจัยสำคัญจากการส่งออกที่แข็งแกร่ง
ขณะที่ความต้องการในประเทศยังไม่ก้าวพ้นจากภาวะชะลอตัว (รอยเตอร์)
4. คาดว่ายอดค้าปลีกของสิงคโปร์ในเดือน พ.ย.48 จะลดลงหลังปรับตัวเลขตามฤดูกาลแล้วร้อยละ
1.3 จากเดือนก่อน รายงานจากสิงคโปร์ เมื่อ 12 ม.ค.49 ผลสำรวจคาดว่ายอดค้าปลีกของสิงคโปร์ในเดือน พ.ย.48
จะลดลงหลังปรับตัวเลขตามฤดูกาลแล้วร้อยละ 1.3 จากเดือนก่อน หลังจากเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 2 เดือนติดต่อ
กันร้อยละ 4.5 และ 4.4 ต่อเดือนในเดือน ก.ย.และ ต.ค.48 ตามลำดับ แต่หากเทียบต่อปีแล้วคาดว่ายอดค้า
ปลีกในเดือน พ.ย.48 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.3 ต่อปี หลังจากเพิ่มขึ้น 10.2 ต่อปีในเดือน ต.ค.48 ทั้งนี้คาดว่า
เป็นผลจากยอดขายรถยนต์และจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง โดยยอดจดทะเบียนรถยนต์ใหม่ในเดือน พ.ย.48 ลดลง
เหลือ 8,463 คัน ลดลงเกือบร้อยละ 10 จากเดือนก่อน โดยเป็นผลจากราคาใบอนุญาตให้มีรถยนต์ซึ่งเป็นต้นทุน
ส่วนใหญ่ในการซื้อรถยนต์ในสิงคโปร์มีราคาสูงขึ้นเกือบร้อยละ 30 ในช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายของเดือน ต.ค.48
และยังคงสูงขึ้นต่อเนื่องมาถึงต้นเดือน พ.ย.48 ในขณะที่ยอดนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาสิงคโปร์ชะลอตัวลงโดยเพิ่ม
ขึ้นเพียงร้อยละ 4.4 ต่อปีในเดือน พ.ย.48 หลังจากเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 7 ต่อปีในเดือน ก.ย.และ ต.ค.48 ซึ่ง
คาดว่าจะมีส่วนทำให้ยอดค้าปลีกลดลงเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ดี นักเศรษฐศาสตร์คาดว่ายอดค้าปลีกยังมีแนวโน้มที่ดี
ต่อไปโดยเป็นผลจากการจ้างงานและค่าแรงที่เพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกของปี 49 โดยการค้าปลีกและค้าส่งของ
สิงคโปร์มีสัดส่วนประมาณร้อยละ 16 ของผลผลิตรวมในประเทศ ทั้งนี้คาดว่าเศรษฐกิจสิงคโปร์จะขยายตัวร้อยละ
9.7 ในไตรมาสสุดท้ายปี 48 และขยายตัวร้อยละ 5.7 ตลอดทั้งปี 48 (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 13 ม.ค. 49 12 ม.ค. 49 31 ม.ค. 48 แหล่
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 39.469 38.557 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 39.2929/39.5800 38.3598/38.6471 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 4.14625 2..1875 - 2.2000 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 753.04/ 33.93 701.91/15.60 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,150/10,250 10,150/10,250 7,750/7,850 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 56.95 57.62 38.15 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 11 ม.ค. 49 26.84*/24.29* 26.84*/24.29* 19.69/14.59 ปตท.
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท.ระบุเงินบาทแข็งค่ามากเกินไป แต่ยังคงดูแลอย่างใกล้ชิด ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศ
ไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 12 ม.ค.ที่ผ่านมา เงินบาทได้ปรับตัวแข็งค่าขึ้นไปอยู่ที่ 39.45 บาทต่อ
ดอลลาร์ สรอ. ถือเป็นระดับแข็งค่ามากเกินไป ซึ่ง ธปท.ต้องเข้าไปดูแลอย่างใกล้ชิดมากขึ้น สำหรับสาเหตุที่ค่า
เงินบาทยังคงแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง เพราะมีเงินไหลจากฝั่งตะวันตกมายังฝั่งตะวันออกของโลก เนื่องจากนักลงทุนเริ่ม
ไม่เชื่อมั่นในเงินดอลลาร์ และหันมาเชื่อมั่นในเงินบาทและเงินในเอเชียมากขึ้น ทำให้มีเงินไหลเข้ามาลงทุนใน
ประเทศไทยต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้ ธปท.คงจะไม่จำกัดหรือกีดขวางการไหลเข้าของเงิน เพราะเป็นเรื่องที่ดีที่มีเงิน
ไหลเข้าประเทศ อย่างไรก็ตาม ธปท.จะดูแลแนวโน้มค่าเงินบาทในระยะต่อไปไม่ให้แข็งค่ามากจนเกินไป เพื่อช่วย
ภาคการส่งออก และไม่ต้องการให้ต่างชาติเห็นเป็นช่องทางการเก็งกำไร นอกจากนี้ เชื่อว่าในปี 49 จะมีเงินจาก
ต่างประเทศไหลเข้าต่อเนื่อง ไม่เฉพาะเงินที่ลงทุนในตลาดหุ้นเท่านั้น แต่เป็นเงินลงทุนโดยตรงในภาคธุรกิจจริง
ด้วย เห็นได้จากสิ้นปี 48 ที่มีเงินลงทุนโดยตรงเข้ามาประมาณ 2,000 ล.ดอลลาร์ สรอ. (80,000 ล.บาท) ซึ่ง
สูงกว่าในปี 48 (โลกวันนี้, กรุงเทพธุรกิจ, ข่าวสด)
2. ธปท.ระบุการซื้อขายหลักทรัพย์ต่างประเทศโดยใช้สกุลเงินตราต่างประเทศไม่ติดขัดกฎเกณฑ์
ใด รมว.คลังกล่าวว่า เพื่อป้องกันผลกระทบที่เกิดจากเงินทุนที่ไหลเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น
จึงเสนอให้การซื้อขายหุ้นในกระดานต่างประเทศ หรือ “ออฟชอร์ ฟอร์เรน บอร์ด” เป็นการซื้อขายที่ใช้สกุลเงิน
ตราต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้ผู้เกี่ยวข้องกำลังพิจารณาอยู่ ด้าน ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ในส่วนของ
ธปท.ไม่ได้ติดกฎเกณฑ์แต่อย่างใด โดยจะต้องให้คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และ
ตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นผู้พิจารณาในประเด็นนี้ ส่วน ผอ.ฝ่ายกำกับการแลกเปลี่ยนเงินและสินเชื่อ ธปท. กล่าวว่า
หากมีนโยบายการซื้อขายหลักทรัพย์โดยใช้สกุลเงินต่างประเทศจริง ก็ย่อมที่จะทำได้ โดยในส่วนของเกณฑ์การควบ
คุมและดูแลการแลกเปลี่ยนเงินก็ไม่ได้ติดขัดแต่อย่างใด เพียงแต่อาจจะต้องมีประเด็นรายละเอียดอื่นเพิ่มเติมบ้าง
เพื่อให้สามารถรับฝากเงินต่างประเทศที่มาจากการซื้อขายหลักทรัพย์ได้ (กรุงเทพธุรกิจ)
3. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ธ.ค.48 ปรับตัวดีขึ้นทุกรายการต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ผอ.
ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ธ.ค.48
ว่า ดัชนีปรับตัวดีขึ้นทุกรายการต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 เนื่องจากสัญญาณทางเศรษฐกิจหลายด้านเริ่มปรับตัวดีขึ้น ไม่
ว่าจะเป็นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ มูลกค่าการส่งออก ดุลการค้า และดุลบัญชีเดินสะพัด อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภค
ยังมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาค่าครองชีพ ราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น และอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศที่สูงขึ้น
ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ 83.6 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำโดยรวมอยู่
ที่ 82.1 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ 100.4 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 82.6, 81.4
และ 99.8 ตามลำดับ ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเฉลี่ยอยู่ที่ 88.7 เพิ่มขึ้นจากระดับ 87.9 ในเดือนก่อน
หน้า อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยลบหลายปัจจัยที่อาจจะกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ได้แก่
ทิศทางดอกเบี้ยโลกที่เป็นขาขึ้น ดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ของ ธพ.ในทิศทางขาขึ้นเช่นเดียวกัน การชะลอตัวของ
เศรษฐกิจโลก ความผันผวนของค่าเงิน และราคาน้ำมัน เป็นต้น (โลกวันนี้, กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน, ข่าวสด)
4. ก.เกษตรฯ กำหนดเป้าหมายจีดีพีด้านการเกษตรเพิ่มขึ้นในปี 51 รมว.เกษตรและ สหกรณ์ กล่าวว่า ภายหลังปรับโครงสร้างสินค้าเกษตรแล้ว ก.เกษตรฯ กำหนดเป้าหมายขยายผลิตภัณฑ์ในประเทศ
ด้านการเกษตร (จีดีพี) ในปี 51 เพิ่มขึ้นจากปีปัจจุบันคิดเป็นมูลค่าประมาณ 6 แสน ล.บาทเป็น 9 แสน ล.บาท
รายได้เกษตรกรเพิ่มขึ้นจาก 3.2 หมื่นบาท/ครัวเรือน/ปี เป็น 4 หมื่นบาท/ครัวเรือน/ปี การส่งออกสินค้าเกษตร
เพิ่มขึ้นจาก 4.3 แสน ล.บาท เป็น 7-8 แสน ล.บาท เป็นต้น ทั้งนี้ สินค้าที่มีศักยภาพสำหรับประเทศไทยคือ
ข้าว ไก่ กุ้ง และยางพารา สินค้าที่มีโอกาสคือ กลุ่มสินค้าพลังงาน อาทิ ปาล์ม อ้อย และมันสำปะหลัง และกลุ่ม
สินค้าที่ต้องมีการปรับตัวคือ ลำไย และผลไม้ในภาคตะวันออก (ผู้จัดการรายวัน)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. คาดว่าเศรษฐกิจโลกในปีนี้จะเติบโตร้อยละ 4.1 รายงานจากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
เมื่อวันที่ 12 ม.ค.49 สำนักข่าวรอยเตอร์เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นนักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารชั้นนำนานา
ชาติที่คาดว่า เศรษฐกิจโลกในปีนี้จะขยายตัวร้อยละ 4.1 ใกล้เคียงกับปี 48 ที่คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 4.2 ซึ่ง
เป็นการปรับเพิ่มขึ้นจากผลสำรวจเมื่อ 6 เดือนก่อนที่คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 3.9 และ 4.0 ตามลำดับ แม้ว่า
เศรษฐกิจของ สรอ. และจีนอาจจะชะลอตัวลง แต่จะชดเชยได้จากเศรษฐกิจของเขตยูโรและญี่ปุ่นที่คาดว่าจะขยาย
ตัวได้ดีในปีนี้ ในขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกในปี 48 และ ปี 49 จะขยายตัว
ในระดับเดียวกันคือร้อยละ 4.3 ซึ่งจะเป็นการขยายตัวต่ำกว่าร้อยละ 5.1 ในปี 47 ที่เป็นระดับสูงสุดในรอบ 3
ทศวรรษ แต่ยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 20 ปี ที่อัตราการเติบโตรายปีอยู่ที่ระดับร้อยละ 3.5 (รอยเตอร์)
2. คาดว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของอังกฤษในช่วง 3 เดือนสิ้นสุด ธ.ค.48 จะขยายตัวร้อย
ละ 0.5 รายงานจากลอนดอน เมื่อ 13 ม.ค.49 The National Institute of Economic and Social
Research (NIESR) เปิดเผยว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของอังกฤษในช่วง 3 เดือน สิ้นสุด ธ.ค.48
คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 0.5 ซึ่งเป็นอัตราที่เติบโตรวดเร็วที่สุดในรอบ 4 เดือน ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ให้ข้อสังเกต
ว่า การเติบโตของยอดขายปลีกและอุตสาหกรรมการผลิตในเดือน พ.ย.48 ที่ขยายตัวร้อยละ 0.4 นับว่าเป็นการ
ขยายตัวแข็งแกร่งที่สุดตั้งแต่เดือน ส.ค.48 ที่ผ่านมานั้น ส่งผลให้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจอังกฤษจะฟื้นตัวจนถึงปี 49
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขบ่งชี้ดังกล่าวไม่ได้เป็นสาเหตุให้ ธ.กลางอังกฤษปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทั้งนี้ ธ.กลาง
อังกฤษประกาศคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ร้อยละ 4.5 เช่นเดิมในการประชุมครั้งล่าสุดในเดือนนี้ ซึ่งเป็นการคงไว้ที่
ระดับเดิมติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 หลังจากที่ปรับลดลงร้อยละ 0.25 ในเดือน ส.ค.48 นอกจากนี้ NIESR ยังเปิด
เผยเพิ่มเติมว่า ผลผลิตโรงงานในเดือน พ.ย.48 ขยายตัวสูงสุดในรอบ 7 เดือน ขณะที่ผลสำรวจล่าสุดบ่งชี้ว่า
ยอดขายในตลาดที่อยู่อาศัยและภาคบริการเพิ่มสูงขึ้น (รอยเตอร์)
3. จีดีพีของเยอรมนีในปี 48 ขยายตัวร้อยละ 0.9 รายงานจากแฟรงก์เฟิร์ต เมื่อ 12 ม.ค.49
สำนักงานสถิติเยอรมนี เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์ในประเทศ (จีดีพี) ของเยอรมนีในปี 48 ขยายตัวเพียงร้อยละ 0.9
ลดลงจากร้อยละ 1.6 ในปี 47 อันทำให้คาดว่าจะกระทบกับการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 49 อย่างไรก็ตาม ตัว
เลขจีดีพีดังกล่าวยังอยู่เหนือกว่าเป้าหมายที่รัฐบาลเยอรมนีกำหนดไว้ว่าจะขยายตัวร้อยละ 0.8 แต่ต่ำกว่าที่นัก
เศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.0 ทั้งนี้ การขยายตัวของจีดีพีมีปัจจัยสำคัญจากการส่งออกที่แข็งแกร่ง
ขณะที่ความต้องการในประเทศยังไม่ก้าวพ้นจากภาวะชะลอตัว (รอยเตอร์)
4. คาดว่ายอดค้าปลีกของสิงคโปร์ในเดือน พ.ย.48 จะลดลงหลังปรับตัวเลขตามฤดูกาลแล้วร้อยละ
1.3 จากเดือนก่อน รายงานจากสิงคโปร์ เมื่อ 12 ม.ค.49 ผลสำรวจคาดว่ายอดค้าปลีกของสิงคโปร์ในเดือน พ.ย.48
จะลดลงหลังปรับตัวเลขตามฤดูกาลแล้วร้อยละ 1.3 จากเดือนก่อน หลังจากเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 2 เดือนติดต่อ
กันร้อยละ 4.5 และ 4.4 ต่อเดือนในเดือน ก.ย.และ ต.ค.48 ตามลำดับ แต่หากเทียบต่อปีแล้วคาดว่ายอดค้า
ปลีกในเดือน พ.ย.48 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.3 ต่อปี หลังจากเพิ่มขึ้น 10.2 ต่อปีในเดือน ต.ค.48 ทั้งนี้คาดว่า
เป็นผลจากยอดขายรถยนต์และจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง โดยยอดจดทะเบียนรถยนต์ใหม่ในเดือน พ.ย.48 ลดลง
เหลือ 8,463 คัน ลดลงเกือบร้อยละ 10 จากเดือนก่อน โดยเป็นผลจากราคาใบอนุญาตให้มีรถยนต์ซึ่งเป็นต้นทุน
ส่วนใหญ่ในการซื้อรถยนต์ในสิงคโปร์มีราคาสูงขึ้นเกือบร้อยละ 30 ในช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายของเดือน ต.ค.48
และยังคงสูงขึ้นต่อเนื่องมาถึงต้นเดือน พ.ย.48 ในขณะที่ยอดนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาสิงคโปร์ชะลอตัวลงโดยเพิ่ม
ขึ้นเพียงร้อยละ 4.4 ต่อปีในเดือน พ.ย.48 หลังจากเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 7 ต่อปีในเดือน ก.ย.และ ต.ค.48 ซึ่ง
คาดว่าจะมีส่วนทำให้ยอดค้าปลีกลดลงเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ดี นักเศรษฐศาสตร์คาดว่ายอดค้าปลีกยังมีแนวโน้มที่ดี
ต่อไปโดยเป็นผลจากการจ้างงานและค่าแรงที่เพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกของปี 49 โดยการค้าปลีกและค้าส่งของ
สิงคโปร์มีสัดส่วนประมาณร้อยละ 16 ของผลผลิตรวมในประเทศ ทั้งนี้คาดว่าเศรษฐกิจสิงคโปร์จะขยายตัวร้อยละ
9.7 ในไตรมาสสุดท้ายปี 48 และขยายตัวร้อยละ 5.7 ตลอดทั้งปี 48 (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 13 ม.ค. 49 12 ม.ค. 49 31 ม.ค. 48 แหล่
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 39.469 38.557 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 39.2929/39.5800 38.3598/38.6471 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 4.14625 2..1875 - 2.2000 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 753.04/ 33.93 701.91/15.60 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,150/10,250 10,150/10,250 7,750/7,850 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 56.95 57.62 38.15 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 11 ม.ค. 49 26.84*/24.29* 26.84*/24.29* 19.69/14.59 ปตท.
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--