ภาพรวมอุตสาหกรรม
อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติกไทยในในช่วงที่ผ่านมาได้เผชิญปัญหาที่เป็นอุปสรรคในการแข่งขันทั้งภายในและภายนอกประเทศ ทำให้ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกของไทยต้องปรับตัวเพื่อให้อุตสาหกรรมอยู่รอด โดยอุปสรรคภายในประเทศที่สำคัญและเป็นปัญหา อย่างมากที่ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกได้รับผลกระทบคือการที่มีสินค้าราคาถูกจากประเทศจีนเข้ามาตีตลาดสินค้าผลิตภัณฑ์พลาสติกของไทย และสำหรับปัจจัยภายนอกที่สำคัญที่เป็นอุปสรรคในการแข่งขัน กฎระเบียบใหม่ๆ ของประเทศผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์พลาสติก รวมถึงผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ผันผวน
ดังนั้นผู้ผลิตในประเทศควรหากลยุทธ์ใหม่ๆ เช่น การหาตลาดใหม่ การผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกเพื่อทดแทนวัสดุอื่น การเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ การหามูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าผลิตภัณฑ์พลาสติก และที่สำคัญคือการปรับปรุงสินค้าตลอดจนกระบวนการผลิตให้สอดคล้องกับกฎระเบียบใหม่ๆ ของประเทศผู้นำเข้าเพื่อเพิ่มศักยภาพของการส่งออกผลิตภัณฑ์พลาสติก เพื่อที่จะทำให้ผู้ผลิตสามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดไปพร้อมๆกับการขยายฐานการตลาดให้มากขึ้น
การตลาด
การส่งออก
ในไตรมาสที่ 2 ปี 2548 ผลิตภัณฑ์พลาสติกมีมูลค่าการส่งออกรวมทั้งสิ้น 453.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.41 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และเพิ่มขึ้นร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตลาดส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง สหราชอาณาจักร กลุ่มประเทศในอาเชียน และออสเตรเลีย สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าส่งออกสูงสุด คือ แผ่นฟิมล์ฟอยล์และแถบ ถุงและกระสอบพลาสติก และเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารพลาสติก มีสัดส่วนการส่งออกร้อยละ 28.70 , 25.88 และ 4.83 ของมูลค่าส่งออกรวม เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมาพบว่าผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นมากที่สุด 3 ลำดับแรก ได้แก่ ครื่องแต่งกายและของใช้ประกอบเครื่องแต่งกายที่ทำจากพลาสติก เครื่องใช้บนโต๊ะอาหารพลาสติก และพลาสติกปูพื้นและผนัง ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 28.00 , 14.66และ 12.26 ตามลำดับ สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการส่งออกลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนมีเพียงหลอดและท่อพลาสติก โดยลดลงร้อยละ 2.94 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนพบว่าผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้น 3 ลำดับแรกได้แก่ พลาสติกปูพื้นและผนัง ถุงและกระสอบพลาสติก และกล่องหีบที่ทำด้วยพลาสติก โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 52.56 , 44.40 และ 40.68 ตามลำดับ สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการส่งออกลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนมีเพียงเครื่องแต่งกายและของใช้ประกอบเครื่องแต่งกายที่ทำด้วยพลาสติก โดยลดลงร้อยละ 23.81
การนำเข้า
ในไตรมาสที่ 2 ปี 2548 ผลิตภัณฑ์พลาสติกมีมูลค่าการนำเข้ารวมทั้งสิ้น 526.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 15.21 และไตรมาสที่ผ่านมาร้อยละ 6.78 แหล่งนำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา จีน เกาหลีใต้ และกลุ่มอาเซียน โดยแผ่นฟิมล์ ฟลอย์และแถบพลาสติก มีสัดส่วนการนำเข้าสูงถึงร้อยละ 35.60 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมาแผ่นฟิมล์ ฟลอย์และแถบพลาสติก มีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.94 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน หลอดและท่อพลาสติก และ แผ่นฟิล์ม ฟอยล์และแถบพลาสติก ซึ่งมีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.84 และ 16.80 ตามลำดับ
แนวโน้ม
อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติกต้องปรับตัวในเรื่องของรูปแบบและการออกแบบสินค้า เนื่องจากจีนเป็นแม่แบบการพัฒนาอุตสาหกรรมปรับเปลี่ยนจากการเป็นฐานการผลิตเป็นการสร้างตรายี่ห้อ(Brand) ของตนเอง ซึ่งมีแนวโน้มว่าอีก 5 ปี ตรายี่ห้อ ( Brand )ของจากจีนจะยืนอยู่ในระดับแนวหน้าของโลกดังนั้นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกของไทยจะต้องเร่งทำการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้ตลาดโลกยอมรับ สำหรับผู้ผลิตรายใหญ่ ในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติก ยังคงสามารถแข่งขันกับผู้ผลิตได้จากทั่วโลก เนื่องจากมีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับ ในขณะที่รายเล็กรายย่อย ถ้าจะแข่งขันก็ต้องปรับวิธีการผลิต โดยยึดการพัฒนามาตรฐานเป็นสำคัญ ไม่เช่นนั้นจะสู้สินค้าราคาถูกจากต่างประเทศไม่ได้ แม้แต่การรับจ้างผลิตก็อาจจะต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ลำบาก เนื่องจากนักลงทุนจำเป็นต้องเลือกประเทศที่มีต้นทุนด้านแรงงานที่ถูกกว่าแทน ดังนั้นการทำอุตสาหกรรมในลักษณะรับจ้างผลิตจะยืนหยัดได้ลำบากในระยะยาว ผู้ประกอบการมักเจอปัญหาที่ลูกค้าต้องการสินค้าราคาถูก คุณภาพดี แต่ต้นทุนการผลิตแพงขึ้นเรื่อย ๆ ผู้ประกอบการบางรายอยู่ไม่ได้ต้องเปลี่ยนขั้นตอนการผลิตเพื่อลดต้นทุน หรือบางรายก็ต้องเลิกกิจการไปในที่สุด แปรสภาพจากผู้ผลิตไปเป็นพ่อค้า รับซื้อของจากประเทศจีนมาขายแทน ดังนั้น การที่จะสามารประคับประคองอุตสาหกรรมให้ยืนอยู่ได้ในระยะยาวต้องออกแบบสินค้าใหม่ๆ เข้ามาแข่ง โดยตั้งเป้าพัฒนาไปสู่การสร้างตรายี่ห้อ(Brand) ของตนเอง
สิ่งสำคัญที่สุดในระยะเวลาอันสั้นนี้ที่ผู้ประกอบการจะต้องเผชิญคือเรื่องของต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นเนื่องจากแนวโน้มของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้จะส่งผลถึงเรื่องของต้นทุนการผลิตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากน้ำมันเป็นวัตถุดิบที่สำคัญในการผลิตเม็ดพลาสติก ดังนั้นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกจะต้องหามาตรการในระยะสั้นที่จะลดต้นทุนการผลิตให้ได้มากที่สุด เนื่องจากในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติกมีการแข่งขันสูงทำให้ผู้ผลิตไม่สามารถผลักภาระไปที่ผู้บริโภคได้ง่ายนัก
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-
อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติกไทยในในช่วงที่ผ่านมาได้เผชิญปัญหาที่เป็นอุปสรรคในการแข่งขันทั้งภายในและภายนอกประเทศ ทำให้ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกของไทยต้องปรับตัวเพื่อให้อุตสาหกรรมอยู่รอด โดยอุปสรรคภายในประเทศที่สำคัญและเป็นปัญหา อย่างมากที่ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกได้รับผลกระทบคือการที่มีสินค้าราคาถูกจากประเทศจีนเข้ามาตีตลาดสินค้าผลิตภัณฑ์พลาสติกของไทย และสำหรับปัจจัยภายนอกที่สำคัญที่เป็นอุปสรรคในการแข่งขัน กฎระเบียบใหม่ๆ ของประเทศผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์พลาสติก รวมถึงผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ผันผวน
ดังนั้นผู้ผลิตในประเทศควรหากลยุทธ์ใหม่ๆ เช่น การหาตลาดใหม่ การผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกเพื่อทดแทนวัสดุอื่น การเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ การหามูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าผลิตภัณฑ์พลาสติก และที่สำคัญคือการปรับปรุงสินค้าตลอดจนกระบวนการผลิตให้สอดคล้องกับกฎระเบียบใหม่ๆ ของประเทศผู้นำเข้าเพื่อเพิ่มศักยภาพของการส่งออกผลิตภัณฑ์พลาสติก เพื่อที่จะทำให้ผู้ผลิตสามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดไปพร้อมๆกับการขยายฐานการตลาดให้มากขึ้น
การตลาด
การส่งออก
ในไตรมาสที่ 2 ปี 2548 ผลิตภัณฑ์พลาสติกมีมูลค่าการส่งออกรวมทั้งสิ้น 453.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.41 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และเพิ่มขึ้นร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตลาดส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง สหราชอาณาจักร กลุ่มประเทศในอาเชียน และออสเตรเลีย สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าส่งออกสูงสุด คือ แผ่นฟิมล์ฟอยล์และแถบ ถุงและกระสอบพลาสติก และเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารพลาสติก มีสัดส่วนการส่งออกร้อยละ 28.70 , 25.88 และ 4.83 ของมูลค่าส่งออกรวม เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมาพบว่าผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นมากที่สุด 3 ลำดับแรก ได้แก่ ครื่องแต่งกายและของใช้ประกอบเครื่องแต่งกายที่ทำจากพลาสติก เครื่องใช้บนโต๊ะอาหารพลาสติก และพลาสติกปูพื้นและผนัง ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 28.00 , 14.66และ 12.26 ตามลำดับ สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการส่งออกลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนมีเพียงหลอดและท่อพลาสติก โดยลดลงร้อยละ 2.94 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนพบว่าผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้น 3 ลำดับแรกได้แก่ พลาสติกปูพื้นและผนัง ถุงและกระสอบพลาสติก และกล่องหีบที่ทำด้วยพลาสติก โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 52.56 , 44.40 และ 40.68 ตามลำดับ สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการส่งออกลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนมีเพียงเครื่องแต่งกายและของใช้ประกอบเครื่องแต่งกายที่ทำด้วยพลาสติก โดยลดลงร้อยละ 23.81
การนำเข้า
ในไตรมาสที่ 2 ปี 2548 ผลิตภัณฑ์พลาสติกมีมูลค่าการนำเข้ารวมทั้งสิ้น 526.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 15.21 และไตรมาสที่ผ่านมาร้อยละ 6.78 แหล่งนำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา จีน เกาหลีใต้ และกลุ่มอาเซียน โดยแผ่นฟิมล์ ฟลอย์และแถบพลาสติก มีสัดส่วนการนำเข้าสูงถึงร้อยละ 35.60 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมาแผ่นฟิมล์ ฟลอย์และแถบพลาสติก มีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.94 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน หลอดและท่อพลาสติก และ แผ่นฟิล์ม ฟอยล์และแถบพลาสติก ซึ่งมีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.84 และ 16.80 ตามลำดับ
แนวโน้ม
อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติกต้องปรับตัวในเรื่องของรูปแบบและการออกแบบสินค้า เนื่องจากจีนเป็นแม่แบบการพัฒนาอุตสาหกรรมปรับเปลี่ยนจากการเป็นฐานการผลิตเป็นการสร้างตรายี่ห้อ(Brand) ของตนเอง ซึ่งมีแนวโน้มว่าอีก 5 ปี ตรายี่ห้อ ( Brand )ของจากจีนจะยืนอยู่ในระดับแนวหน้าของโลกดังนั้นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกของไทยจะต้องเร่งทำการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้ตลาดโลกยอมรับ สำหรับผู้ผลิตรายใหญ่ ในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติก ยังคงสามารถแข่งขันกับผู้ผลิตได้จากทั่วโลก เนื่องจากมีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับ ในขณะที่รายเล็กรายย่อย ถ้าจะแข่งขันก็ต้องปรับวิธีการผลิต โดยยึดการพัฒนามาตรฐานเป็นสำคัญ ไม่เช่นนั้นจะสู้สินค้าราคาถูกจากต่างประเทศไม่ได้ แม้แต่การรับจ้างผลิตก็อาจจะต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ลำบาก เนื่องจากนักลงทุนจำเป็นต้องเลือกประเทศที่มีต้นทุนด้านแรงงานที่ถูกกว่าแทน ดังนั้นการทำอุตสาหกรรมในลักษณะรับจ้างผลิตจะยืนหยัดได้ลำบากในระยะยาว ผู้ประกอบการมักเจอปัญหาที่ลูกค้าต้องการสินค้าราคาถูก คุณภาพดี แต่ต้นทุนการผลิตแพงขึ้นเรื่อย ๆ ผู้ประกอบการบางรายอยู่ไม่ได้ต้องเปลี่ยนขั้นตอนการผลิตเพื่อลดต้นทุน หรือบางรายก็ต้องเลิกกิจการไปในที่สุด แปรสภาพจากผู้ผลิตไปเป็นพ่อค้า รับซื้อของจากประเทศจีนมาขายแทน ดังนั้น การที่จะสามารประคับประคองอุตสาหกรรมให้ยืนอยู่ได้ในระยะยาวต้องออกแบบสินค้าใหม่ๆ เข้ามาแข่ง โดยตั้งเป้าพัฒนาไปสู่การสร้างตรายี่ห้อ(Brand) ของตนเอง
สิ่งสำคัญที่สุดในระยะเวลาอันสั้นนี้ที่ผู้ประกอบการจะต้องเผชิญคือเรื่องของต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นเนื่องจากแนวโน้มของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้จะส่งผลถึงเรื่องของต้นทุนการผลิตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากน้ำมันเป็นวัตถุดิบที่สำคัญในการผลิตเม็ดพลาสติก ดังนั้นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกจะต้องหามาตรการในระยะสั้นที่จะลดต้นทุนการผลิตให้ได้มากที่สุด เนื่องจากในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติกมีการแข่งขันสูงทำให้ผู้ผลิตไม่สามารถผลักภาระไปที่ผู้บริโภคได้ง่ายนัก
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-