สรุปภาวะการค้าไทย-สหรัฐระหว่างเดือน ม.ค.- พ.ค.2548

ข่าวเศรษฐกิจ Monday July 25, 2005 14:40 —กรมส่งเสริมการส่งออก

1. สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดนำเข้าสำคัญอันดับ 1 ของโลก (ม.ค.-เม.ย.48) มีมูลค่าการนำเข้ารวม 515,984,234,408 เหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.37 2. แหล่งผลิตสำคัญที่สหรัฐอเมริกานำเข้าในปี 2548 (ม.ค.-พ.ค.) ได้แก่ - แคนาดา ร้อยละ 17.50 มูลค่า 114,034.688 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.16 - จีน ร้อยละ 13.54 มูลค่า 88,196.886 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 27.88 - เม็กซิโก ร้อยละ 10.37 มูลค่า 67,531.720 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.70 - ญี่ปุ่น ร้อยละ 8.67 มูลค่า 56,457.271 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.00 ส่วนการนำเข้าจากไทยอยู่อันดับที่ 17 สัดส่วนร้อยละ 1.17 มูลค่า 7,590.522 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.11 3. กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ รายงานว่าในช่วงไตรมาสแรกของปี 2548 เศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัว เพิ่มขึ้นเป็น 3.8% เท่ากับในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2547 ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 3.5% เนื่องจากการค้าและการก่อสร้างที่พักอาศัยขยายตัวดี ประกอบกับดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงและราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้คาดว่าทั้งปี 2548สหรัฐฯ จะมียอดขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเพิ่มขึ้น 17% จากปีก่อน (เป็น 780 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) 4. สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับหนึ่งของไทย โดยมีสัดส่วนการส่งออกไปตลาดนี้ (ม.ค.-พ.ค. 2548) มูลค่า 6,420.06 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สัดส่วนร้อยละ 15.08 เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.49 หรือคิดเป็นร้อยละ 37.61 ของเป้าหมายการส่งออก 5. การค้าระหว่างประเทศไทย-สหรัฐฯมูลค่า : ล้านเหรียญสหรัฐ 2545 2546 2547 2547 2548 อัตราการขยายตัว (ร้อยละ) 2545 2546 2547 2548 (ม.ค.-พ.ค.) (ม.ค.-พ.ค) (ม.ค.-พ.ค) มูลค่าการค้า 19,656.45 20,688.79 22,732.18 8,931.99 10,031.92 -3.45 5.25 9.88 12.31 สินค้าออก 13,509.42 13,596.19 15,516.81 5,972.68 6,420.46 2.35 0.64 14.13 7.49 สินค้าเข้า 6,147.03 7,092.60 7,215.37 2,959.31 3,611.66 -14.14 15.38 1.73 22.04 ดุลการค้า 7,362.39 6,503.59 8,301.44 3,013.37 2,808.61 21.89 -11.66 27.64 -6.8 6. สินค้าไทยส่งออกไปสหรัฐอเมริกา (ม.ค.-พ.ค. 2548) 25 อันดับแรกมีสัดส่วนรวมกันร้อยละ 77.24 ของมูลค่าการส่งออกโดยรวมไปตลาดนี้ สินค้าสำคัญที่มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นเกินกว่าร้อยละ 50 มี 2 รายการ สินค้าสำคัญที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเกินกว่าร้อยละ 30 มี 3 รายการ และสินค้าที่มีมูลค่าลดลงเกินกว่าร้อยละ 20มี 2 รายการสถิติการส่งออกสินค้าไทยไปสหรัฐที่มีมูลค่าการเปลี่ยนแปลงสูงมูลค่า : ล้านเหรียญสหรัฐ มูลค่า : ล้านเหรียญสหรัฐ มูลค่าการ %เปลี่ยนแปลง สัดส่วน ร้อยละ2548 ตลาด อันดับที่ ม.ค.-พ.ค47 ม.ค.-พ.ค48 เปลี่ยนแปลง ม.ค.-พ.ค 2547 ม.ค.-พ.ค 1. สินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นสูงมากกว่าร้อยละ 50 มี 2 รายการ (1) เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่นๆ 8 128.80 212.84 84.04 65.25 2.32 3.32 (2) ผลิตภัณฑ์พลาสติก 15 74.34 120.68 46.34 62.35 1.29 1.88 2. สินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นสูงมากกว่าร้อยละ 30 มี 3 รายการ (1) อัญมณีและเครื่องประดับ 4 280.66 370.98 90.32 32.18 4.63 5.78 (2) วงจรพิมพ์ 9 141.37 204.87 63.50 44.92 2.19 3.19 (3) เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ 16 80.85 120.19 39.34 48.66 2.11 1.87 3. สินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ ลดลงมากกว่าร้อยละ 20 มี 2 รายการ (1) เครื่องวีดีโอ เครื่องเสียงอุปกรณ์และส่วนประกอบ 18 127.47 101.20 -26.27 -20.60 2.04 1.58 (2) ส่วนประกอบอากาศยานและอุปกรณ์การบิน 19 190.44 94.29 -96.15 -50.49 2.25 1.47 รวบรวมโดย : ศูนย์สารสนเทศการค้าระหว่างประเทศจากสถิติการส่งออกดังกล่าวมีข้อสังเกต ดังนี้เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบ (HS. 85) Electrical Machinery สหรัฐฯ นำเข้าจากไทยเป็นอันดับที่ 9 มูลค่า 2,148.733 ล้านเหรียญสหรัฐ มีสัดส่วนร้อยละ 2.76 เพิ่มขึ้นร้อยละ 35.64 ด้านการนำเข้าจากตลาดโลกของสหรัฐฯ มูลค่า 77,993.504 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.34 นำเข้าจาก จีน เม็กซิโก ญี่ปุ่น เป็นหลัก (ม.ค.-พ.ค. 2548)ผลิตภัณฑ์พลาสติก (HS. 3924) Tableware, Kitchenware, Other Household Articles and Toilet Articles of Plastic สหรัฐฯ นำเข้าจากไทยอันดับที่ 7 มูลค่า 12.442 ล้านเหรียญสหรัฐ มีสัดส่วนร้อยละ 1.19 เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.30 ด้านการนำเข้าจากตลาดโลกของสหรัฐฯ มูลค่า 1,045.318 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.18 นำเข้าจาก จีน เม็กซิโก ไต้หวัน เป็นหลัก (ม.ค.-พ.ค. 2548)อัณมณีและเครื่องประดับ (HS.7102) DIAMONS สหรัฐฯ นำเข้าจากไทยเป็นอันดับที่ 14 มูลค่า 19.107 ล้านเหรียญสหรัฐ มีสัดส่วนร้อยละ 0.29 เพิ่มขึ้นร้อยละ 51.44 ด้านการนำเข้าจากตลาดโลกของสหรัฐฯ มูลค่า 6,612.944 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.27 นำเข้าจาก อิสราเอล เบลเยี่ยม อินเดีย เป็นหลัก (ม.ค.-พ.ค. 2548) (HS 7103) Precious And Semiprecious stone สหรัฐฯ นำเข้าจากไทยเป็นอันดับที่ 1 มูลค่า 84.458 ล้านเหรียญสหรัฐ มีสัดส่วนร้อยละ 23.62 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.53 ด้านการนำเข้าจากตลาดโลกของสหรัฐฯ มูลค่า 366.007 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.60 นำเข้าจาก ไทย อินเดีย สวิสเซอร์แลนด์ เป็นหลัก (ม.ค.-พ.ค. 2548) (HS 7113) Jewelry With Prec Met สหรัฐฯ นำเข้าจากไทยเป็นอันดับที่ 3 มูลค่า 338.780 ล้านเหรียญสหรัฐ มีสัดส่วนร้อยละ 11.45 เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.45 ด้านการนำเข้าจากตลาดโลกของสหรัฐฯ มูลค่า 2,959.286 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.74 นำเข้าจาก อินเดีย อิตาลี ไทย เป็นหลัก (ม.ค.-พ.ค. 2548) วงจรพิมพ์ (HS. 8534) Printed Circuits สหรัฐฯ นำเข้าจากไทยเป็นอันดับที่ 10 มูลค่า 20.095 ล้านเหรียญสหรัฐ มีสัดส่วนร้อยละ 2.26 ลดลงร้อยละ 18.86 ด้านการนำเข้าจากตลาดโลกของสหรัฐฯ มูลค่า 890.003 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.11 นำเข้าจาก แคนาดา จีน ไต้หวัน เป็นหลัก (ม.ค-พ.ค 2548) เหล็ก เหล็กกล้า และผลิตภัณฑ์ (HS. 72) Iron And Steel สหรัฐฯ นำเข้าจากไทยเป็นอันดับที่ 30 มูลค่า 56.081 ล้านเหรียญสหรัฐ มีสัดส่วนร้อยละ 0.54 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1,359.42 ด้านการนำเข้าจากตลาดโลกของสหรัฐฯ มูลค่า 10,476.792 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 62.39 นำเข้าจาก แคนาดา บราซิล เม็กซิโก เป็นหลัก (ม.ค-พ.ค 2548) เครื่องวีดีโอ เครื่องเสียงอุปกรณ์และส่วนประกอบ (HS. 8521) Video Recording or Reproducing Apparatus, Whether or Not Incorporating a Video Tuner สหรัฐฯ นำเข้าจากไทยเป็นอันดับที่ 7 มูลค่า 38.465 ล้านเหรียญสหรัฐ มีสัดส่วนร้อยละ 3.19ลดลงร้อยละ 45.19 ด้านการนำเข้าจากตลาดโลกของสหรัฐฯ มูลค่า 1,206.763 ล้านเหรียญสหรัฐลดลงร้อยละ 28.56 นำเข้าจาก จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น เป็นหลัก (ม.ค.-พ.ค. 2548)ส่วนประกอบอากาศยานและอุปกรณ์ (HS.8803) Parts of Balloons, Pirigibles, Gliders, Airplanes, Other Aircraft, Spacecraft And Spacecraft Launch สหรัฐฯ นำเข้าจากไทยเป็นอันดับที่ 35 มูลค่า 0.678 ล้านเหรียญสหรัฐ มีสัดส่วนร้อยละ 0.03 ลดลงร้อยละ 29.10 ด้านการนำเข้าจากตลาดโลกของสหรัฐฯ มูลค่า 2,157.193 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.25 นำเข้าจาก ญี่ปุ่น แคนาดา สหราชอาณาจักร เป็นหลัก (ม.ค.-พ.ค. 2548) 8. ข้อมูลเพิ่มเติมและข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการค้าระหว่างไทย-สหรัฐฯ เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2548 ธนาคารโลกเปิดเผยอันดับผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี)ของปี 2547 ปรากฎว่าสหรัฐฯ มีขนาดเศรษฐกิจมวลรวมใหญ่ที่สุด ด้วยมูลค่า 11,667,515 ล้านเหรียญสหรัฐ รองลงมาคือญี่ปุ่นที่มีมูลค่าจีดีพี 4,623,398 ล้านเหรียญสหรัฐ ตามด้วยเยอรมนี 2,714,418 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 32 ด้วยมูลค่าจีดีพี 163,491 ล้านเหรียญสหรัฐ จากทั้งหมด 184 ประเทศ ปัจจุบันมี 4 ปัจจัยสำคัญ ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก ได้แก่ 1.ราคาน้ำมันที่ยังมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง 2. อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น 3. อัตราเงินเฟ้อขยายตัว และ 4. ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนซึ่งทั้ง 4 ปัจจัยนี้ยังคงหาจุดลงตัวที่ชัดเจนไม่ได้ อย่างไรก็ตามตัวการสำคัญที่จะเป็นผู้กำหนดว่า 4 ปัจจัยข้างต้นจะเป็นไปในทิศทางใดนั้นคือ “จีน” สหรัฐฯ จึงต้องการให้จีนปรับค่าเงินหยวน แม้ว่าการแข็งค่าเงินหยวนจะไม่สามารถแก้ปัญหาการขาดดุลการค้าและปัญหาการว่างงานของสหรัฐฯ ได้แต่สหรัฐฯ ก็จะได้ประโยชน์ คือ สามารถตัดแรงแข่งขันของสินค้าจีนเพื่อป้องกันไม่ให้สินค้าจีนครองตลาดสหรัฐฯ มากเกินไปเพื่อรักษาเสถียรภาพความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศและรักษาระบบการแข่งขันเสรีไว้ นอกจากนี้ยังเป็นการกันสินค้าจีนออกจากตลาดภายในประเทศ เพื่อเปิดทางให้กับหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ที่จะเข้ามาแทนที่ เช่น เม็กซิโก เวียดนาม อินเดีย หรือโดมินิกัน เพื่อที่สหรัฐฯ จะใช้ตลาดภายในประเทศแลกเปลี่ยนกับการสนับสนุนทางยุทธศาสตร์ของประเทศเหล่านี้ ภายหลังจากที่ไทยประสบเหตุการณ์สึนามิ เมื่อเดือนธันวาคม 2547 สหรัฐฯ และหลายประเทศได้ประกาศให้ความช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษ โดยการให้สิทธิ์พิเศษทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) ไทยได้ขอให้สหรัฐฯ คืนจีเอสพี ให้กับสินค้ากุ้งไทย ในขณะที่คณะกรรมาธิการด้านการค้าระหว่างประเทศสหรัฐฯ (ไอซีที) ได้ประกาศให้สินค้ากุ้ง กุ้งแช่แข็งและกุ้งน้ำอุ่นบรรจุกระป๋องที่นำเข้าจากประเทศไทยเป็นหนึ่งใน 6 ชาติ (ไทย จีน เวียดนามอินเดีย บราซิล และเอกวาดอร์) ที่สหรัฐฯ กล่าวหาว่าไทยทุ่มตลาดสินค้ากุ้ง ก่อให้เกิดความเสียหายต่อราคากุ้งในสหรัฐฯ และได้เก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดโดยกุ้งจาก 6 ประเทศดังกล่าว ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 70% ของการนำเข้ากุ้งในสหรัฐฯ อย่างไรก็ตามสหรัฐฯ ได้เลื่อนการให้จีเอสพี กุ้งไทยไปถึงวันที่ 1 มกราคม 2549 ทำให้กุ้งไทยค้างการส่งออกถึงประมาณ 30 ล้านกิโลกรัมหรือคิดเป็นมูลค่าถึง 2 หมื่นกว่าล้านบาท ซึ่งภาครัฐบาลไทยได้เตรียมมาตรการแก้ไข เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรและแก้ไขทั้งระบบ เช่น การประกันราคาผลผลิตกุ้งของเกษตรกรและการหาตลาดใหม่มาชดเชยตลาดสหรัฐฯ ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2548 สินค้าเฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วนจากประเทศไทย เป็นสินค้าที่ยังมี การรุกตลาดสหรัฐฯ ไม่ได้ผลเท่าที่ควรแม้นสินค้าไทยจะมีศักยภาพการแข่งขันที่ดีระดับหนึ่ง ในขณะที่ประเทศเวียดนามมีศักยภาพการแข่งขันปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีความได้เปรียบไทยในด้าน ต้นทุนค่าแรงที่ต่ำมากประกอบกับมีการพัฒนาฝีมือแรงงานที่ค่อนข้างรวดเร็ว รวมถึงการรับเทคโนโลยีการผลิตจากนักลงทุนต่างชาติ อาทิ ไต้หวัน สิงคโปร์ และสหรัฐฯ ที่เข้าไปลงทุน ในขณะที่คู่แข่งรายอื่น ที่มีศักยภาพในการแข่งขันสูงกว่าไทย เช่น จีน และอินโดนีเซีย ก็มีขีดความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้นโดยต่อเนื่องเช่นกัน และอาจส่งผลกระทบแก่ตลาดเฟอร์นิเจอร์ของไทยในสหรัฐฯ ผู้ประกอบการไทยจึงต้องเร่งปรับตัวเพื่อรักษาและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน เพื่อรุกตลาดสินค้าเฟอร์นิเจอร์ในสหรัฐฯ อย่างจริงจังและรวดเร็ว สำนักงานอาหารและยาของสหรัฐฯ หรือ FDA (Food and Drug Administration) ได้สั่งเรียกเก็บขนมขบเคี้ยวยี่ห้อหนึ่งจากประเทศจีน เนื่องจากมีส่วนผสมของถั่วลิสงและไม่มีการแจ้งไว้ในสลากสินค้า เนื่องจากปัจจุบันคนอเมริกันเป็นโรคภูมิแพ้ถั่วลิสงกว่า 5 ล้านคน ซึ่งถั่วลิสงจะสามารถเป็นอันตราต่อระบบทางเดินหายใจของบุคคลเหล่านี้ ซึ่งอาจส่งผลให้เสียชีวิตได้ ด้วยเหตุนี้ผู้ผลิต/ส่งออกอาหารไทยไปสหรัฐฯ จะต้องให้ความใส่ใจและปฏิบัติตามระเบียบของ FDA สหรัฐฯ ในเรื่องการแจ้งส่วนผสมของอาหารลงในฉลากสินค้าอย่างเคร่งครัด นอกจากถั่วลิสงแล้ว ส่วนผสมอาหารชนิดอื่นที่ควรพิจารณาแจ้งเตือนให้ผู้บริโภคทราบได้แก่ สีอาหาร เครื่องเทศบางชนิด พริกป่น ผงชูรส น้ำมันถั่ว และ Acrylamide เป็นต้น สหรัฐฯ ได้ประกาศกฎหมายบังคับการตรวจสอบบรรจุภัณฑ์ไม้นำเข้าจากต่างประเทศทุกชนิดทั้งที่เป็นตัวสินค้าบรรจุภัณฑ์ เช่น แท่นไม้วางสินค้า ลังไม้ กล่องไม้ ถังไม้ บรรจุภัณฑ์ที่บรรจุสินค้าส่งออก เป็นต้น โดยสินค้าดังกล่าวจะต้องได้รับการอบความร้อนหรือรมควันด้วยสารเคมีและประทับตรา WPM(Wood Packaging Material) รับรองมาตรฐานโดยหน่วยงานที่ได้รับการมอบหมายในการตรวจสอบของประเทศส่งออก ก่อนนำเข้าไปยังสหรัฐฯ ซึ่งกฎหมายนี้มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2548 เป็นต้นไป ทั้งนี้บรรจุภัณฑ์ไม้ที่ไม่มีตราประทับจะไม่ได้รับอนุญาตให้นำเข้าประเทศสหรัฐฯ โดยเด็ดขาดทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันแมลงไม่ให้เข้าไปในประเทศสหรัฐฯ ที่มา: http://www.depthai.go.th

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ