1. ญี่ปุ่นเป็นตลาดนำเข้าสำคัญอันดับ 4 ของโลก รองจาก สหรัฐฯ เยอรมนี จีน โดยมีมูลค่าการนำเข้า 424,833,863,525 เหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.49 (ม.ค.-ต.ค. 2548) ปี 2548 2. แหล่งนำเข้าสำคัญของญี่ปุ่น ในเดือนมกราคม — พฤศจิกายน 2548 - จีน มูลค่า 85,600.568 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วนร้อยละ 21.11 เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.82 - สหรัฐฯ มูลค่า 58,519.677 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วนร้อยละ 12.46 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.68 - ซาอุดิฯ มูลค่า 25,605.329 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วนร้อยละ 5.45 เพิ่มขึ้นร้อยละ 56.69 - สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มูลค่า 22,423.124 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วนร้อยละ 4.77 เพิ่มขึ้นร้อยละ 35.40 ไทยอยู่อันดับที่ 10 มูลค่า 14,319.302 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วนร้อยละ 3.05 เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.123. ดุลการค้า ประเทศญี่ปุ่นได้เปรียบดุลการค้าในเดือนมกราคม — พฤศจิกายน 2548 เป็นมูลค่า 72,069.122 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 27.65 ดังตัวอย่างสถิติต่อไปนี้ตารางเปรียบเทียบดุลการค้าของประเทศญี่ปุ่นเดือนมกราคม — พฤศจิกายน 2548ลำดับที่ ประเทศ 2546 2547 2548 อัตราการเปลี่ยนแปลง(%) มูลค่า: ล้านเหรียญ สหรัฐ 47/46 48/47 ทั่วโลก 78,139.46 99,613.69 72,069.12 27.48 -27.65 1 สหรัฐฯ 51,796.30 58,145.78 63,648.06 12.26 9.46 2 ฮ่องกง 25,705.16 30,760.04 31,332.27 19.66 1.86 3 จีน -17,061.10 -18,604.25 -26,889.63 9.04 44.53 4 ไต้หวัน 14,873.40 22,757.33 23,384.98 53.01 2.76 5 ซาอุดิอาระเบีย -9,847.50 -13,014.98 -21,822.46 32.17 67.67 16 ไทย 3,686.64 5,510.80 6,261.71 49.48 13.63ที่มา : WTA Japan Customs ญี่ปุ่นเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับ 2 ของไทยโดยมีสัดส่วนการส่งออกไปตลาดนี้ร้อยละ 13.77 ของมูลค่าการส่งออกโดยรวมในเดือนมกราคม - พฤศจิกายน 2548 การส่งออกสินค้าไทยไปญี่ปุ่นในเดือน มกราคม - พฤศจิกายน 2548 มีมูลค่า 13,965.30 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.21 หรือคิดเป็นร้อยละ 85.92 ของเป้าหมายการส่งออกที่มูลค่า 16,252 ล้านเหรียญสหรัฐฯ5. สินค้าไทยส่งออกไปญี่ปุ่นในเดือนมกราคม — พฤศจิกายน 2548 25 อันดับแรกมีสัดส่วนรวมกันร้อยละ 62.34 ของมูลค่าการส่งออกโดยรวมไปตลาดนี้ สินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นมากกว่า ร้อยละ 90 มี 1 รายการ สินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 50 มี 1 รายการ และสินค้าที่มีมูลค่าลดลงมากกว่าร้อยละ 20 มี 1 รายการ ดังสถิติต่อไปนี้ สถิติการส่งออกสินค้าไทยไปญี่ปุ่นที่มีมูลค่าการเปลี่ยนแปลงสูง อันดับที่ มูลค่า : ล้านเหรียญสหรัฐ มูลค่า % สัดส่วน : ร้อยละ2548 ตลาด ม.ค.-พ.ย 47 ม.ค.-พ.ย 48 เปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลง 2547 ม.ค.-พ.ย 1. สินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกไปญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น มากกว่าร้อยละ 90 มี 1 รายการ - เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ 13 148.12 290.79 142.67 96.32 1.19 2.08 2. สินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกไปญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น มากกว่าร้อยละ 50 มี 1 รายการ - เม็ดพลาสติก 22 107.92 203.24 95.32 88.33 0.93 1.46 3. สินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกไปญี่ปุ่นลดลง มากกว่าร้อยละ 20 มี 1 รายการ - อุปกรณ์กึ่งตัวนำทรานซิสเตอร์และไดโอด 7 453.84 318.05 -135.79 -29.92 3.58 2.28 รวบรวมโดย : ศูนย์สารสนเทศการค้าระหว่างประเทศจากสถิติการส่งออกดังกล่าวมีข้อสังเกต ดังนี้ 1) เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ (HS 8415) Air Conditioning - การนำเข้าของญี่ปุ่น (ม.ค-พ.ย 48) มูลค่า 1,274.776 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 29.74 มีการนำเข้าจาก จีน ไทย สหรัฐฯ เป็นหลัก - การนำเข้าจากไทยอยู่อันดับที่ 2 สัดส่วนร้อยละ 23.87 มูลค่า 304.339 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 65.90 2) เม็ดพลาสติก (HS. 3901) Ethylene, Primary Form - การนำเข้าของญี่ปุ่น (ม.ค-พ.ย 48) มูลค่า 277.591 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 34.16 มีการนำเข้าจาก สหรัฐฯ ซาอุดิอาระเบีย ไทย เป็นหลัก - การนำเข้าจากไทยอยู่อันดับที่ 3 สัดส่วนร้อยละ 15.74 มูลค่า 43.693 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 107.88 3) อุปกรณ์กึ่งตัวนำทรานซิสเตอร์และไดโอด (HS. 8541) Semi Con DV ; L — EMT Diod - การนำเข้าของญี่ปุ่น (ม.ค-พ.ย 48) มูลค่า 2,305.378 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.66 มีการนำเข้าจาก จีน มาเลเซีย สหรัฐฯ เป็นหลัก - การนำเข้าจากไทยอยู่อันดับที่ 5 สัดส่วนร้อยละ 10.13 มูลค่า 233.412 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 2.89 6. ข้อมูลเพิ่มเติมและข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการค้าระหว่างไทย — ญี่ปุ่น บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำ สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) ยืนยันอันดับความน่าเชื่อถือของญี่ปุ่นอยู่ที่ AA พร้อมแนวโน้มคงที่ ซึ่งหมายความว่าการจัดอันดับครั้งต่อไปอาจเป็นการปรับขึ้นหรือปรับลด โดยระบุว่าญี่ปุ่นต้องดำเนินการมากขึ้นเพื่อลดภาระหนี้สินก้อนโต และปรับปรุงการอุดหนุนเงินทุนสาธารณะ ผู้ว่าการธนาคารญี่ปุ่น (บีโอเจ) ให้ความเห็นว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ได้หลุดพ้นจากภาวะซบเซาและอยู่ระหว่างการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยยอดการส่งออกปรับตัวดีขึ้น การลงทุนด้านทุนขยายตัว และการใช้จ่ายของผู้บริโภคอยู่ในระดับที่มั่นคง อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจญี่ปุ่นก็ยังคงมีความเสี่ยงเช่นเดียวกับเศรษฐกิจโลก เนื่องจากภาวะน้ำมันราคาแพง ในการประชุมครั้งที่ 31 ของนักธุรกิจชั้นนำจากญี่ปุ่นและอาเซียน (ASEAN-Japan Business Meeting — AJBM) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23-25 พฤศจิกายน 2548 โดยประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ซึ่งผู้แทนจากทั้งสองฝ่ายได้ประกาศชัดว่า นักธุรกิจญี่ปุ่นพร้อมจะกลับเข้ามาลงทุนในอาเซียนอีกครั้ง ทั้งนี้ประธานกุมนักธุรกิจญี่ปุ่น นายคาคูทาโร่ คิตาชิโร ได้ยืนยันระหว่างการแถลงข่าวว่า ถึงเวลาแล้วที่บริษัทญี่ปุ่นควรจะขยายการลงทุนที่จะเน้นด้านเทคโนโลยี การวิจัย การพัฒนาและการบริการในภูมิภาค อาเซียน ซึ่งมีผลจากปัจจัยความพร้อมที่เพิ่มขึ้นของอาเซียน ในเรื่องของตลาดเงิน ตลาดทุน และการมีธรรมาภิบาลที่ดีในการประกอบกิจการ ตลอดจนความโปร่งของข้อมูลธุรกิจ การปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา และการมีความรับผิดชอบต่อสังคมและส่วนรวม ประกอบกับญี่ปุ่นเล็งเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอย่างน้อย 3 ประการที่เกิดขึ้นในจีน คือ - ค่าจ้างแรงงานที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะเมืองริมฝั่งทะเล - ค่าเงินที่แข็งขึ้น ส่งผลให้การผลิตในจีนแพงขึ้น - ค่าสาธารณูปโภคที่สูงขึ้น เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ญี่ปุ่นต้องหันกลับมาพิจารณาเรื่องแหล่งลงทุน เพื่อกระจายความเสี่ยงในการลงทุน ภายในปี 2553 ญี่ปุ่นตั้งเป้าหมายทำข้อตกลงความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจกับจีน เกาหลีใต้ และอาเซียน ซึ่งจะเป็นกลยุทธ์หนึ่งในการส่งเสริมการรวมตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาค และสร้างประชาคมเอเซียตะวันออก โดยในช่วง 5 ปีนี้ญี่ปุ่นจะสนับสนุนเพื่อนบ้านเอเซีย ในการจัดทำระบบและกฎระเบียบ ให้คลายคลึงกับของตนเองทั้งด้านบัญชีภาคธุรกิจ เทคโนโลยีสารสนเทศ การประหยัดพลังงาน การรีไซเคิล รวมถึงเรื่องการฝึกหัดวิศวกรเทคโนโลยียานยนต์ ด้วยญี่ปุ่นหวังว่าความร่วมมือเหล่านี้จะสามารถช่วยให้ญี่ปุ่นลงนามเอฟทีเอกับประเทศคู่ค้าในภูมิภาคเดียวกันได้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายทนง พิทยะ เปิดเผยว่า ก่อนสิ้นปี 2549 กระทรวงการคลังจะเสนอเรื่องการลดภาษี 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ธุรกิจสิ่งพิมพ์ และภาษีตลาดทุน ให้แก่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณา เพื่อเพิ่มแรงจูงใจให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นนำกำไรมาขยายการลงทุนให้มากขึ้น เพื่อสอดรับกับนโยบายปรับโครงสร้างภาษีเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและสนับสนุนให้ไทยเป็นศูนย์กลางภูมิภาค ซึ่งในปี 2549 จะเป็นปีแห่งการปรับโครงสร้างภาษีทั้งระบบ เช่นการปรับโครงสร้างภาษีขาเข้า เพื่อสนับสนุนให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตอาหารแปรรูปในภูมิภาคเอเซีย หรือการเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์แห่งเอเซีย เป็นต้น นายทนง พิทยะ ให้เหตุผลถึงการหันกลับมาดูอุตสาหกรรมข้างต้นใหม่ภายหลังจากที่ไทยเสียความสามารถในการแข่งขันให้กับมาเลเซียไป โดยเชื่อมั่นว่าไทยมีค่าแรงที่ถูกและมีฝีมือกว่า ประกอบกับคนไทยมีความสามารถในการผลิตตู้เย็น แอร์คอนดิชั่น ฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ เครื่องใช้ไฟฟ้าหลายๆชนิด ซึ่งคาดว่าอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทยจะสามารถเติบโตได้อีก และในขณะนี้รัฐบาลอยู่ระหว่างการดำเนินการชักจูงนักลงทุนจากไต้หวัน ญี่ปุ่น ให้ย้ายฐานการผลิตมาไทยมากขึ้น รัฐบาลไทยให้ความเห็นว่าภายหลังการเจรจาเอฟทีเอระหว่างไทย-ญี่ปุ่น จะสามารถเพิ่มโอกาสการส่งออกสินค้าอาหารเกษตรได้มาก โดยคาดว่าไทยจะได้รับผลดีของการลดภาษีนำเข้าและสามารถส่งออกสินค้าอาหารเกษตรไปญี่ปุ่นได้เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 10-15 รวมถึงจะได้รับโอกาสจากการเปิดเสรีด้านการบริการ ร้านอาหาร บริการโรงแรม บริการจัดเลี้ยง ซึ่งจะส่งผลให้การส่งออกพ่อครัว แม่ครัวไทยไปญี่ปุ่นมีโอกาสมากขึ้น นอกจากนี้คาดว่าภายในปี 2551 จะสามารถขยายจำนวนร้านอาหารไทยในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นจาก 522 ร้านเป็น 1,000 ร้าน ในรูปแบบของร้านอาหาร แฟรนส์ไชส์ การนำเมนูไทยไปจำหน่ายผ่านเครือข่ายร้านอาหารญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังทำให้อาหารไทยชนิดต่างๆ หาซื้อได้ง่ายขึ้น โดยผ่านการพัฒนาช่องทางการจำหน่ายสินค้าอาหารไทย ทั้งนี้ในปัจจุบันการเจาะตลาดสินค้าอาหารในประเทศญี่ปุ่นถือเป็นเรื่องยากมาก เนื่องจากความซับซ้อนและ ยุ่งยากในเรื่อง กฎระเบียบ ภาษา คลังสินค้า รวมถึงเรื่องการถูกจำกัดโควต้าต่างๆ ทั้งนี้นายโตซิอากิ มิยาจิมา ผู้แทนจากบริษัทที่เชี่ยวชาญด้านการจัดงานแสดงสินค้าและเป็นดำเนินการจัดงาน Super Showcase 2006 ให้ความเห็นว่ามีผู้ผลิตกว่าร้อยละ 70 ที่ต้องการเข้าไปค้าขายกับบริษัทค้าปลีกในประเทศญี่ปุ่น แต่มีเพียงผู้ผลิต 20-30% เท่านั้นที่สามารถเข้าไปค้าขายได้จริง นอกนั้นทำได้เพียงส่งตัวอย่างสินค้าเข้าไป ซึ่งขณะนี้ตลาดค้าปลีกในญี่ปุ่น (1,600 บริษัท โดยมีบริษัทเซเว่น โฮลดิ้ง เป็นผู้ค้าปลีกรายใหญ่ที่มีช่องทางสินค้าอยู่ในตลาดทุกระดับ) มีการแข่งขันกันสูงมาก โดยส่วนใหญ่ ใช้วิธีการลดราคาเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้บริโภค ในขณะที่ผู้ค้ามีกำไรน้อยลงมาก ด้วยเหตุนี้บริษัทญี่ปุ่นจึงต้องการสินค้าจากต่างประเทศเข้าไปจำหน่ายในร้านค้าให้มากขึ้น เนื่องจากสินค้าดังกล่าวจะมีส่วนต่างของราคามากกว่าสินค้าแบรนด์ดังที่ผลิตในญี่ปุ่น ซึ่งจะส่งผลให้มีกำไรมากกว่า สำหรับสินค้านำเข้าจากประเทศไทยที่ผู้ค้าปลีกในญี่ปุ่นต้องการมากที่สุดขณะนี้ ได้แก่ หน่อไม้ฝรั่ง เนื่องจากเป็นสินค้าที่ผู้บริโภคนิยมรับประทานมากและภายในประเทศสามารถผลิตได้เพียง 40% เท่านั้น อย่างไรก็ตามสาเหตุที่สินค้าอาหารไทยไม่ได้รับความนิยมนำไปวางขายใน คอนวีเนี่ยนสโตร์ที่ญี่ปุ่นนั้น เนื่องจากสินค้าจากไทยส่วนใหญ่เป็นของสดที่มิได้บรรจุในบรรจุภัณฑ์ ในขณะที่ผู้ซื้อในร้านสะดวกซื้อไม่ต้องการใช้เวลามากในการเลือกซื้อสินค้าและต้องการสินค้าแปรรูป ที่ใส่บรรจุภัณฑ์แบบกระป๋องมากกว่า จึงเป็นเรื่องยากที่ผู้ซื้อจะให้ความ สนใจในสินค้าลักษณะดังกล่าว ดังนั้นลู่ทางสำหรับสินค้าไทย ผู้ประกอบการจะต้องให้ความสำคัญกับบรรจุภัณฑ์ที่มีความประณีต กะทัดรัด เรียบง่าย สวยงาม มีสไตล์ มีแนวคิดใหม่ๆ ใช้งานได้จริง สามรถช่วยลดความตึงเครียดและคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม เนื่องจากคนญี่ปุ่นเป็นคนที่สนใจในเรื่องแฟชั่น ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและรักษาสุขภาพรวมถึงเรื่องการลดความเครียด ที่มา: http://www.depthai.go.th