คำตอบ : พัฒนาการทางเศรษฐกิจของจีนที่เป็นไปอย่างก้าวกระโดด ขณะที่โครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะระบบขนส่งภายในประเทศไม่สามารถขยายตัวได้ทัน ประกอบกับจีนเป็นประเทศขนาดใหญ่ มีลักษณะภูมิประเทศที่หลากหลาย ซับซ้อน และขาดการจัดการระบบขนส่งที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้จีนต้องเผชิญกับปัญหาต้นทุนค่าขนส่งภายในประเทศอยู่ในระดับสูง รัฐบาลจีนตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว จึงทุ่มเงินลงทุนจำนวนมหาศาลเพื่อใช้ในการพัฒนาระบบขนส่ง เมื่อผนวกกับจีนกำลังดำเนินนโยบายอย่างจริงจังในการพัฒนาพื้นที่ ภาคตะวันตกของประเทศ ซึ่งเป็นภูมิภาคที่ค่อนข้างล้าหลังเมื่อเทียบกับภาคอื่น ๆ นับว่ามีส่วนช่วยเสริมและกระตุ้นให้เกิดการลงทุนเพื่อพัฒนาระบบขนส่งให้มีความทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ โครงการพัฒนาระบบขนส่งของจีนจำแนกตามช่องทางการขนส่ง มีรายละเอียด ดังนี้
ทางบก ปัจจุบันจีนพัฒนาเทคโนโลยีการสร้างถนนได้ทัดเทียมกับสหรัฐอเมริกาและเยอรมนี ทำให้มีระบบก่อสร้างที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ รัฐบาลจีนตั้งเป้าหมายในการขยายเครือข่ายถนนให้ครอบคลุม ทั่วประเทศ โดยมีโครงการที่สำคัญ อาทิ โครงการสร้างทางหลวง (Highway) กว่า 15,000 โครงการ รวมระยะทาง162,000 กิโลเมตร มูลค่าเงินลงทุน 13,687 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และโครงการสร้างทางด่วน (Express Way) เริ่มต้นในช่วงปลายปี 2547 ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 30 ปี รวมระยะทาง 85,000 กิโลเมตร มูลค่าเงินลงทุน 242,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ โครงการก่อสร้างส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันตกซึ่งรัฐบาลจีนมุ่งเน้นกระจาย ความเจริญให้เข้าถึงมากที่สุด ขณะเดียวกัน รัฐบาลจีนยังมีโครงการก่อสร้างเครือข่ายทางหลวงขนาดใหญ่ (Major Highway Networks) เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเป็นเส้นทางสายไหมแห่งใหม่ (The New Silk Road)บริเวณเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ (Xinjiang Uygur) มูลค่าเงินลงทุนราว 24,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากแผนงานและโครงการลงทุนทั้งหมดดังกล่าว ส่งผลให้ในปี 2547 จีนมีทางด่วนรวมระยะทางทั้งสิ้น 34,200 กิโลเมตร มีความยาวเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา จึงเป็นที่คาดว่าในอนาคต ต้นทุนค่าขนส่งและกระจายสินค้าในจีนจะลดลง เนื่องจากมีเส้นทางคมนาคมที่สะดวกและเอื้อต่อการขนส่ง
ทางน้ำ การค้าระหว่างประเทศของจีนที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้จีนประสบปัญหาขาดแคลนท่าเรือ เนื่องจากท่าเรือที่มีอยู่เดิมเริ่มแออัด ทำให้เกิดความล่าช้าในการขนส่ง รัฐบาลจีนจึงพยายามปรับปรุงระบบขนส่งทางน้ำและเครื่องมือต่าง ๆ ให้สามารถรองรับจำนวนเรือที่เพิ่มขึ้น พร้อมทั้งมุ่งให้ความสำคัญกับการกระจายสินค้าเข้าสู่ภาคตะวันตกของประเทศให้สะดวกยิ่งขึ้น เพื่อบรรเทาปัญหาการที่ภาคตะวันตกมีเส้นทางขนส่งเข้าถึงค่อนข้างน้อย โครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคเพื่อรองรับระบบขนส่งทางน้ำที่สำคัญ ได้แก่ โครงการก่อสร้าง เขื่อนสามโตรก (The Three Gorges Dam) นับเป็นโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของจีนรองจากการก่อสร้างกำแพงเมืองจีน มีมูลค่าเงินลงทุนราว 24,650 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กำหนดแล้วเสร็จในปี 2552 เขื่อนดังกล่าว จะช่วยควบคุมปริมาณน้ำซึ่งทำให้เรือเดินสมุทรขนาด 10,000 ตัน สามารถล่องตามแม่น้ำแยงซีเกียงซึ่งมีปากแม่น้ำอยู่บริเวณมหานครเซี่ยงไฮ้ (Shanghai) ทางภาคตะวันออกของประเทศ เข้าถึงมหานครฉงชิ่ง (Chongqing) ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ อันจะส่งผลดีต่อการขนส่งสินค้าทางน้ำโดยรวม ขณะเดียวกันยังมีส่วนช่วยกระจายสินค้าเข้าสู่ภาคตะวันตกของจีนได้อีกทางหนึ่ง นอกจากนี้ ยังมีโครงการสร้างท่าเรือขนาดใหญ่อีกหลายแห่งในเมืองท่าสำคัญ เพื่อรองรับการขนส่งสินค้า ถ่านหินและน้ำมัน ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นมาก
ทางอากาศ ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การจราจรทางอากาศของจีนมีอัตราขยายตัวสูงที่สุด ของโลก ทั้งในด้านเส้นทางการบิน จำนวนผู้โดยสาร และการขนส่งสินค้า ทั้งนี้ The International Air Transport Association (IATA) คาดว่าอัตราขยายตัวของการขนส่งผู้โดยสารของจีนเฉลี่ยในปี 2546-2550 จะสูงถึงร้อยละ 8.6 ต่อปี (มากกว่าค่าเฉลี่ยของโลกราว 3 เท่า) โดยมีแรงผลักดันจากการที่จีนเตรียมพร้อมในการเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิก ในปี 2551 และการจัดงาน World Expo ณ มหานครเซี่ยงไฮ้ ในปี 2553 ทำให้รัฐบาลจีนมีการลงทุนเพิ่มขึ้นในโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบขนส่งทางอากาศ ทั้งสนามบิน เครื่องบิน เทคโนโลยีการจัดการจราจรทางอากาศ และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ภาคตะวันตกของประเทศ ซึ่งคาดว่าภายในปี 2558 จะมีศูนย์กลางการบิน 5 แห่ง ได้แก่ มหานครฉงชิ่ง กุ้ยหลิน (Guilin) คุนหมิง (Kunming) หลานโจว (Lanzhou) และอุรุมชี (Urumqi) และมีสนามบินรวม 100 แห่ง ส่งผลให้ภายในปี 2558 จีนจะมีสนามบินทั่วทั้งประเทศรวม 260 แห่ง
--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย มกราคม 2549--
-พห-
ทางบก ปัจจุบันจีนพัฒนาเทคโนโลยีการสร้างถนนได้ทัดเทียมกับสหรัฐอเมริกาและเยอรมนี ทำให้มีระบบก่อสร้างที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ รัฐบาลจีนตั้งเป้าหมายในการขยายเครือข่ายถนนให้ครอบคลุม ทั่วประเทศ โดยมีโครงการที่สำคัญ อาทิ โครงการสร้างทางหลวง (Highway) กว่า 15,000 โครงการ รวมระยะทาง162,000 กิโลเมตร มูลค่าเงินลงทุน 13,687 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และโครงการสร้างทางด่วน (Express Way) เริ่มต้นในช่วงปลายปี 2547 ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 30 ปี รวมระยะทาง 85,000 กิโลเมตร มูลค่าเงินลงทุน 242,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ โครงการก่อสร้างส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันตกซึ่งรัฐบาลจีนมุ่งเน้นกระจาย ความเจริญให้เข้าถึงมากที่สุด ขณะเดียวกัน รัฐบาลจีนยังมีโครงการก่อสร้างเครือข่ายทางหลวงขนาดใหญ่ (Major Highway Networks) เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเป็นเส้นทางสายไหมแห่งใหม่ (The New Silk Road)บริเวณเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ (Xinjiang Uygur) มูลค่าเงินลงทุนราว 24,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากแผนงานและโครงการลงทุนทั้งหมดดังกล่าว ส่งผลให้ในปี 2547 จีนมีทางด่วนรวมระยะทางทั้งสิ้น 34,200 กิโลเมตร มีความยาวเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา จึงเป็นที่คาดว่าในอนาคต ต้นทุนค่าขนส่งและกระจายสินค้าในจีนจะลดลง เนื่องจากมีเส้นทางคมนาคมที่สะดวกและเอื้อต่อการขนส่ง
ทางน้ำ การค้าระหว่างประเทศของจีนที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้จีนประสบปัญหาขาดแคลนท่าเรือ เนื่องจากท่าเรือที่มีอยู่เดิมเริ่มแออัด ทำให้เกิดความล่าช้าในการขนส่ง รัฐบาลจีนจึงพยายามปรับปรุงระบบขนส่งทางน้ำและเครื่องมือต่าง ๆ ให้สามารถรองรับจำนวนเรือที่เพิ่มขึ้น พร้อมทั้งมุ่งให้ความสำคัญกับการกระจายสินค้าเข้าสู่ภาคตะวันตกของประเทศให้สะดวกยิ่งขึ้น เพื่อบรรเทาปัญหาการที่ภาคตะวันตกมีเส้นทางขนส่งเข้าถึงค่อนข้างน้อย โครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคเพื่อรองรับระบบขนส่งทางน้ำที่สำคัญ ได้แก่ โครงการก่อสร้าง เขื่อนสามโตรก (The Three Gorges Dam) นับเป็นโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของจีนรองจากการก่อสร้างกำแพงเมืองจีน มีมูลค่าเงินลงทุนราว 24,650 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กำหนดแล้วเสร็จในปี 2552 เขื่อนดังกล่าว จะช่วยควบคุมปริมาณน้ำซึ่งทำให้เรือเดินสมุทรขนาด 10,000 ตัน สามารถล่องตามแม่น้ำแยงซีเกียงซึ่งมีปากแม่น้ำอยู่บริเวณมหานครเซี่ยงไฮ้ (Shanghai) ทางภาคตะวันออกของประเทศ เข้าถึงมหานครฉงชิ่ง (Chongqing) ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ อันจะส่งผลดีต่อการขนส่งสินค้าทางน้ำโดยรวม ขณะเดียวกันยังมีส่วนช่วยกระจายสินค้าเข้าสู่ภาคตะวันตกของจีนได้อีกทางหนึ่ง นอกจากนี้ ยังมีโครงการสร้างท่าเรือขนาดใหญ่อีกหลายแห่งในเมืองท่าสำคัญ เพื่อรองรับการขนส่งสินค้า ถ่านหินและน้ำมัน ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นมาก
ทางอากาศ ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การจราจรทางอากาศของจีนมีอัตราขยายตัวสูงที่สุด ของโลก ทั้งในด้านเส้นทางการบิน จำนวนผู้โดยสาร และการขนส่งสินค้า ทั้งนี้ The International Air Transport Association (IATA) คาดว่าอัตราขยายตัวของการขนส่งผู้โดยสารของจีนเฉลี่ยในปี 2546-2550 จะสูงถึงร้อยละ 8.6 ต่อปี (มากกว่าค่าเฉลี่ยของโลกราว 3 เท่า) โดยมีแรงผลักดันจากการที่จีนเตรียมพร้อมในการเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิก ในปี 2551 และการจัดงาน World Expo ณ มหานครเซี่ยงไฮ้ ในปี 2553 ทำให้รัฐบาลจีนมีการลงทุนเพิ่มขึ้นในโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบขนส่งทางอากาศ ทั้งสนามบิน เครื่องบิน เทคโนโลยีการจัดการจราจรทางอากาศ และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ภาคตะวันตกของประเทศ ซึ่งคาดว่าภายในปี 2558 จะมีศูนย์กลางการบิน 5 แห่ง ได้แก่ มหานครฉงชิ่ง กุ้ยหลิน (Guilin) คุนหมิง (Kunming) หลานโจว (Lanzhou) และอุรุมชี (Urumqi) และมีสนามบินรวม 100 แห่ง ส่งผลให้ภายในปี 2558 จีนจะมีสนามบินทั่วทั้งประเทศรวม 260 แห่ง
--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย มกราคม 2549--
-พห-