กรุงเทพ--30 ต.ค.--กระทรวงการต่างประเทศ
การเยือนเวียดนามอย่างเป็นทางการครั้งนี้ เป็นไปตามคำเชิญของนายเหวียน เดิน ซุง นายกรัฐมนตรี ซึ่งตรงกับจังหวะสำคัญที่ทั้งสองประเทศกำลังฉลองครบรอบ 30 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน
ในการเยือนครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้พบปะหารือข้อราชการแบบเต็มคณะกับนายกรัฐมนตรีเวียดนาม และเข้าเยี่ยมคารวะผู้นำระดับสูงอื่น ๆ ได้แก่ นายเหวียน มินห์ เจี๊ยต ประธานาธิบดีเวียดนาม และนายหน่ง ติ๊ก หมั่น เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ฯ ซึ่งการหารือเป็นไปอย่างใกล้ชิดและมีบรรยากาศฉันมิตรสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์และความร่วมมือที่ดำเนินมาเสมือนประเทศเพื่อนบ้านใกล้ชิด
การเยือนถือได้ว่าประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ กล่าวคือ
(1) แนะนำตัวและสร้างความสนิทสนมคุ้นเคยกับผู้นำชุดใหม่ของเวียดนามที่มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยสร้างความเชื่อมั่นระหว่างกันเพื่อปูทางการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้เจริญก้าวหน้าต่อไปด้วยดี บนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกัน ทั้งในกรอบทวิภาคีและพหุภาคี โดยเฉพาะในกรอบของอาเซียน GMS และ ACMECS
(2) ได้ชี้แจงและทำความเข้าใจกับผู้นำของเวียดนามเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศไทย ภารกิจและความจำเป็นของรัฐบาลในการสร้างความสมานฉันท์ภายในชาติ สร้างความเชื่อมั่นจากต่างประเทศ และการแก้ไขปัญหาภายในที่สำคัญและเร่งด่วนขณะนี้ ซึ่งฝ่ายเวียดนามได้แสดงความเข้าใจ
(3) เน้นย้ำความสำคัญที่ทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกันเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคีให้ก้าวหน้าและยั่งยืนต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนพื้นฐานของการส่งเสริมความสัมพันธ์และความเข้าใจกัน โดยเฉพาะในระหว่างประชาชนสองฝ่าย ผ่านโครงการความร่วมมือด้านสังคมและวัฒนธรรม การส่งเสริมการท่องเที่ยว การเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคม และการอำนวยความสะดวกด้านการสัญจรข้ามแดนและผ่านแดนให้แก่ประชาชนสองฝ่าย
(4) ได้ใช้โอกาสนี้ในการขอความร่วมมือจากทางการเวียดนามให้ช่วยสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชนไทยในเวียดนาม ด้วยการผ่อนคลายกฎระเบียบด้านธุรกิจต่าง ๆ รวมถึงการสร้างกลไกที่ช่วยสนับสนุนธุรกิจของภาคเอกชน อาทิ การระงับข้อพิพาททางธุรกิจ การจัดตั้งสถาบันการเงินฯลฯ
สำหรับประเด็นความร่วมมือต่าง ๆ ที่ได้มีการหารือกันในครั้งนี้ ที่สำคัญได้แก่
(1) ภาพรวมความสัมพันธ์
ทั้งสองประเทศพอใจสถานะความสัมพันธ์ทวิภาคี ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ดียิ่งโดยไม่มีอุปสรรคใด ๆ ที่สำคัญเฉพาะอย่างยิ่ง ได้มีการหารือแนวทางที่จะกระชับความร่วมมือทวิภาคีและพหุภาคีในกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะ ASEAN GMS และ ACMECS
ทั้งสองฝ่ายจะกระชับความร่วมมือและร่วมกันผลักดันโครงการ/กิจกรรมความร่วมมือที่ดำเนินอยู่ รวมทั้งแผนความร่วมมือที่มีอยู่แล้ว ทั้งในกรอบความมือทวิภาคีและพหุภาคี ให้รุดหน้าต่อไปและปรากฏผลเป็นรูปธรรม โดยเน้นให้มีการทำงานร่วมกันและการแปรแผนงานไปสู่การปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ
(2) ด้านเศรษฐกิจการค้าและการลงทุนทั้งสองประเทศเล็งเห็นร่วมกันว่า ยังมีลู่ทางส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างกันอีกมาก โดยด้านการค้าทั้งสองฝ่ายเห็นว่า มีความเป็นไปได้ที่จะกำหนดเป้าหมายที่จะเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันให้ได้ถึง 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในอนาคตอันใกล้
ด้านการลงทุน ผู้นำเวียดนามมีท่าทีชัดเจนว่าประสงค์จะเชิญชวนนักลงทุนไทยให้เข้ามาลงทุนในเวียดนามมากขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ไทยได้ขอให้เวียดนามพิจารณาให้การสนับสนุนนักธุรกิจไทยในหลายเรื่องได้แก่
(ก) ให้โอกาสบริษัท ปตท.สผ. ในการเข้ามาสำรวจและขุดเจาะก๊าซธรรมชาติชายฝั่งทะเลเวียดนาม ซึ่งเวียดนามสนองตอบด้วยดี
(ข) ขอให้เวียดนามผ่อนคลายกฎ ระเบียบด้านการลงทุนต่าง ๆ รวมทั้งเปิดโอกาสให้สถาบันการเงินไทยเข้ามาร่วมมือกับเวียดนามในการพัฒนาสถาบันการเงินในเวียดนามซึ่งเวียดนามยินดีร่วมมือ
(ค) พัฒนาเส้นทางเชื่อมโยงทางคมนาคมทางบกเพิ่มติม อาทิ เส้นทางถนนเชื่อมโยง กรุงเทพฯ-พนมเปญ-นครโฮจิมินห์ ซึ่งเวียดนามเห็นพ้องด้วย รวมทั้งแจ้งด้วยว่าได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเส้นทางรถไฟที่จะช่วยเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟสายอรัญประเทศ-ศรีโสภณ-พนมเปญ โดยจะก่อสร้างเส้นทางรถไฟเพื่อเชื่อมโยงจากพนมเปญ-นครโฮจิมินห์ด้วย
(ง) ขอให้เวียดนามพิจารณาจัดตั้งกลไกเพื่อไกล่เกลี่ยข้อพิพาทธุรกิจไทย-เวียดนาม ซึ่งเวียดนามเห็นพ้องด้วย
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5170 โทรสาร. 643-5169 E-mail : [email protected]จบ--
-พห-
การเยือนเวียดนามอย่างเป็นทางการครั้งนี้ เป็นไปตามคำเชิญของนายเหวียน เดิน ซุง นายกรัฐมนตรี ซึ่งตรงกับจังหวะสำคัญที่ทั้งสองประเทศกำลังฉลองครบรอบ 30 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน
ในการเยือนครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้พบปะหารือข้อราชการแบบเต็มคณะกับนายกรัฐมนตรีเวียดนาม และเข้าเยี่ยมคารวะผู้นำระดับสูงอื่น ๆ ได้แก่ นายเหวียน มินห์ เจี๊ยต ประธานาธิบดีเวียดนาม และนายหน่ง ติ๊ก หมั่น เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ฯ ซึ่งการหารือเป็นไปอย่างใกล้ชิดและมีบรรยากาศฉันมิตรสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์และความร่วมมือที่ดำเนินมาเสมือนประเทศเพื่อนบ้านใกล้ชิด
การเยือนถือได้ว่าประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ กล่าวคือ
(1) แนะนำตัวและสร้างความสนิทสนมคุ้นเคยกับผู้นำชุดใหม่ของเวียดนามที่มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยสร้างความเชื่อมั่นระหว่างกันเพื่อปูทางการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้เจริญก้าวหน้าต่อไปด้วยดี บนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกัน ทั้งในกรอบทวิภาคีและพหุภาคี โดยเฉพาะในกรอบของอาเซียน GMS และ ACMECS
(2) ได้ชี้แจงและทำความเข้าใจกับผู้นำของเวียดนามเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศไทย ภารกิจและความจำเป็นของรัฐบาลในการสร้างความสมานฉันท์ภายในชาติ สร้างความเชื่อมั่นจากต่างประเทศ และการแก้ไขปัญหาภายในที่สำคัญและเร่งด่วนขณะนี้ ซึ่งฝ่ายเวียดนามได้แสดงความเข้าใจ
(3) เน้นย้ำความสำคัญที่ทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกันเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคีให้ก้าวหน้าและยั่งยืนต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนพื้นฐานของการส่งเสริมความสัมพันธ์และความเข้าใจกัน โดยเฉพาะในระหว่างประชาชนสองฝ่าย ผ่านโครงการความร่วมมือด้านสังคมและวัฒนธรรม การส่งเสริมการท่องเที่ยว การเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคม และการอำนวยความสะดวกด้านการสัญจรข้ามแดนและผ่านแดนให้แก่ประชาชนสองฝ่าย
(4) ได้ใช้โอกาสนี้ในการขอความร่วมมือจากทางการเวียดนามให้ช่วยสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชนไทยในเวียดนาม ด้วยการผ่อนคลายกฎระเบียบด้านธุรกิจต่าง ๆ รวมถึงการสร้างกลไกที่ช่วยสนับสนุนธุรกิจของภาคเอกชน อาทิ การระงับข้อพิพาททางธุรกิจ การจัดตั้งสถาบันการเงินฯลฯ
สำหรับประเด็นความร่วมมือต่าง ๆ ที่ได้มีการหารือกันในครั้งนี้ ที่สำคัญได้แก่
(1) ภาพรวมความสัมพันธ์
ทั้งสองประเทศพอใจสถานะความสัมพันธ์ทวิภาคี ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ดียิ่งโดยไม่มีอุปสรรคใด ๆ ที่สำคัญเฉพาะอย่างยิ่ง ได้มีการหารือแนวทางที่จะกระชับความร่วมมือทวิภาคีและพหุภาคีในกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะ ASEAN GMS และ ACMECS
ทั้งสองฝ่ายจะกระชับความร่วมมือและร่วมกันผลักดันโครงการ/กิจกรรมความร่วมมือที่ดำเนินอยู่ รวมทั้งแผนความร่วมมือที่มีอยู่แล้ว ทั้งในกรอบความมือทวิภาคีและพหุภาคี ให้รุดหน้าต่อไปและปรากฏผลเป็นรูปธรรม โดยเน้นให้มีการทำงานร่วมกันและการแปรแผนงานไปสู่การปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ
(2) ด้านเศรษฐกิจการค้าและการลงทุนทั้งสองประเทศเล็งเห็นร่วมกันว่า ยังมีลู่ทางส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างกันอีกมาก โดยด้านการค้าทั้งสองฝ่ายเห็นว่า มีความเป็นไปได้ที่จะกำหนดเป้าหมายที่จะเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันให้ได้ถึง 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในอนาคตอันใกล้
ด้านการลงทุน ผู้นำเวียดนามมีท่าทีชัดเจนว่าประสงค์จะเชิญชวนนักลงทุนไทยให้เข้ามาลงทุนในเวียดนามมากขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ไทยได้ขอให้เวียดนามพิจารณาให้การสนับสนุนนักธุรกิจไทยในหลายเรื่องได้แก่
(ก) ให้โอกาสบริษัท ปตท.สผ. ในการเข้ามาสำรวจและขุดเจาะก๊าซธรรมชาติชายฝั่งทะเลเวียดนาม ซึ่งเวียดนามสนองตอบด้วยดี
(ข) ขอให้เวียดนามผ่อนคลายกฎ ระเบียบด้านการลงทุนต่าง ๆ รวมทั้งเปิดโอกาสให้สถาบันการเงินไทยเข้ามาร่วมมือกับเวียดนามในการพัฒนาสถาบันการเงินในเวียดนามซึ่งเวียดนามยินดีร่วมมือ
(ค) พัฒนาเส้นทางเชื่อมโยงทางคมนาคมทางบกเพิ่มติม อาทิ เส้นทางถนนเชื่อมโยง กรุงเทพฯ-พนมเปญ-นครโฮจิมินห์ ซึ่งเวียดนามเห็นพ้องด้วย รวมทั้งแจ้งด้วยว่าได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเส้นทางรถไฟที่จะช่วยเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟสายอรัญประเทศ-ศรีโสภณ-พนมเปญ โดยจะก่อสร้างเส้นทางรถไฟเพื่อเชื่อมโยงจากพนมเปญ-นครโฮจิมินห์ด้วย
(ง) ขอให้เวียดนามพิจารณาจัดตั้งกลไกเพื่อไกล่เกลี่ยข้อพิพาทธุรกิจไทย-เวียดนาม ซึ่งเวียดนามเห็นพ้องด้วย
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5170 โทรสาร. 643-5169 E-mail : [email protected]จบ--
-พห-