1. จีนเป็นตลาดนำเข้าสำคัญอันดับ 3 ของโลก รองจากสหรัฐฯ และเยอรมนี ในปี 2548 (ม.ค.-มิ.ย.) มูลค่าการนำเข้า302,594,176,142 เหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.21 2. การนำเข้าของจีนในเดือน ม.ค.-พ.ย 2548 มีมูลค่ารวม 595,825.743 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.263. แหล่งนำเข้าสำคัญของจีน ในเดือนมกราคม — พฤศจิกายน 2548 - ญี่ปุ่น มูลค่า 90,620.902 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วนร้อยละ 15.21 เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.05 - เกาหลีใต้ มูลค่า 69,736.121 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วนร้อยละ 11.70 เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.40 - ไต้หวัน มูลค่า 67,056.902 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วนร้อยละ 11.25 เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.98 - สหรัฐฯ มูลค่า 43,925.922 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วนร้อยละ 7.37 เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.16 ไทยอยู่อันดับที่ 11 มูลค่า 12,571.618 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วนร้อยละ 2.11 เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.254. เศรษฐกิจของจีนปี 2549 ทั้งปีคาดว่าจะขยายตัวประมาณร้อยละ 9.4 จาก 9.5% ในปี 25485. จีนได้เปรียบดุลการค้ากับทั่วโลกในช่วง 11 เดือน (ม.ค.-พ.ย.) ปี 2548 มูลค่า 91,088.650 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 318.61 ได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐฯ เป็นอันดับ 1 มูลค่า 103,765.622 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ขาดดุลการค้ากับไต้หวันเป็นอันดับ 1 มูลค่า 52,101.469 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.30 สำหรับกับประเทศไทยจีนขาดดุลเป็นมูลค่า 5,521.137 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.91 6. จีนเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 3 ของไทย โดยมีสัดส่วนร้อยละ 8.17 ของมูลค่าการส่งออกช่วง ม.ค.-พ.ย. ปี 2548 หรือมูลค่า 8,284.86 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.61 ในช่วงระยะเดียวกันกับปี 25477. สินค้าไทยส่งออกไปจีน 25 อันดับแรก ม.ค.-พ.ย. ปี 2548 มีสัดส่วนรวมกันร้อยละ 87.63 ของมูลค่าการส่งออกไปจีนเพิ่มขึ้นร้อยละ 36.43 ในจำนวนนี้มีสินค้าส่งออกที่มีอัตราการส่งออกเพิ่มขึ้นสูง ดังนี้ - เพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 100 มี 1 รายการ คือ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ - เพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 50 มี 5 รายการ ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบแผงวงจรไฟฟ้า หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ มอเตอร์และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ทองแดงและของทำด้วยทองแดง - ลดลงมากกว่าร้อยละ 50 มี 1 รายการ ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูปสถิติการส่งออกสินค้าไทยไปจีนที่มีมูลค่าการเปลี่ยนแปลงสูง ตลาด อันดับที่ มูลค่า : ล้านเหรียญสหรัฐ มูลค่าการ % อัตราส่วน ร้อยละ2548 ม.ค.-พ.ย 47 ม.ค.-พ.ย 48 เปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลง 2547 ม.ค.-พ.ย 1. สินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกไปจีนเพิ่มขึ้น มากกว่าร้อยละ 100 มี 1 รายการ - เหล็ก เหล็กกล้า และผลิตภัณฑ์ 8 119.13 244.28 125.15 105.05 1.78 2.95 2. สินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกไปจีนเพิ่มขึ้น มากกว่าร้อยละ 50 มี 5 รายการ - เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ 1 1,337.93 2,224.77 886.84 66.28 21.30 26.85 - แผงวงจรไฟฟ้า 6 202.02 362.64 160.62 79.51 3.18 4.38 - หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ 12 79.02 130.68 51.66 66.37 1.27 1.58 - มอเตอร์และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า 16 57.47 91.77 34.30 59.67 0.90 1.11 - ทองแดงและของทำด้วยทองแดง 17 52.16 91.34 39.18 75.09 0.80 1.10 รวบรวมโดย : ศูนย์สารสนเทศการค้าระหว่างประเทศ 1) เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ (HS.72) การนำเข้าของจีน (ม.ค-พ.ย 48) มูลค่า 24,468.944 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.93 มีการนำเข้าจาก ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน เป็นหลักการนำเข้าจากไทยอยู่อันดับที่ 14 สัดส่วนร้อยละ 1.21 มูลค่า 296.902 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 67.93 2) เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ (HS.8471) การนำเข้าของจีน (ม.ค-พ.ย 48) มูลค่า 16,099.556 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.73 มีการนำเข้าจาก จีน ไทย ฟิลิปปินส์ เป็นหลักการนำเข้าจากไทยอยู่อันดับที่ 2 สัดส่วนร้อยละ 15.15 มูลค่า 2,438.308 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 63.15 3) แผงวงจรไฟฟ้า (HS.8542) การนำเข้าของจีน (ม.ค-พ.ย 48) มูลค่า 73,309.807 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 32.22 มีการนำเข้าจาก ไต้หวัน เกาหลีใต้ มาเลเซีย เป็นหลักการนำเข้าจากไทยอยู่อันดับที่ 9 สัดส่วนร้อยละ 2.19 มูลค่า 1,608.317 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 34.12 4) หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ (HS.8504) การนำเข้าของจีน (ม.ค-พ.ย 48) มูลค่า 4,633.231 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.15 มีการนำเข้าจาก ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ เป็นหลักการนำเข้าจากไทยอยู่อันดับที่ 7 สัดส่วนร้อยละ 3.23 มูลค่า 149.641 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 47.53 5) มอเตอร์และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (HS.8501) การนำเข้าของจีน (ม.ค-พ.ย 48) มูลค่า 2,061.029 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.27 มีการนำเข้าจาก จีน ญี่ปุ่น เยอรมนี เป็นหลักการนำเข้าจากไทยอยู่อันดับที่ 4 สัดส่วนร้อยละ 6.90 มูลค่า 142.299 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.72 6) ทองแดงและของที่ทำด้วยทองแดง (HS.74) การนำเข้าของจีน (ม.ค-พ.ย 48) มูลค่า 11,818.790 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.48 มีการนำเข้าจาก ชิลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน เป็นหลักการนำเข้าจากไทยอยู่อันดับที่ 31 สัดส่วนร้อยละ 0.28 มูลค่า 32.679 ล้านเหรียญสหรัฐฯเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.628. ผลไม้ไทยในประเทศจีน ไทยได้มีข้อตกลงเขตการค้าเสรีสินค้าผักผลไม้กับจีน ซึ่งมีผลตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2546 จากข้อมูลสถิติการนำเข้าผลไม้จากตลาดโลกในจีนระหว่างเดือน มกราคม - พฤศจิกายน 2548 มีการนำเข้าจากตลาดโลกมูลค่า 593.436 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.69 มีการนำเข้าจากไทยเป็นอันดับหนึ่ง สัดส่วนร้อยละ 28.65 มูลค่า 169.997 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.89 รองลงไปเป็นการนำเข้าจากสหรัฐฯ ฟิลิปปินส์ ชิลี เวียดนาม และนิวซีแลนด์ผลไม้ที่จีนนำเข้าจากไทยได้แก่ ลำใยสด ทุเรียน มังคุด ลำใยแห้ง ลิ้นจี่ กล้วย เงาะ และอื่นๆ การแข่งขัน การส่งออกผลไม้ไทยไปจีนขณะนี้ยังมีคู่แข่งที่ค่อนข้างน้อย แต่ยังไม่ควรวางใจเนื่องจากขณะนี้เวียดนามกำลังขยายการส่งออกลำใยสดไปจีนเพิ่มขึ้นในอัตราสูงกว่าร้อยละ 40 แม้จะมีสัดส่วยที่น้อยกว่าไทยมาก ส่วนเงาะไทยต้องแข่งขันกับเวียดนาม สำหรับทุเรียน มังคุด และลิ้นจี่ไทยสามารถครองตลาดนำเข้าของจีนเป็นอันดับหนึ่ง9. ไทยนำเข้าสินค้าจากประเทศจีน ในช่วงม.ค-พ.ย 2548 มูลค่า 408,239.10 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 35.05 โดยเป็นสินค้าทุนร้อยละ 44.33 รองลงมาเป็นสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปร้อยละ 41.31 สินค้าบริโภคร้อยละ 12.79 สินค้าเชื้อเพลิง สินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่งและสินค้าอื่นๆ รวมกันอีกร้อยละ 1.00 10.การค้าระหว่างประเทศไทยกับจีนช่วง ม.ค.-พ.ย 2548 มีมูลค่า 18,457.94 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นการส่งออก 8,284.86 ล้านเหรียญสหรัฐ การนำเข้า 10,173.08 ล้านเหรียญสหรัฐ ไทยเสียเปรียบดุลการค้ากับจีนเป็นมูลค่า 1,888.23 ล้านเหรียญสหรัฐข้อมูลเพิ่มเติมและข้อคิดเห็น จีนเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก มีขนาดพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากรัสเซียและแคนาดา และมีผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) ที่วัดด้วยอำนาจซื้อ (Purchasing Power Parity: PPP) โตเป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐฯ และมีทุนสำรองต่างประเทศมากเป็นอันดับ 2 รองจากญี่ปุ่นทั้งนี้ศูนย์ข้อมูลแห่งชาติจีนได้เปิดเผยตัวเลขคาดการณ์ของแนวโน้มเศรษฐกิจจีนปี 2549 ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) จะขยายตัวในระดับ 8.3-9.3% ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วติดต่อกันในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และการเติบโตของจีนยังมีบทบาท ต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก รวมทั้งมีโอกาสที่จะแซงหน้ามหาอำนาจทั้งหลาย ตั้งแต่จีนปฏิรูปเศรษฐกิจและดำเนินนโยบายเปิดประเทศ จีนไม่เพียงเป็นประเทศส่งออกรายใหญ่ของโลก แต่ยังเป็นประเทศนำเข้าสินค้ารายใหญ่อีกด้วย การขยายตัวด้านการค้าต่างประเทศของจีนนอกจากจะเป็นประโยชน์กับจีนเองแล้ว ยังสร้างประโยชน์ให้กับประเทศคู่ค้าอีกด้วย โดย 70% ของสินค้าจีนที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และอียู เป็นสินค้าใช้แรงงานราคาถูก ขณะที่สินค้าที่จีนนำเข้าจากประเทศดังกล่าวเป็นสินค้าทุน เทคโนโลยีและการเรียนรู้ ด้วยเหตุนี้แผนพัฒนาเศรษฐกิจระยะ 5 ปี (2549-2553) ฉบับที่ 11 ของจีน รัฐบาลจีนน่าจะยังคงใช้มาตรการส่งเสริมการส่งออกและนำเข้า เพื่อรักษาการขยายตัวด้านการค้า รวมทั้งสนับสนุนภาคเอกชนหาซื้อแหล่งซัพพลายจากตลาดโลก พร้อมๆ กับหันมาใช้ ประโยชน์ด้านพลังงาน วัตถุดิบ สินค้าไฮเทค และอุปกรณ์ที่ทันสมัยมากขึ้นด้วย จีนให้ความสำคัญเรื่องความมั่นคงในด้านพลังงานมาก เนื่องจากจีนเป็นประเทศที่มีการใช้นำมันปริมาณมากในปี 2003 โดยเฉลี่ยบริโภคน้ำมันวันละ 6.5 ล้านบาร์เรล ซึ่งในจำนวนนี้ต้องซื้อจากต่างประเทศเฉลี่ยวันละ 2.9 ล้านบาร์เรล หรือคิดเป็น 44.6% ของปริมาณที่ใช้ ส่งผลให้จีนได้ทำการสำรวจแหล่งน้ำมันภายในประเทศและแสวงหาแหล่งน้ำมันจากต่างประเทศด้วย อาทิ การตกลงสร้างท่อน้ำมันและท่อก๊าซจากไซบีเรียไปยังบ่อน้ำมันต้าชิงในมณฑลเฮยหลวงเจียง การตกลงกับคาซัคสถาน เพื่อสร้างท่อน้ำมันยาวประมาณ 1,000 กิโลเมตร ที่ได้ทำพิธีเปิดใช้ไปแล้วเมื่อ 15 ธันวาคม 2005 และสร้างท่อส่งก๊าซจากคาซัคสถานถึงซินเจียง ซึ่งจะดำเนินการแล้วเสร็จในปี 2006 เป็นต้น ปี 2005 ที่ผ่านมาจีนได้ออกกฎหมาย “ต่อต้านการแยกดินแดน” (Anti Seccession Law) ซึ่งประกาศใช้เมื่อ 14 มีนาคม 2505 เพื่อป้องกันการแยกตัวเป็นเอกราชของไต้หวัน ทั้งนี้เหตุการณ์ดังกล่าวได้บ่งบอกว่าจีนได้ให้ความสำคัญในเรื่องการรักษาบูรณภาพแห่งดินแดนเป็นอย่างยิ่ง แม้ขนาดความโตจีดีพีจีนวัดโดยมูลค่า “ดอลลาร์สหรัฐ” จีนจะอยู่อันดับ 6 ของโลก รองจาก สหรัฐฯ อังกฤษ รัสเซีย ฝรั่งเศส และเยอรมนี และแซงหน้าญี่ปุ่น แคนาดา และรัสเซีย แต่เมื่อเฉลี่ยมูลค่าจีดีพีต่อหัวหรือ per capita income กลับอยู่ที่ 1,272 ดอลลาร์สหรัฐ เป็นอันดับที่ 107 ของโลก ความขัดแย้งของตัวเลขการเจริญเติบโตดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า จีนต้องเผชิญกับปัญหาความแตกต่างระหว่างคนรวยและคนจน โดยคนที่จนที่สุดของจีน 60 ล้านคนมีรายได้ต่อปีต่ำกว่า 865 หยวนซึ่งต่ำกว่าระดับความจนของธนาคารโลกที่ระบุว่า อันดับจนสุดคือมีรายได้วันละ 1 ดอลลาร์ นอกจากนี้การที่คนในเมืองมีรายได้เพิ่มต่อปี 8.9%ในขณะที่คนชนบทเพิ่มเพียง 4.5% ก็จะยิ่งทำให้เกิดช่วงห่างของ รายได้มากยิ่งขึ้น สังคมของจีนในขณะนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ค่านิยมการบริโภคมาแรง โดยมีชุมชน “เศรษฐีใหม่” เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับคนว่างงานที่กลายเป็นปัญหาใหญ่สำหรับจีน บทความของอินเตอร์เนชั่นแนล เฮอรัล ทริบูนฉบับวันที่ 5 มกราคม 2549 รายงานว่าขณะนี้นักเก็งกำไรส่วนต่างอัตราแลกเปลี่ยนที่เข้าไปลงทุนในจีน ได้เริ่มดึงเงินลงทุนกลับอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีความเป็นไปได้สูงที่รัฐบาลจีนจะดำเนินนโยบายปล่อยให้ค่าเงินหยวนค่อยๆ แข็งค่าขึ้นอย่างช้าๆ ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากสกุลเงินหยวนเริ่มต่ำลง ยิ่งลอความต้องการของนักลงทุนเหล่านี้ลง ทั้งนี้ในช่วงที่ผ่านมา ธนาคารจีนได้พยายามที่จะรักษาเสถียรภาพของค่าเงินหยวนเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ โดยเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2548 จีนได้ประกาศปรับค่าเงินหยวน 2.1% และหันมาใช้ระบบ ลอยตัวโดยอ้างอิงกับตะกร้าเงิน นับแต่นั้นมาค่าเงินหยวนแข็งค่าสะสมประมาณ 1% เท่านั้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งนักเก็งกำไรต่างก็ให้ความเห็นว่าน้อยเกินไป อย่างไรก็ตามธนาคารจีนได้ประกาศเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2549 ว่าจะรักษาอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนให้มีเสถียรภาพโดยพื้นฐานในระดับ สมดุลและปรับได้ ซึ่งการผันผวนของค่าเงินจะส่งผลทางลบกับเศรษฐกิจจีน และบ่อนทำลายผลประโยชน์ของประเทศ ที่มา: http://www.depthai.go.th