หนังสือ สิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์กระดาษ การส่งออกสินค้าหนังสือ สิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์กระดาษในเดือนมิถุนายน 2548 มีมูลค่า 24.08 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2548 ร้อยละ 62.37 และ คาดว่าในเดือนกรกฎาคม 2548 มีมูลค่าส่งออกประมาณ 26.00 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ภาพรวมการส่งออกหนังสือ สิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์กระดาษ การส่งออกสินค้าหนังสือ สิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์กระดาษในช่วงครึ่งปี 2548 (มกราคม-มิถุนายน 2548) มีมูลค่า 106.90 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 40.40 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2547 ตลาดส่งออกหลักของประเทศไทย คือ ไต้หวันและสหรัฐอเมริกา เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นตลาดสิ่งพิมพ์ที่มีกำลังซื้อ มีค่าแรงที่สูง และมีกำลังการผลิตด้านการพิมพ์ไม่เพียงพอ จึงได้ย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศซึ่งมีต้นทุนที่ต่ำกว่า ส่วนสินค้า บรรจุภัณฑ์กระดาษขยายตัวอย่างต่อเนื่องในตลาดไต้หวัน เพราะมีการออกกฎหมายที่เข้มงวดเรื่องการควบคุมสภาพแวดล้อมและมลพิษ ดังนั้นจึงหันมาเลือกใช้บรรจุภัณฑ์กระดาษแทนพลาสติกมากขึ้น ซึ่งสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม เป้าหมายการส่งออกปี 2548 : คาดว่าจะมีมูลค่า 193 ล้านเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้น ร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับปี 2547 กระดาษและเยื่อกระดาษ การส่งออกสินค้ากระดาษเดือนมิถุนายน 2548 มีมูลค่า 65.73 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงจากเดือนพฤษภาคม 2548 ร้อยละ 30.73 และคาดว่าในเดือนกรกฎาคม 2548 จะมีมูลค่าส่งออก 62.21 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตลาดส่งออกหลักของประเทศไทย คือ ประเทศมาเลเซีย เบลเยี่ยม และฮ่องกงที่มีการนำเข้ากระดาษและเยื่อกระดาษจากไทยย่างต่อเนื่อง ยอดส่งออกกระดาษของไทยลดลง เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวทั้งในประเทศและต่างประเทศ จากวิกฤตการนำมันที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังเรื่องการใช้จ่าย และประเทศจีนมีการนำเข้ากระดาษลดลงอย่างมาก ซึ่งแต่เดิมจีนเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ แต่ในปีที่ผ่านมามีการเร่งพัฒนาการผลิตในประเทศเพื่อทดแทนการนำเข้า โดยเชิญนักลงทุนต่างชาติเข้าไปตั้งโรงงานผลิตกระดาษและ เยื่อกระดาษในมณฑลใหญ่ๆ ทำให้ปีนี้เริ่มมีการผลิตและลดการนำเข้า ซึ่งจีนจะเปลี่ยนเป็นผู้ส่งออกเองในอนาคตอันใกล้นี้ภาพรวมการส่งออกกระดาษ การส่งออกสินค้ากระดาษ ในช่วงครึ่งปี 2548 มีมูลค่ารวม 415.78 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2547 ร้อยละ 14.66 เป้าหมายการส่งออก ปี 2548: คาดว่าจะมีมูลค่า 827 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับปี 2547 ที่มา: http://www.depthai.go.th