แท็ก
อินเดีย
คำตอบ อินเดียเป็นหนึ่งในตลาดที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสำคัญมากขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากมีปัจจัยดึงดูดหลายประการ ทั้งเรื่องเศรษฐกิจที่ขยายตัวในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งตลาดมีขนาดใหญ่โดยมีประชากรที่มีกำลังซื้อสูงถึง 300 ล้านคน (จากกว่า 1,000 ล้านคน) ประกอบกับแรงงานชาวอินเดียมีทักษะและสามารถใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารได้คล่องแคล่ว นอกจากนี้ รัฐบาลอินเดียยังเปิดเสรีด้านการลงทุนมากขึ้น ด้วยการอนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติสามารถถือหุ้นกิจการต่าง ๆ ได้ในสัดส่วนที่สูงขึ้น ดังนั้น อินเดียจึงเป็นตลาดที่นักลงทุนจากทุกมุมโลกต่างหมายปองที่จะเข้าไปลงทุน รวมถึงนักลงทุนจากประเทศไทย
สำหรับธุรกิจไทยที่น่าจะมีศักยภาพในอินเดีย อาทิ
1. ร้านอาหารไทย ปัจจุบันอาหารไทยได้รับความนิยมมากขึ้นในอินเดีย โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคชาวอินเดียที่มีรายได้ปานกลางถึงสูง ซึ่งเป็นกลุ่มที่เริ่มหันมาบริโภคอาหารต่างชาติมากขึ้นอย่างไรก็ตาม ร้านอาหารไทยในอินเดียยังมีจำนวนไม่มากนัก จึงมีโอกาสขยายตลาดในอินเดียได้อีกมาก โดยการลงทุนในธุรกิจร้านอาหารมีเงื่อนไขให้นักลงทุนต่างชาติต้องร่วมลงทุนกับนักลงทุนอินเดียในสัดส่วนไม่เกิน 49% ของทั้งหมด สำหรับเมืองที่เหมาะจะเข้าไปเปิดร้านอาหารไทย ได้แก่ กรุงนิวเดลี (เมืองหลวงของอินเดีย) มุมไบ (เมืองหลวงของรัฐมหาราษฏระ) กัลกัตตา (เมืองหลวงของรัฐเบงกอลตะวันตก) และเมืองบังคาลอร์ (เมืองหลวงของรัฐกรณาฏกะ) ซึ่งล้วนเป็นเมืองสำคัญทางธุรกิจของอินเดีย
ทั้งนี้ ชาวอินเดียนิยมรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของเครื่องเทศ และนิยมอาหารรสจัดชาวอินเดียที่นับถือศาสนาฮินดู (ราว 80% ของประชากรทั้งประเทศ) ไม่รับประทานเนื้อวัว เนื่องจากถือว่าวัวเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ รวมทั้งมีชาวอินเดียจำนวนมากที่ชื่นชอบการรับประทานอาหารมังสวิรัติ สำหรับอาหารไทยที่ชาวอินเดียนิยมรับประทาน อาทิ ผัดไทย แกงเขียวหวาน และต้มยำกุ้ง ฯลฯ
2. ธุรกิจสปาและผลิตภัณฑ์สปา แม้ธุรกิจความงามและสุขภาพในอินเดียจะมีขนาดค่อนข้างเล็กในปัจจุบัน แต่ก็มีอัตราการขยายตัวสูงถึง 15% ต่อปี เนื่องจากชาวอินเดียที่มีฐานะดีขึ้นเริ่มหันมาสนใจการบำรุงรักษาสุขภาพมากขึ้น ประกอบกับมีการส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในอินเดียมากขึ้น ทั้งนี้ ปัจจุบันการนวดแผนไทยเป็นที่รู้จักในอินเดีย และเปิดให้บริการในร้านสปาที่ตั้งอยู่ในโรงแรมระดับ 5 ดาว หลายแห่งในอินเดีย อาทิ ในเมืองชัยปุระ เมืองหลวงของรัฐราชสถาน และในเมืองบังคาลอร์ เป็นต้น นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์สปาของไทยก็เริ่มเป็นที่รู้จักในอินเดียมากขึ้น โดยเฉพาะ
ผลิตภัณฑ์สปาที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและมีราคาแพง ซึ่งมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในตลาดระดับบน
3. อาหารแปรรูป อินเดียผลิตสินค้าเกษตรได้มากเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากจีน แต่ผลผลิตทางการเกษตรราว 1 ใน 3 ของปริมาณผลผลิตทั้งหมด มักเน่าเสียก่อนถึงมือผู้บริโภค เนื่องจากระบบคมนาคมขนส่งภายในประเทศยังไม่มีประสิทธิภาพนัก นอกจากนี้ อินเดียยังขาดความชำนาญในการแปรรูปอาหาร ดังนั้น ผักและผลไม้ที่นำมาแปรรูปจึงมีเพียง 2% ของปริมาณผลผลิตทั้งหมดเท่านั้น ทั้งนี้ อินเดียยอมรับว่าไทยมีศักยภาพในการแปรรูปอาหารและสนใจที่จะเรียนรู้เทคโนโลยีการแปรรูปผักและผลไม้จากไทย ดังนั้น จึงเป็นโอกาสดีสำหรับนักธุรกิจไทยที่จะเข้าไปลงทุนหรือร่วมทุนด้านการแปรรูปอาหาร
ในอินเดีย
กลุ่มผู้บริโภคชาวอินเดียที่มีรายได้สูงนิยมรับประทานของขบเคี้ยว ผลไม้แห้ง และอาหารแปรรูปอื่น ๆ หลากหลายขึ้น โดยความต้องการบริโภคอาหารเหล่านี้จะเพิ่มขึ้นสูงในช่วงเดือนตุลาคม - ธันวาคม ของทุกปี เนื่องจากเป็นช่วงที่มีการจัดงานเทศกาลรื่นเริงต่าง ๆ
4. การก่อสร้าง โดยเฉพาะการก่อสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน ซึ่งอินเดียยังขาดแคลนค่อนข้างมาก โดยในช่วง 5 ปีข้างหน้า รัฐบาลอินเดียมีแผนจะขยายและปรับปรุงระบบสาธาณูปโภคพื้นฐานในประเทศหลายด้าน ทั้งการก่อสร้างและปรับปรุงสนามบิน ท่าเรือ รถไฟ ถนน และโรงแรม โดยมีมูลค่าโครงการรวมกว่า 1.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ การก่อสร้างที่พักอาศัยในอินเดียก็เป็นธุรกิจที่น่าจับตามอง เนื่องจากปัจจุบันภาคอสังหาริมทรัพย์ของอินเดียขยายตัวสูง โดย Merrill Lynch คาดว่า
ภาคอสังหาริมทรัพย์ของอินเดียจะมีมูลค่าตลาดสูงถึง 45 -- 50 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2553
แม้ว่าขณะนี้นักลงทุนไทยยังเข้าไปลงทุนในอินเดียไม่มากนักเมื่อเทียบกับนักลงทุนจากชาติอื่น ๆ แต่คาดว่าในอนาคตไทยน่าจะเข้าไปลงทุนในอินเดียเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ เนื่องจากธุรกิจไทยหลายประเภทมีศักยภาพสูงในตลาดอินเดีย ทั้งนี้ การมีพันธมิตรชาวอินเดียจะช่วยให้การดำเนินธุรกิจต่าง ๆ เป็นไปอย่างราบรื่นมากขึ้น
--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ตุลาคม 2549--
-พห-
สำหรับธุรกิจไทยที่น่าจะมีศักยภาพในอินเดีย อาทิ
1. ร้านอาหารไทย ปัจจุบันอาหารไทยได้รับความนิยมมากขึ้นในอินเดีย โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคชาวอินเดียที่มีรายได้ปานกลางถึงสูง ซึ่งเป็นกลุ่มที่เริ่มหันมาบริโภคอาหารต่างชาติมากขึ้นอย่างไรก็ตาม ร้านอาหารไทยในอินเดียยังมีจำนวนไม่มากนัก จึงมีโอกาสขยายตลาดในอินเดียได้อีกมาก โดยการลงทุนในธุรกิจร้านอาหารมีเงื่อนไขให้นักลงทุนต่างชาติต้องร่วมลงทุนกับนักลงทุนอินเดียในสัดส่วนไม่เกิน 49% ของทั้งหมด สำหรับเมืองที่เหมาะจะเข้าไปเปิดร้านอาหารไทย ได้แก่ กรุงนิวเดลี (เมืองหลวงของอินเดีย) มุมไบ (เมืองหลวงของรัฐมหาราษฏระ) กัลกัตตา (เมืองหลวงของรัฐเบงกอลตะวันตก) และเมืองบังคาลอร์ (เมืองหลวงของรัฐกรณาฏกะ) ซึ่งล้วนเป็นเมืองสำคัญทางธุรกิจของอินเดีย
ทั้งนี้ ชาวอินเดียนิยมรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของเครื่องเทศ และนิยมอาหารรสจัดชาวอินเดียที่นับถือศาสนาฮินดู (ราว 80% ของประชากรทั้งประเทศ) ไม่รับประทานเนื้อวัว เนื่องจากถือว่าวัวเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ รวมทั้งมีชาวอินเดียจำนวนมากที่ชื่นชอบการรับประทานอาหารมังสวิรัติ สำหรับอาหารไทยที่ชาวอินเดียนิยมรับประทาน อาทิ ผัดไทย แกงเขียวหวาน และต้มยำกุ้ง ฯลฯ
2. ธุรกิจสปาและผลิตภัณฑ์สปา แม้ธุรกิจความงามและสุขภาพในอินเดียจะมีขนาดค่อนข้างเล็กในปัจจุบัน แต่ก็มีอัตราการขยายตัวสูงถึง 15% ต่อปี เนื่องจากชาวอินเดียที่มีฐานะดีขึ้นเริ่มหันมาสนใจการบำรุงรักษาสุขภาพมากขึ้น ประกอบกับมีการส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในอินเดียมากขึ้น ทั้งนี้ ปัจจุบันการนวดแผนไทยเป็นที่รู้จักในอินเดีย และเปิดให้บริการในร้านสปาที่ตั้งอยู่ในโรงแรมระดับ 5 ดาว หลายแห่งในอินเดีย อาทิ ในเมืองชัยปุระ เมืองหลวงของรัฐราชสถาน และในเมืองบังคาลอร์ เป็นต้น นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์สปาของไทยก็เริ่มเป็นที่รู้จักในอินเดียมากขึ้น โดยเฉพาะ
ผลิตภัณฑ์สปาที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและมีราคาแพง ซึ่งมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในตลาดระดับบน
3. อาหารแปรรูป อินเดียผลิตสินค้าเกษตรได้มากเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากจีน แต่ผลผลิตทางการเกษตรราว 1 ใน 3 ของปริมาณผลผลิตทั้งหมด มักเน่าเสียก่อนถึงมือผู้บริโภค เนื่องจากระบบคมนาคมขนส่งภายในประเทศยังไม่มีประสิทธิภาพนัก นอกจากนี้ อินเดียยังขาดความชำนาญในการแปรรูปอาหาร ดังนั้น ผักและผลไม้ที่นำมาแปรรูปจึงมีเพียง 2% ของปริมาณผลผลิตทั้งหมดเท่านั้น ทั้งนี้ อินเดียยอมรับว่าไทยมีศักยภาพในการแปรรูปอาหารและสนใจที่จะเรียนรู้เทคโนโลยีการแปรรูปผักและผลไม้จากไทย ดังนั้น จึงเป็นโอกาสดีสำหรับนักธุรกิจไทยที่จะเข้าไปลงทุนหรือร่วมทุนด้านการแปรรูปอาหาร
ในอินเดีย
กลุ่มผู้บริโภคชาวอินเดียที่มีรายได้สูงนิยมรับประทานของขบเคี้ยว ผลไม้แห้ง และอาหารแปรรูปอื่น ๆ หลากหลายขึ้น โดยความต้องการบริโภคอาหารเหล่านี้จะเพิ่มขึ้นสูงในช่วงเดือนตุลาคม - ธันวาคม ของทุกปี เนื่องจากเป็นช่วงที่มีการจัดงานเทศกาลรื่นเริงต่าง ๆ
4. การก่อสร้าง โดยเฉพาะการก่อสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน ซึ่งอินเดียยังขาดแคลนค่อนข้างมาก โดยในช่วง 5 ปีข้างหน้า รัฐบาลอินเดียมีแผนจะขยายและปรับปรุงระบบสาธาณูปโภคพื้นฐานในประเทศหลายด้าน ทั้งการก่อสร้างและปรับปรุงสนามบิน ท่าเรือ รถไฟ ถนน และโรงแรม โดยมีมูลค่าโครงการรวมกว่า 1.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ การก่อสร้างที่พักอาศัยในอินเดียก็เป็นธุรกิจที่น่าจับตามอง เนื่องจากปัจจุบันภาคอสังหาริมทรัพย์ของอินเดียขยายตัวสูง โดย Merrill Lynch คาดว่า
ภาคอสังหาริมทรัพย์ของอินเดียจะมีมูลค่าตลาดสูงถึง 45 -- 50 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2553
แม้ว่าขณะนี้นักลงทุนไทยยังเข้าไปลงทุนในอินเดียไม่มากนักเมื่อเทียบกับนักลงทุนจากชาติอื่น ๆ แต่คาดว่าในอนาคตไทยน่าจะเข้าไปลงทุนในอินเดียเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ เนื่องจากธุรกิจไทยหลายประเภทมีศักยภาพสูงในตลาดอินเดีย ทั้งนี้ การมีพันธมิตรชาวอินเดียจะช่วยให้การดำเนินธุรกิจต่าง ๆ เป็นไปอย่างราบรื่นมากขึ้น
--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ตุลาคม 2549--
-พห-