ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท.ระบุมาตรการดูแลค่าเงินบาทต้องให้เวลาตลาดการเงินในการปรับตัว ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
กล่าวถึงผลของมาตรการดูแลค่าเงินบาทที่ออกไปก่อนหน้านี้ต่อระดับของค่าเงินบาทว่า จะต้องรอดูระยะหนึ่งก่อนว่า ตลาดการเงินจะตอบสนอง
อย่างไร เพราะธุรกรรมต่างๆ ในตลาดเงินจะต้องใช้เวลาในการปรับตัว ซึ่ง ธปท.พิจารณาแล้วว่าน่าจะช่วยลดแรงกดดันจากการแข็งค่าของ
เงินบาทได้ อย่างไรก็ตาม หากค่าเงินบาทยังคงแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ธปท.ก็พร้อมที่จะออกมาตรการเพิ่มเติม ทั้งมาตรการเก็บภาษีเงินทุนนำเข้า
ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษา รวมถึงมาตรการอื่นๆ ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.ที่ผ่านมา ธปท.ได้ออกมาตรการดูแลค่าเงินบาทเพิ่มเติมขึ้นจากเดิม โดย
ขอความร่วมมือสถาบันการเงินไม่ให้ซื้อขายตราสารหนี้ในลักษณะที่มีสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (sell and buy back) ให้กับผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ
(นอนเรสซิเดนท์) เนื่องจากเป็นธุรกรรมที่มีลักษณะใกล้เคียงกับธุรกรรมซื้อคืน ซึ่งเป็นธุรกรรมที่ ธปท.ไม่อนุญาตให้สถาบันการเงินทำกับ
นอนเรสซิเดนท์ รวมทั้ง ได้ขอความร่วมมือให้สถาบันการเงินซื้อขายเงินตราต่างประเทศและรับฝากถอนเงินบาทของนอนเรสซิเดนท์ที่เกิดจากการ
ลงทุนหรือรับคืนเงินลงทุนใน พธบ.รัฐบาล ตั๋วเงินคลัง และ พธบ. ธปท. เฉพาะตราสารที่นอนเรสซิเดนท์ถือครองไว้เกินกว่า 3 เดือนเท่านั้น
(กรุงเทพธุรกิจ, โลกวันนี้, ไทยรัฐ)
2. รมว.คลังระบุจีดีพีปี 49 มีโอกาสขยายตัว 5% ตามที่ สศช.คาดการณ์ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รอง นรม.และ รมว.คลัง
เปิดเผยถึงเกี่ยวกับกระแสวิจารณ์กรณีที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดการณ์ผลิตภัณฑ์ในประเทศ(จีดีพี)
ทั้งปี 49 ว่าจะขยายตัว 5% เพิ่มขึ้นจากเดิมที่เคยคาดการณ์ว่าจะขยายตัว 4.2-4.7% ว่าเป็นการปั้นแต่งตัวเลข โดยระบุว่าตัวเลขดังกล่าวมี
ความเป็นไปได้ เห็นได้จากครึ่งแรกของปี 49 ที่จีดีพีขยายตัวถึง 5.4% และไตรมาส 3 ปี 49 ขยายตัว 4.7% ซึ่งหากไตรมาสสุดท้ายของปี จีดีพี
ขยายตัวเพียง 4.5% ก็จะส่งผลให้จีดีพีทั้งปีสามารถขยายตัว 5% ได้ (กรุงเทพธุรกิจ)
3. สถานการณ์เงินบาทแข็งค่าอาจส่งผลให้การนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยขยายตัวเพิ่มขึ้น แหล่งข่าวจาก ก.พาณิชย์ เปิดเผยว่า จาก
สถานการณ์เงินบาทแข็งค่าอย่างต่อเนื่องขณะนี้ คาดว่ายังมีแนวโน้มต่อเนื่องในอีก 1 ปีข้างหน้า ส่งผลให้การนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยจะขยายตัวเพิ่มขึ้น
โดยช่วงเดือน ม.ค.-ต.ค.ที่ผ่านมา การนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น รองเท้า นาฬิกา เครื่องประดับ กระเป๋า มีมูลค่านำเข้าสูงถึง 7.4 พัน
ล.ดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวเพิ่มขึ้น 15% และมีแนวโน้มการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของการนำเข้าน้ำมันดิบ อัตราเฉลี่ยจะอยู่ในระดับ
8.5 แสนบาร์เรลต่อวัน โดยสัดส่วนการบริโภคไม่ขยายตัวเมื่อเปรียบเทียบกับการนำเข้า 9 เดือนแรกปี 47 เฉลี่ย 7.54 แสนบาร์เรลต่อวัน
ซึ่งเป็นช่วงที่สถานการณ์ราคาน้ำมันยังไม่รุนแรง และมีการตรึงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ ขณะที่การนำเข้าปี 48 เฉลี่ย 8.83 แสนบาร์เรลต่อวัน
และ 10 เดือนแรกปี 49 นำเข้า 8.4 แสนบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นปริมาณทรงตัว ส่วนการนำเข้าสินค้าทุนและวัตถุดิบเพื่อใช้ในการผลิตพบว่าการ
นำเข้าสินค้ากลุ่มทุน เครื่องจักร และวัตถุดิบ ขยายตัวน้อยมาก โดยขยายตัว 2.9% ในเดือน ก.ย. และขยายตัวชะลอลง 2.7% ในเดือน
ต.ค.49 (กรุงเทพธุรกิจ, ไทยรัฐ)
4. ผู้ค้าน้ำมันทุกรายปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลงอีก 50 สตางค์ต่อลิตร รายงานข่าวจากสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน
(สนพ.) แจ้งว่า ผู้ค้าน้ำมันทุกรายแจ้งปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลง 50 สตางค์ต่อลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 7 ธ.ค.49 เวลา 05.00 น.
เป็นต้นไป ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลอยู่ที่ 23.74 บาทต่อลิตร นับเป็นราคาต่ำสุดในรอบปี ส่วนราคาน้ำมัน
เบนซินและแก๊สโซฮอล์ไม่เปลี่ยนแปลง โดยเบนซิน 95 อยู่ที่ 26.09 บาท/ลิตร เบนซิน 91 ที่ 25.29 บาท/ลิตร และแก๊สโซฮอล์
24.59 บาท/ลิตร (ข่าวสด, ไทยโพสต์)
5. คาดว่าอัตราดอกเบี้ยปี 50 อาจปรับขึ้นลงไม่เกิน 0.25% ผู้อำนวยการ ธ.ออมสิน เปิดเผยถึงการคาดการณ์สถานการณ์ดอกเบี้ย
ในปี 50 ว่าจะอยู่ในลักษณะทรงตัวไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก และหากเปลี่ยนแปลงคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสแรก โดยคาดว่าจะปรับขึ้นลงไม่เกิน
0.25% ซึ่งต้องพิจารณาถึงราคาน้ำมันในตลาดโลก เศรษฐกิจโลก การใช้งบประมาณของรัฐบาลประกอบด้วย อย่างไรก็ตาม สภาพคล่องในระบบ
ธพ.ยังมีเพียงพอ แม้จะมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ภาครัฐก็ตาม ส่วนปัจจัยที่สำคัญที่จะส่งผลต่อสภาพคล่องในระบบ ธพ. คือการใช้จ่ายของ
ภาคเอกชน (ข่าวสด)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. คำสั่งซื้ออุตสาหกรรมการผลิตของเยอรมนีในเดือน ต.ค.49 ลดลงอย่างไม่คาดคิดที่ร้อยละ 1.1 รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อ
6 ธ.ค.49 ก.คลังเยอรมนี เปิดเผยว่า คำสั่งซื้ออุตสาหกรรมการผลิตของเยอรมนีในเดือน ต.ค.49 ลดลงอย่างไม่คาดคิดที่ร้อยละ 1.1 สวนทาง
กับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.1 โดยคำสั่งซื้อในประเทศในเดือน ต.ค.49 ลดลงร้อยละ 2.6 ขณะที่คำสั่งซื้อสินค้าจากต่าง
ประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 ทั้งนี้ ปัจจัยที่เป็นนัยสำคัญที่ส่งผลให้คำสั่งซื้อลดลง เนื่องจากคำสั่งซื้อสินค้าหมวดรถยนต์ในประเทศลดลง ขณะที่คำสั่งซื้อ
จากต่างประเทศในภาคอุตสาหกรรมอื่น ๆ เพิ่มขึ้นอย่างมาก อาทิเช่น สินค้าหมวดเครื่องจักรที่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม ภาค
ธุรกิจและนักวิเคราะห์ต่างกล่าวแสดงความเห็นว่า ตัวเลขคำสั่งซื้อที่ลดลงส่วนหนึ่งอาจเป็นผลจากการที่ภาคธุรกิจสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้ามาก่อนหน้านี้
ก่อนที่รัฐบาลจะปรับเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค.50 (รอยเตอร์)
2. retail PMI ของเขตเศรษฐกิจยุโรปในเดือน พ.ย.49 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 53.7 รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อ 6 ธ.ค.49
Bloomberg/NTC เปิดเผยว่า retail PMI ของเขตเศรษฐกิจยุโรปในเดือน พ.ย.49 (ซึ่งเป็นการสำรวจยอดขายปลีกของ
Purchasing Managers Index) เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 53.7 จากระดับ 52.8 ในเดือนก่อนหน้า ซึ่งอยู่เหนือระดับ 50 อันสามารถชี้วัดว่ายอดขาย
ปลีกยังคงขยายตัว ขณะที่ระดับต่ำกว่า 50 บ่งชี้ถึงการหดตัว สำหรับ retail PMI ของเยอรมนี ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 1 ใน 3 ของผลิตภัณฑ์ใน
ประเทศ (จีดีพี) เพิ่มขึ้นอย่างมากโดยอยู่ที่ระดับ 57.7 จากระดับ 53.8 ในเดือน ต.ค.49 อนึ่ง ตัวเลข retail PMI ได้จากการสำรวจ
ผู้ค้าปลีกในประเทศเยอรมนี ฝรั่งเศส และอิตาลี จำนวน 1,000 ราย ซึ่งเป็น 3 ประเทศที่มีอัตราส่วนการค้าปลีกประมาณ 3 ใน 4 ส่วนของ
การค้าปลีกทั้งหมดของเขตเศรษฐกิจยุโรป (รอยเตอร์)
3. ผลผลิตอุตสาหกรรมของอังกฤษในเดือน ต.ค.49 ลดลงในอัตราสูงสุดในรอบกว่า 1 ปี รายงานจากลอนดอน เมื่อ 6 ธ.ค.49
สนง.สถิติแห่งชาติของอังกฤษรายงานผลผลิตอุตสาหกรรมในเดือน ต.ค.49 ลดลงอย่างไม่คาดมาก่อนร้อยละ 0.8 เมื่อเทียบกับเดือน ก.ย.49
ลดลงในอัตราสูงสุดในรอบกว่า 1 ปี จากที่คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 ต่อเดือน นักวิเคราะห์ให้ความเห็นว่าเป็นผลมาจากสภาพอากาศที่อบอุ่น
ผิดปรกติทำให้ความต้องการสินค้าที่ช่วยสร้างความอบอุ่นลดลง ในขณะที่เงินปอนด์ของอังกฤษก็แข็งค่าขึ้นสูงสุดในรอบ 2 ปีเพื่อเทียบกับดอลลาร์
สรอ.ส่งผลกระทบต่อความต้องการสินค้าของอังกฤษในช่วงที่เศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะ สรอ.กำลังชะลอตัว นักลงทุนในตลาดเงินจึงมั่นใจว่านอกจาก
ธ.กลางอังกฤษจะไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมในวันที่ 7 ธ.ค.49 นี้แล้ว ยังจะไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปอีกนานหลายเดือนข้างหน้าด้วย
ทั้งนี้ ธ.กลางอังกฤษได้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาแล้ว 2 ครั้งในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา ทำให้อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 5 ปีที่ร้อยละ
5.0 ต่อปี (รอยเตอร์)
4. ยอดเกินดุลการค้าของจีนในเดือน พ.ย.49 มีจำนวน 23.37 พันล้านดอลลาร์ สรอ.สูงกว่าที่คาดไว้ รายงานจากปักกิ่ง เมื่อ
6 ธ.ค.49 สำนักข่าวซินหัวของทางการจีนรายงานยอดเกินดุลการค้าในเดือน พ.ย.49 โดยอ้างตัวเลขจากกรมศุลกากรว่ามีจำนวน
23.37 พันล้านดอลลาร์ สรอ.มากกว่า 2 เท่าของยอดเกินดุลการค้าในเดือน พ.ย.48 ซึ่งมีจำนวน 10.5 พันล้านดอลลาร์ สรอ.และสูงกว่าที่
รอยเตอร์คาดไว้ที่จำนวน 20.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ส่งผลให้ยอดเกินดุลตั้งแต่ต้นปี 49 มีจำนวนทั้งสิ้น 157 พันล้านดอลลาร์ สรอ. โดยยอด
ส่งออกในเดือน พ.ย.49 เพิ่มขึ้นร้อยละ 32.7 ต่อปี ในขณะที่ยอดนำเข้าในเดือนเดียวกันเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 17.4 ต่อปี สูงกว่าที่รอยเตอร์คาด
ไว้ว่ายอดส่งออกและยอดนำเข้าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 28 และ 16.5 ต่อปีตามลำดับ ยอดเกินการค้าที่เพิ่มขึ้นได้ส่งกระทบทางการเมืองเมื่อทั้ง
รมต.คลังของ สรอ.และประธาน ธ.กลาง สรอ.จะเดินทางมาเจรจากับจีนที่ปักกิ่งในสัปดาห์หน้า ทั้งนี้ผู้ผลิตของ สรอ.ได้ร้องเรียนว่าผู้ส่งออก
ของจีนได้เปรียบในเชิงแข่งขันจากการที่ทางการจีนจงใจให้เงินหยวนมีค่าต่ำกว่าความเป็นจริงและต้องการให้ทางการจีนปล่อยให้เงินหยวนมีค่าสูง
ขึ้นกว่าที่เป็นอยู่หลังจากทางการจีนได้ปล่อยให้ค่าเงินหยวนลอยตัวภายในช่วงค่าที่กำหนดตั้งแต่เดือน ก.ค.48 เป็นต้นมา (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 7 ธ.ค. 49 6 ธ.ค.
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 35.647 39.078 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 35.4562/35.7490 38.9113/39.2013 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 5.12313 4.29375 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 746.16/14.58 762.63/12.66 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,550/10,650 10,750/10,850 10,350/10,450 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 58.28 58.28 60.96 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 2 ธ.ค. 49 ** ปรับลดลิตรละ 50 สตางค์ เมื่อ 7 ธ.ค.49 26.09*/23.74** 26.09*/24.24 27.24/24.69 ปตท.
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท.ระบุมาตรการดูแลค่าเงินบาทต้องให้เวลาตลาดการเงินในการปรับตัว ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
กล่าวถึงผลของมาตรการดูแลค่าเงินบาทที่ออกไปก่อนหน้านี้ต่อระดับของค่าเงินบาทว่า จะต้องรอดูระยะหนึ่งก่อนว่า ตลาดการเงินจะตอบสนอง
อย่างไร เพราะธุรกรรมต่างๆ ในตลาดเงินจะต้องใช้เวลาในการปรับตัว ซึ่ง ธปท.พิจารณาแล้วว่าน่าจะช่วยลดแรงกดดันจากการแข็งค่าของ
เงินบาทได้ อย่างไรก็ตาม หากค่าเงินบาทยังคงแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ธปท.ก็พร้อมที่จะออกมาตรการเพิ่มเติม ทั้งมาตรการเก็บภาษีเงินทุนนำเข้า
ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษา รวมถึงมาตรการอื่นๆ ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.ที่ผ่านมา ธปท.ได้ออกมาตรการดูแลค่าเงินบาทเพิ่มเติมขึ้นจากเดิม โดย
ขอความร่วมมือสถาบันการเงินไม่ให้ซื้อขายตราสารหนี้ในลักษณะที่มีสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (sell and buy back) ให้กับผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ
(นอนเรสซิเดนท์) เนื่องจากเป็นธุรกรรมที่มีลักษณะใกล้เคียงกับธุรกรรมซื้อคืน ซึ่งเป็นธุรกรรมที่ ธปท.ไม่อนุญาตให้สถาบันการเงินทำกับ
นอนเรสซิเดนท์ รวมทั้ง ได้ขอความร่วมมือให้สถาบันการเงินซื้อขายเงินตราต่างประเทศและรับฝากถอนเงินบาทของนอนเรสซิเดนท์ที่เกิดจากการ
ลงทุนหรือรับคืนเงินลงทุนใน พธบ.รัฐบาล ตั๋วเงินคลัง และ พธบ. ธปท. เฉพาะตราสารที่นอนเรสซิเดนท์ถือครองไว้เกินกว่า 3 เดือนเท่านั้น
(กรุงเทพธุรกิจ, โลกวันนี้, ไทยรัฐ)
2. รมว.คลังระบุจีดีพีปี 49 มีโอกาสขยายตัว 5% ตามที่ สศช.คาดการณ์ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รอง นรม.และ รมว.คลัง
เปิดเผยถึงเกี่ยวกับกระแสวิจารณ์กรณีที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดการณ์ผลิตภัณฑ์ในประเทศ(จีดีพี)
ทั้งปี 49 ว่าจะขยายตัว 5% เพิ่มขึ้นจากเดิมที่เคยคาดการณ์ว่าจะขยายตัว 4.2-4.7% ว่าเป็นการปั้นแต่งตัวเลข โดยระบุว่าตัวเลขดังกล่าวมี
ความเป็นไปได้ เห็นได้จากครึ่งแรกของปี 49 ที่จีดีพีขยายตัวถึง 5.4% และไตรมาส 3 ปี 49 ขยายตัว 4.7% ซึ่งหากไตรมาสสุดท้ายของปี จีดีพี
ขยายตัวเพียง 4.5% ก็จะส่งผลให้จีดีพีทั้งปีสามารถขยายตัว 5% ได้ (กรุงเทพธุรกิจ)
3. สถานการณ์เงินบาทแข็งค่าอาจส่งผลให้การนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยขยายตัวเพิ่มขึ้น แหล่งข่าวจาก ก.พาณิชย์ เปิดเผยว่า จาก
สถานการณ์เงินบาทแข็งค่าอย่างต่อเนื่องขณะนี้ คาดว่ายังมีแนวโน้มต่อเนื่องในอีก 1 ปีข้างหน้า ส่งผลให้การนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยจะขยายตัวเพิ่มขึ้น
โดยช่วงเดือน ม.ค.-ต.ค.ที่ผ่านมา การนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น รองเท้า นาฬิกา เครื่องประดับ กระเป๋า มีมูลค่านำเข้าสูงถึง 7.4 พัน
ล.ดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวเพิ่มขึ้น 15% และมีแนวโน้มการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของการนำเข้าน้ำมันดิบ อัตราเฉลี่ยจะอยู่ในระดับ
8.5 แสนบาร์เรลต่อวัน โดยสัดส่วนการบริโภคไม่ขยายตัวเมื่อเปรียบเทียบกับการนำเข้า 9 เดือนแรกปี 47 เฉลี่ย 7.54 แสนบาร์เรลต่อวัน
ซึ่งเป็นช่วงที่สถานการณ์ราคาน้ำมันยังไม่รุนแรง และมีการตรึงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ ขณะที่การนำเข้าปี 48 เฉลี่ย 8.83 แสนบาร์เรลต่อวัน
และ 10 เดือนแรกปี 49 นำเข้า 8.4 แสนบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นปริมาณทรงตัว ส่วนการนำเข้าสินค้าทุนและวัตถุดิบเพื่อใช้ในการผลิตพบว่าการ
นำเข้าสินค้ากลุ่มทุน เครื่องจักร และวัตถุดิบ ขยายตัวน้อยมาก โดยขยายตัว 2.9% ในเดือน ก.ย. และขยายตัวชะลอลง 2.7% ในเดือน
ต.ค.49 (กรุงเทพธุรกิจ, ไทยรัฐ)
4. ผู้ค้าน้ำมันทุกรายปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลงอีก 50 สตางค์ต่อลิตร รายงานข่าวจากสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน
(สนพ.) แจ้งว่า ผู้ค้าน้ำมันทุกรายแจ้งปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลง 50 สตางค์ต่อลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 7 ธ.ค.49 เวลา 05.00 น.
เป็นต้นไป ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลอยู่ที่ 23.74 บาทต่อลิตร นับเป็นราคาต่ำสุดในรอบปี ส่วนราคาน้ำมัน
เบนซินและแก๊สโซฮอล์ไม่เปลี่ยนแปลง โดยเบนซิน 95 อยู่ที่ 26.09 บาท/ลิตร เบนซิน 91 ที่ 25.29 บาท/ลิตร และแก๊สโซฮอล์
24.59 บาท/ลิตร (ข่าวสด, ไทยโพสต์)
5. คาดว่าอัตราดอกเบี้ยปี 50 อาจปรับขึ้นลงไม่เกิน 0.25% ผู้อำนวยการ ธ.ออมสิน เปิดเผยถึงการคาดการณ์สถานการณ์ดอกเบี้ย
ในปี 50 ว่าจะอยู่ในลักษณะทรงตัวไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก และหากเปลี่ยนแปลงคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสแรก โดยคาดว่าจะปรับขึ้นลงไม่เกิน
0.25% ซึ่งต้องพิจารณาถึงราคาน้ำมันในตลาดโลก เศรษฐกิจโลก การใช้งบประมาณของรัฐบาลประกอบด้วย อย่างไรก็ตาม สภาพคล่องในระบบ
ธพ.ยังมีเพียงพอ แม้จะมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ภาครัฐก็ตาม ส่วนปัจจัยที่สำคัญที่จะส่งผลต่อสภาพคล่องในระบบ ธพ. คือการใช้จ่ายของ
ภาคเอกชน (ข่าวสด)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. คำสั่งซื้ออุตสาหกรรมการผลิตของเยอรมนีในเดือน ต.ค.49 ลดลงอย่างไม่คาดคิดที่ร้อยละ 1.1 รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อ
6 ธ.ค.49 ก.คลังเยอรมนี เปิดเผยว่า คำสั่งซื้ออุตสาหกรรมการผลิตของเยอรมนีในเดือน ต.ค.49 ลดลงอย่างไม่คาดคิดที่ร้อยละ 1.1 สวนทาง
กับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.1 โดยคำสั่งซื้อในประเทศในเดือน ต.ค.49 ลดลงร้อยละ 2.6 ขณะที่คำสั่งซื้อสินค้าจากต่าง
ประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 ทั้งนี้ ปัจจัยที่เป็นนัยสำคัญที่ส่งผลให้คำสั่งซื้อลดลง เนื่องจากคำสั่งซื้อสินค้าหมวดรถยนต์ในประเทศลดลง ขณะที่คำสั่งซื้อ
จากต่างประเทศในภาคอุตสาหกรรมอื่น ๆ เพิ่มขึ้นอย่างมาก อาทิเช่น สินค้าหมวดเครื่องจักรที่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม ภาค
ธุรกิจและนักวิเคราะห์ต่างกล่าวแสดงความเห็นว่า ตัวเลขคำสั่งซื้อที่ลดลงส่วนหนึ่งอาจเป็นผลจากการที่ภาคธุรกิจสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้ามาก่อนหน้านี้
ก่อนที่รัฐบาลจะปรับเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค.50 (รอยเตอร์)
2. retail PMI ของเขตเศรษฐกิจยุโรปในเดือน พ.ย.49 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 53.7 รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อ 6 ธ.ค.49
Bloomberg/NTC เปิดเผยว่า retail PMI ของเขตเศรษฐกิจยุโรปในเดือน พ.ย.49 (ซึ่งเป็นการสำรวจยอดขายปลีกของ
Purchasing Managers Index) เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 53.7 จากระดับ 52.8 ในเดือนก่อนหน้า ซึ่งอยู่เหนือระดับ 50 อันสามารถชี้วัดว่ายอดขาย
ปลีกยังคงขยายตัว ขณะที่ระดับต่ำกว่า 50 บ่งชี้ถึงการหดตัว สำหรับ retail PMI ของเยอรมนี ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 1 ใน 3 ของผลิตภัณฑ์ใน
ประเทศ (จีดีพี) เพิ่มขึ้นอย่างมากโดยอยู่ที่ระดับ 57.7 จากระดับ 53.8 ในเดือน ต.ค.49 อนึ่ง ตัวเลข retail PMI ได้จากการสำรวจ
ผู้ค้าปลีกในประเทศเยอรมนี ฝรั่งเศส และอิตาลี จำนวน 1,000 ราย ซึ่งเป็น 3 ประเทศที่มีอัตราส่วนการค้าปลีกประมาณ 3 ใน 4 ส่วนของ
การค้าปลีกทั้งหมดของเขตเศรษฐกิจยุโรป (รอยเตอร์)
3. ผลผลิตอุตสาหกรรมของอังกฤษในเดือน ต.ค.49 ลดลงในอัตราสูงสุดในรอบกว่า 1 ปี รายงานจากลอนดอน เมื่อ 6 ธ.ค.49
สนง.สถิติแห่งชาติของอังกฤษรายงานผลผลิตอุตสาหกรรมในเดือน ต.ค.49 ลดลงอย่างไม่คาดมาก่อนร้อยละ 0.8 เมื่อเทียบกับเดือน ก.ย.49
ลดลงในอัตราสูงสุดในรอบกว่า 1 ปี จากที่คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 ต่อเดือน นักวิเคราะห์ให้ความเห็นว่าเป็นผลมาจากสภาพอากาศที่อบอุ่น
ผิดปรกติทำให้ความต้องการสินค้าที่ช่วยสร้างความอบอุ่นลดลง ในขณะที่เงินปอนด์ของอังกฤษก็แข็งค่าขึ้นสูงสุดในรอบ 2 ปีเพื่อเทียบกับดอลลาร์
สรอ.ส่งผลกระทบต่อความต้องการสินค้าของอังกฤษในช่วงที่เศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะ สรอ.กำลังชะลอตัว นักลงทุนในตลาดเงินจึงมั่นใจว่านอกจาก
ธ.กลางอังกฤษจะไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมในวันที่ 7 ธ.ค.49 นี้แล้ว ยังจะไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปอีกนานหลายเดือนข้างหน้าด้วย
ทั้งนี้ ธ.กลางอังกฤษได้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาแล้ว 2 ครั้งในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา ทำให้อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 5 ปีที่ร้อยละ
5.0 ต่อปี (รอยเตอร์)
4. ยอดเกินดุลการค้าของจีนในเดือน พ.ย.49 มีจำนวน 23.37 พันล้านดอลลาร์ สรอ.สูงกว่าที่คาดไว้ รายงานจากปักกิ่ง เมื่อ
6 ธ.ค.49 สำนักข่าวซินหัวของทางการจีนรายงานยอดเกินดุลการค้าในเดือน พ.ย.49 โดยอ้างตัวเลขจากกรมศุลกากรว่ามีจำนวน
23.37 พันล้านดอลลาร์ สรอ.มากกว่า 2 เท่าของยอดเกินดุลการค้าในเดือน พ.ย.48 ซึ่งมีจำนวน 10.5 พันล้านดอลลาร์ สรอ.และสูงกว่าที่
รอยเตอร์คาดไว้ที่จำนวน 20.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ส่งผลให้ยอดเกินดุลตั้งแต่ต้นปี 49 มีจำนวนทั้งสิ้น 157 พันล้านดอลลาร์ สรอ. โดยยอด
ส่งออกในเดือน พ.ย.49 เพิ่มขึ้นร้อยละ 32.7 ต่อปี ในขณะที่ยอดนำเข้าในเดือนเดียวกันเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 17.4 ต่อปี สูงกว่าที่รอยเตอร์คาด
ไว้ว่ายอดส่งออกและยอดนำเข้าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 28 และ 16.5 ต่อปีตามลำดับ ยอดเกินการค้าที่เพิ่มขึ้นได้ส่งกระทบทางการเมืองเมื่อทั้ง
รมต.คลังของ สรอ.และประธาน ธ.กลาง สรอ.จะเดินทางมาเจรจากับจีนที่ปักกิ่งในสัปดาห์หน้า ทั้งนี้ผู้ผลิตของ สรอ.ได้ร้องเรียนว่าผู้ส่งออก
ของจีนได้เปรียบในเชิงแข่งขันจากการที่ทางการจีนจงใจให้เงินหยวนมีค่าต่ำกว่าความเป็นจริงและต้องการให้ทางการจีนปล่อยให้เงินหยวนมีค่าสูง
ขึ้นกว่าที่เป็นอยู่หลังจากทางการจีนได้ปล่อยให้ค่าเงินหยวนลอยตัวภายในช่วงค่าที่กำหนดตั้งแต่เดือน ก.ค.48 เป็นต้นมา (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 7 ธ.ค. 49 6 ธ.ค.
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 35.647 39.078 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 35.4562/35.7490 38.9113/39.2013 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 5.12313 4.29375 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 746.16/14.58 762.63/12.66 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,550/10,650 10,750/10,850 10,350/10,450 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 58.28 58.28 60.96 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 2 ธ.ค. 49 ** ปรับลดลิตรละ 50 สตางค์ เมื่อ 7 ธ.ค.49 26.09*/23.74** 26.09*/24.24 27.24/24.69 ปตท.
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--