ในปีที่สังคมไทยจะต้องหวนกลับสู่ความเป็นประชาธิปไตย เรากลับเริ่มต้นปีด้วยการเผชิญกับเหตุการณ์ลอบวางระเบิดหลายจุดในเมืองหลวง ตามมาด้วยข่าวลือเกี่ยวกับการปฏิวัติซ้ำหรือปฏิวัติซ้อน สร้างความสับสนวุ่นวายในหมู่ประชาชนในวงกว้าง
ที่จริงแล้ว ความสับสนวุ่นวายที่เกิดขึ้น ไม่ได้อยู่นอกเหนือความคาดหมายเสียทีเดียว เพราะมีการวิเคราะห์กันมาตลอดว่า วิกฤติทางการเมืองยังไม่คลี่คลาย และมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการเผชิญหน้า รวมไปถึงการลุกลามบานปลายไปสู่ความรุนแรงได้ เงื่อนไขที่หลายฝ่ายคาดไว้ว่าจะเป็นปัญหาได้คือ
ความขัดแย้งสืบเนื่องมาจากการร่างรัฐธรรมนูญ
ปัญหาการเรียกร้องจากประชาชนกลุ่มต่างๆ ในประเด็นความเดือดร้อน หรือผลกระทบจากนโยบายของรัฐ
การลุกลามของปัญหาความไม่สงบในภาคใต้
แต่ที่สำคัญที่สุดคือการลุกขึ้นสู้ของผู้สูญเสียอำนาจ เมื่อกระบวนการตรวจสอบเดินหน้าอย่างเต็มที่
กระนั้นก็ตาม เหตุการณ์และปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น ดูจะมาเร็วกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ และไม่มีใครเชื่อว่าผู้ก่อเหตุจะโหดร้ายถึงขั้นเลือกจังหวะ เวลา สถานที่ ก่อความรุนแรงที่มุ่งเอาชีวิตของผู้บริสุทธิ์ในเทศกาลของการเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่
ผลกระทบก็ตามมาจากเหตุการณ์ ไม่ว่าจะเป็นต่อความเชื่อมั่นที่มีต่อรัฐบาลและคมช.หรือ ต่อเศรษฐกิจ รวมไปถึงผลกระทบต่อจิตใจและความเป็นอยู่ของประชาชน เป็นสิ่งที่ต้องเร่งแก้ไขเยียวยา ซึ่งไม่มีอะไรดีไปกว่าการเร่งจับกุมผู้กระทำผิดมาลงโทษ
อย่าปล่อยให้ผู้ก่อเหตุได้ใจ เหมือนกับที่ผ่านมาที่การเผาโรงเรียนต่างๆ ในทุกภาคยกเว้นภาคใต้กลับถูกสรุปว่าเป็นไฟฟ้าลัดวงจร
ถึงวันนี้ หากจำเป็นต้องผ่าตัดใหญ่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ต้องทำ
เพราะถ้ากฎหมายไม่เป็นกฎหมาย กฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์ กฎหมายบังคับใช้ไม่ได้ ก็ป่วยการที่จะคิดถึงการมีสังคมประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง
ไม่ใช่เพราะปัญหานี้หรือ ที่นำสังคมไทยเข้าสู่การรัฐประหาร เมื่อผู้มีอำนาจก่อนนั้นมีปัญหาทุจริต ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง ข่มขู่ คุกคาม ฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง โดยไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ เสมือนหนึ่งว่าอยู่เหนือกฎหมาย
และเพราะปัญหาตรงนี้หรือไม่ ที่ทำให้เกิดข่าวลือเกี่ยวกับการปฏิวัติอีกครั้ง
ปฏิวัติซ้อนนั้น เข้าใจไม่ยากอยู่แล้ว
เพราะตั้งแต่ช่วง 19-20 กันยายนที่ผ่านมา ก็มีข่าวคราวการเคลื่อนไหวช่วงชิงในการทำรัฐประหารอย่างเข้มข้น
หลังจาก 19 กันยายน เป็นต้นมา ก็มีความเคลื่อนไหวของคลื่นใต้น้ำ
ขณะที่นักการเมืองในกลุ่มอำนาจเก่า ตั้งแต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งโดยการสื่อสารทางจดหมาย หรือผ่านทนายส่วนตัว จนถึง พล.อ.ชวลิต ได้แสดงท่าทีที่ท้าทาย และเป็นปฏิปักษ์ กับรัฐบาล และคมช. อย่างเปิดเผยมากขึ้นในระยะหลัง
ศักยภาพของอำนาจเงิน และผู้สนับสนุนของกลุ่มอำนาจเก่าในกลไกของรัฐมีอยู่ไม่น้อยอยู่แล้ว
การสร้างเงื่อนไขของการปฏิวัติซ้อน คือการเดินไปในรูปของการก่อความวุ่นวายให้เห็นว่า รัฐบาล และคมช.ปกครองไม่ได้ การปลุกระดมกลุ่มต่างๆ ที่ไม่พอใจรัฐบาลและ คมช. ให้เคลื่นไหว จนนำไปสู่ การเผชิญหน้า และการปะทะกัน
ขอเรียกร้องต่อกลุ่มบุคคลที่คิดทำสิ่งนี้ว่า จงหยุดเถิด
หากอยากได้อำนาจ และเป็นนักประชาธิปไตยจริง มาช่วยกันดูแลให้ เราได้รัฐธรรมนูญที่ดีโดยเร็ว แล้วไปลงสนามเลือกตั้งแข่งขันกัน
หากบริสุทธิ์ ไม่มีความผิด ก็ต้องยอมรับการตรวจสอบ มาต่อสู้คดี อย่างตรงไปตรงมา หากถูกกลั่นแกล้ง สังคมก็จะช่วยต่อสู้ แม้แต่ตัวผม ซึ่งอยู่คนละฝ่ายทางการเมือง ก็พร้อมจะต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมให้อย่างเต็มที่
แต่การปฏิวัติซ้อน มีแต่จะทำให้ประเทศชาติ และ ประชาชน บอบช้ำมากขึ้นไปอีก
แม้จะทำสำเร็จก็ไม่มีทางเป็นชัยชนะที่ยั่งยืน รอแต่วันที่จะต้องเผชิญหน้ากับวงจรของการต่อต้านและความขัดแย้งไม่รู้จบ เหตุการณ์ปีที่ผ่านมาควรจะเป็นบทเรียนที่สำคัญ
สำหรับรัฐบาล และ คมช. นอกเหนือจากมาตรการด้านความมั่นคงแล้ว การป้องกันการประวัติซ้อนที่ดีที่สุด คือการไม่สร้างเงื่อนไขให้ตกเป็นเหยื่อ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเด็น การสืบทอดอำนาจ หรือความไม่โปร่งใสในรัฐบาล หรือ คมช. ต้องไม่มี
และการตรวจสอบต่างๆ ต้องให้ข้อเท็จจริงทุกด้านแก่ประชาชนให้มากที่สุด ให้เห็นว่า กระบวนการนี้ เดินไปอย่างจริงจัง ตรงไปตรงมา ไม่มีการกลั่นแกล้ง
ที่สำคัญที่สุด ต้องไม่เบี่ยงเบนตนไปจากภารกิจหลักคือการเร่งคืนประชาธิปไตย
แนวทางนี้เท่านั้น ที่จะทำให้บ้านเมืองคืนสู่ความสงบเรียบร้อย และดึงบ้านเมืองหลุดพ้นจากวิกฤติ และวงจรของความรุนแรง
ไม่ใช่การปฏิวัติซ้ำ
เพราะประเทศไทยคงไม่สามารถแบกรับปัญหาที่จะตามมา จากการปฏิวัติซ้ำ ในเรื่องภาพลักษณ์ ความเชื่อมั่น ผลกระทบทางเศรษฐกิจ และสังคม ซึ่งไม่แตกต่างกับกรณีที่มีการปฏิวัติซ้อน
การปฏิวัติครั้งที่ผ่านมามีข้อดีประการหนึ่งคือไม่มีการสูญเสียเลือดเนื้อ
และถือว่าสังคมให้โอกาสผู้ยึดอำนาจในการสะสางปัญหาต่างๆพอสมควร
แต่วันนี้ หากมีการปฏิวัติซ้ำ มีแต่จะทำให้ความเสี่ยงของการปฏิวัติซ้อนและความรุนแรงอื่นๆเพิ่มขึ้น
เมื่อตัดสินใจเดินมาในเส้นทางที่ได้เดินมาแล้ว ผู้มีอำนาจในขณะนี้ต้องพิสูจน์ตัวเองว่าสามารถใช้อำนาจนั้น อย่างมีประสิทธิภาพ ในการชำระสะสางปัญหาต่างๆ ที่ตกค้างมา
สถานการณ์ขณะนี้ จึงท้าทายสังคมไทยยิ่งนัก
แต่สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้อง ถ้าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม ก็ขอย้ำว่า
อย่าคิดปฏิวัติซ้ำ อย่าทำปฏิวัติซ้อน
*********************************
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 7 ม.ค. 2550--จบ--
ที่จริงแล้ว ความสับสนวุ่นวายที่เกิดขึ้น ไม่ได้อยู่นอกเหนือความคาดหมายเสียทีเดียว เพราะมีการวิเคราะห์กันมาตลอดว่า วิกฤติทางการเมืองยังไม่คลี่คลาย และมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการเผชิญหน้า รวมไปถึงการลุกลามบานปลายไปสู่ความรุนแรงได้ เงื่อนไขที่หลายฝ่ายคาดไว้ว่าจะเป็นปัญหาได้คือ
ความขัดแย้งสืบเนื่องมาจากการร่างรัฐธรรมนูญ
ปัญหาการเรียกร้องจากประชาชนกลุ่มต่างๆ ในประเด็นความเดือดร้อน หรือผลกระทบจากนโยบายของรัฐ
การลุกลามของปัญหาความไม่สงบในภาคใต้
แต่ที่สำคัญที่สุดคือการลุกขึ้นสู้ของผู้สูญเสียอำนาจ เมื่อกระบวนการตรวจสอบเดินหน้าอย่างเต็มที่
กระนั้นก็ตาม เหตุการณ์และปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น ดูจะมาเร็วกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ และไม่มีใครเชื่อว่าผู้ก่อเหตุจะโหดร้ายถึงขั้นเลือกจังหวะ เวลา สถานที่ ก่อความรุนแรงที่มุ่งเอาชีวิตของผู้บริสุทธิ์ในเทศกาลของการเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่
ผลกระทบก็ตามมาจากเหตุการณ์ ไม่ว่าจะเป็นต่อความเชื่อมั่นที่มีต่อรัฐบาลและคมช.หรือ ต่อเศรษฐกิจ รวมไปถึงผลกระทบต่อจิตใจและความเป็นอยู่ของประชาชน เป็นสิ่งที่ต้องเร่งแก้ไขเยียวยา ซึ่งไม่มีอะไรดีไปกว่าการเร่งจับกุมผู้กระทำผิดมาลงโทษ
อย่าปล่อยให้ผู้ก่อเหตุได้ใจ เหมือนกับที่ผ่านมาที่การเผาโรงเรียนต่างๆ ในทุกภาคยกเว้นภาคใต้กลับถูกสรุปว่าเป็นไฟฟ้าลัดวงจร
ถึงวันนี้ หากจำเป็นต้องผ่าตัดใหญ่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ต้องทำ
เพราะถ้ากฎหมายไม่เป็นกฎหมาย กฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์ กฎหมายบังคับใช้ไม่ได้ ก็ป่วยการที่จะคิดถึงการมีสังคมประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง
ไม่ใช่เพราะปัญหานี้หรือ ที่นำสังคมไทยเข้าสู่การรัฐประหาร เมื่อผู้มีอำนาจก่อนนั้นมีปัญหาทุจริต ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง ข่มขู่ คุกคาม ฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง โดยไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ เสมือนหนึ่งว่าอยู่เหนือกฎหมาย
และเพราะปัญหาตรงนี้หรือไม่ ที่ทำให้เกิดข่าวลือเกี่ยวกับการปฏิวัติอีกครั้ง
ปฏิวัติซ้อนนั้น เข้าใจไม่ยากอยู่แล้ว
เพราะตั้งแต่ช่วง 19-20 กันยายนที่ผ่านมา ก็มีข่าวคราวการเคลื่อนไหวช่วงชิงในการทำรัฐประหารอย่างเข้มข้น
หลังจาก 19 กันยายน เป็นต้นมา ก็มีความเคลื่อนไหวของคลื่นใต้น้ำ
ขณะที่นักการเมืองในกลุ่มอำนาจเก่า ตั้งแต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งโดยการสื่อสารทางจดหมาย หรือผ่านทนายส่วนตัว จนถึง พล.อ.ชวลิต ได้แสดงท่าทีที่ท้าทาย และเป็นปฏิปักษ์ กับรัฐบาล และคมช. อย่างเปิดเผยมากขึ้นในระยะหลัง
ศักยภาพของอำนาจเงิน และผู้สนับสนุนของกลุ่มอำนาจเก่าในกลไกของรัฐมีอยู่ไม่น้อยอยู่แล้ว
การสร้างเงื่อนไขของการปฏิวัติซ้อน คือการเดินไปในรูปของการก่อความวุ่นวายให้เห็นว่า รัฐบาล และคมช.ปกครองไม่ได้ การปลุกระดมกลุ่มต่างๆ ที่ไม่พอใจรัฐบาลและ คมช. ให้เคลื่นไหว จนนำไปสู่ การเผชิญหน้า และการปะทะกัน
ขอเรียกร้องต่อกลุ่มบุคคลที่คิดทำสิ่งนี้ว่า จงหยุดเถิด
หากอยากได้อำนาจ และเป็นนักประชาธิปไตยจริง มาช่วยกันดูแลให้ เราได้รัฐธรรมนูญที่ดีโดยเร็ว แล้วไปลงสนามเลือกตั้งแข่งขันกัน
หากบริสุทธิ์ ไม่มีความผิด ก็ต้องยอมรับการตรวจสอบ มาต่อสู้คดี อย่างตรงไปตรงมา หากถูกกลั่นแกล้ง สังคมก็จะช่วยต่อสู้ แม้แต่ตัวผม ซึ่งอยู่คนละฝ่ายทางการเมือง ก็พร้อมจะต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมให้อย่างเต็มที่
แต่การปฏิวัติซ้อน มีแต่จะทำให้ประเทศชาติ และ ประชาชน บอบช้ำมากขึ้นไปอีก
แม้จะทำสำเร็จก็ไม่มีทางเป็นชัยชนะที่ยั่งยืน รอแต่วันที่จะต้องเผชิญหน้ากับวงจรของการต่อต้านและความขัดแย้งไม่รู้จบ เหตุการณ์ปีที่ผ่านมาควรจะเป็นบทเรียนที่สำคัญ
สำหรับรัฐบาล และ คมช. นอกเหนือจากมาตรการด้านความมั่นคงแล้ว การป้องกันการประวัติซ้อนที่ดีที่สุด คือการไม่สร้างเงื่อนไขให้ตกเป็นเหยื่อ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเด็น การสืบทอดอำนาจ หรือความไม่โปร่งใสในรัฐบาล หรือ คมช. ต้องไม่มี
และการตรวจสอบต่างๆ ต้องให้ข้อเท็จจริงทุกด้านแก่ประชาชนให้มากที่สุด ให้เห็นว่า กระบวนการนี้ เดินไปอย่างจริงจัง ตรงไปตรงมา ไม่มีการกลั่นแกล้ง
ที่สำคัญที่สุด ต้องไม่เบี่ยงเบนตนไปจากภารกิจหลักคือการเร่งคืนประชาธิปไตย
แนวทางนี้เท่านั้น ที่จะทำให้บ้านเมืองคืนสู่ความสงบเรียบร้อย และดึงบ้านเมืองหลุดพ้นจากวิกฤติ และวงจรของความรุนแรง
ไม่ใช่การปฏิวัติซ้ำ
เพราะประเทศไทยคงไม่สามารถแบกรับปัญหาที่จะตามมา จากการปฏิวัติซ้ำ ในเรื่องภาพลักษณ์ ความเชื่อมั่น ผลกระทบทางเศรษฐกิจ และสังคม ซึ่งไม่แตกต่างกับกรณีที่มีการปฏิวัติซ้อน
การปฏิวัติครั้งที่ผ่านมามีข้อดีประการหนึ่งคือไม่มีการสูญเสียเลือดเนื้อ
และถือว่าสังคมให้โอกาสผู้ยึดอำนาจในการสะสางปัญหาต่างๆพอสมควร
แต่วันนี้ หากมีการปฏิวัติซ้ำ มีแต่จะทำให้ความเสี่ยงของการปฏิวัติซ้อนและความรุนแรงอื่นๆเพิ่มขึ้น
เมื่อตัดสินใจเดินมาในเส้นทางที่ได้เดินมาแล้ว ผู้มีอำนาจในขณะนี้ต้องพิสูจน์ตัวเองว่าสามารถใช้อำนาจนั้น อย่างมีประสิทธิภาพ ในการชำระสะสางปัญหาต่างๆ ที่ตกค้างมา
สถานการณ์ขณะนี้ จึงท้าทายสังคมไทยยิ่งนัก
แต่สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้อง ถ้าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม ก็ขอย้ำว่า
อย่าคิดปฏิวัติซ้ำ อย่าทำปฏิวัติซ้อน
*********************************
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 7 ม.ค. 2550--จบ--