นายสุกิจ คงปิยาจารย์ อุปนายกสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย เปิดเผยว่า จากการที่สหภาพยุโรป (อียู) ต้องยกเลิกมาตรการจำกัดการนำเข้าสินค้าสิ่งทอที่เพิ่มขึ้นมาก (เซฟการ์ด) จากประเทศจีนตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2551 หลังจากนั้นหากอียูจะใช้มาตรการอีกจะต้องมีข้อพิสูจน์ความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงมายืนยัน ไม่สามารถใช้มาตรการเซฟการ์ดโดยจำกัดโควตานำเข้าได้ทันทีเหมือนในช่วงที่ผ่านมา ในปี 2552 สหรัฐซึ่งเป็นตลาดนำเข้าสิ่งทอใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งได้ใช้มาตรการเซฟการ์ดกับสินค้าสิ่งทอจากจีนก็จะต้องยกเลิกใช้มาตรการนี้เช่นเดียวกันกับสหภาพยุโรป หากจะใช้มาตรการอีกจะต้องเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์ความเสียหายในลักษณะเดียวกัน ทั้งนี้ จากการที่ทั้งสองตลาดใหญ่ต้องเปิดให้นำเข้าสิ่งทอเสรีจากจีนตามกำหนดดังกล่าว คาดว่าจะส่งผลกระทบกับการส่งออกเครื่องนุ่งห่มและสิ่งทอจากไทยไปยังสองตลาดค่อนข้างมาก โดยจะทำให้ความสามารถในการแข่งขันของไทยลดลง ดังนั้นซึ่งผู้ประกอบการของไทยต้องเร่งปรับตัวรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น อนึ่ง ในปี 2549 ไทยส่งออกสินค้าเครื่องนุ่งห่มไปทั่วโลกมูลค่า 3,551.35 ล้านดอลลาร์(รวมเครื่องนุ่งห่มและสิ่งทอมูลค่า 6,842.10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 2.36 % ในจำนวนนี้สหรัฐและอียูเป็นตลาดส่งออกเครื่องนุ่งห่มสำคัญของไทยสัดส่วน 50 และ 27 % ตามลำดับ นายสุกิจ ให้ความเห็นถึงการส่งออกสินค้าเครื่องนุ่งห่มของไทยในปี 2550 ว่า มีแนวโน้มไม่สดใสนัก โดยกรมส่งเสริมการส่งออกได้ตั้งเป้าการส่งออกขยายตัวที่ 12 % จากปี 2549 ส่วนการส่งออกสินค้าเครื่องนุ่งห่มของไทยขยายตัวเพียง 2.36 % ประเด็นวิเคราะห์ จากแนวโน้มความสามารถในการแข่งขันทั้งสองตลาดที่ลดลงดังกล่าว สมาคมและกรมส่งเสริมการส่งออกได้เร่งปรับกลยุทธ์การส่งออกสินค้าเครื่องนุ่งห่มที่มีแบรนด์เนม เพื่อเจาะตลาดอาเซียนให้มากขึ้นโดยมีเป้าหมายเป็นผู้นำอุตสาหกรรมในย่านนี้ทั้งนี้ ผู้ส่งออก ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย คงมาตรการมาตรการกันสำรอง 30 % ไว้ก่อน หากยกเลิกอาจทำให้กระทบต่อภาคการส่งออกซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่า 60 % ของจีดีพี ที่มา: http://www.depthai.go.th