หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการเกี่ยวกับการรับ และเพิกถอนหลักทรัพย์จดทะเบียน (มีต่อ)

ข่าวกฏหมายและประกาศ Wednesday February 28, 1996 17:38 —ข้อบังคับและประกาศตลาดหลักทรัพย์ฯ

ข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการเกี่ยวกับการรับ และเพิกถอนหลักทรัพย์จดทะเบียน อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 170 (1) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ด้วยความเห็นชอบจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ออกข้อกำหนดไว้ดังต่อไปนี้ ข้อ 1 ในข้อบังคับนี้ "ตลาดหลักทรัพย์" หมายความว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย "คณะกรรมการ" หมายความว่า คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ "หลักทรัพย์จดทะเบียน" หมายความว่า หลักทรัพย์ที่ได้รับการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ "บริษัทจดทะเบียน" หมายความว่า บริษัทที่ออกหลักทรัพย์จดทะเบียน "บริษัทใหญ่" หมายความว่า บริษัทที่ถือหุ้นในบริษัทจดทะเบียนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมเกินกว่าร้อยละห้าสิบของทุนชำระแล้วของบริษัทจดทะเบียน "บริษัทย่อย" หมายความว่า บริษัทที่บริษัทจดทะเบียนถือหุ้นไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม เกินกว่าร้อยละห้าสิบของทุนชำระแล้วของบริษัทนั้น "บริษัทในเครือ"หมายความว่าบริษัทใหญ่บริษัทย่อยและบริษัทในเครือของบริษัทย่อยโดยอนุโลม "บริษัทร่วม" หมายความว่า บริษัทที่บริษัทจดทะเบียนถือหุ้นไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม เกินกว่าร้อยละยี่สิบแต่ไม่เกินร้อยละห้าสิบของทุนชำระแล้วของบริษัทนั้น "ผู้ยื่นคำขอ" หมายความว่า บริษัทมหาชนจำกัดหรือนิติบุคคลที่มีกฎหมายจัดตั้งขึ้นโดยเฉพาะ ที่ยื่นคำขอต่อตลาดหลักทรัพย์ให้รับหลักทรัพย์ของตนเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน "ผู้บริหาร" หมายความว่า กรรมการ กรรมการบริหาร ผู้จัดการ พนักงานระดับผู้จัดการฝ่ายขึ้นไป หรือผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งเทียบเท่าที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีอำนาจในการจัดการของบริษัทจดทะเบียน และรวมถึงบุคคลซึ่งบริษัทจดทะเบียนทำสัญญาให้มีอำนาจทั้งหมดหรือบางส่วนในการบริหารงานของบริษัทจดทะเบียน "ผู้ที่เกี่ยวข้อง" หมายความว่า บุคคลหรือห้างหุ้นส่วนตาม มาตรา 258(1) ถึง (7) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 "ผู้ถือหุ้นรายใหญ่" หมายความว่า ผู้ถือหุ้นไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในบริษัทจดทะเบียนรวมกันเกินกว่าร้อยละสิบของทุนชำระแล้วของบริษัทจดทะเบียนการถือหุ้นดังกล่าวให้นับรวมถึงหุ้นที่ถือโดยผู้ที่เกี่ยวข้องด้วย "เขตภูมิภาค" หมายความว่า พื้นที่นอกเขต 1 ตามที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนกำหนด "สำนักงานใหญ่" หมายความว่า ที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของผู้ยื่นคำขอ ซึ่งปรากฏในหนังสือรับรองการจดทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทที่ออกโดยกรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ ข้อ 2 การยื่นคำขอให้รับหลักทรัพย์ที่มิใช่ประเภทหุ้นสามัญเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน ผู้ที่ยื่นคำขอต้องดำเนินการให้ตลาดหลักทรัพย์พิจารณารับหลักทรัพย์ประเภทหุ้นสามัญของผู้ยื่นคำขอเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนก่อน ข้อ 3 การยื่นคำขอให้รับหลักทรัพย์เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน ผู้ยื่นคำขอต้องขอจดทะเบียน หลักทรัพย์ที่ออกทั้งหมดในแต่ละประเภทที่ขอจดทะเบียน ในกรณีของหุ้นกู้หรือหุ้นกู้แปลงสภาพ ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญหรือหุ้นบุริมสิทธิหรือหุ้นกู้ และหุ้นบุริมสิทธิที่มิใช่บุริมสิทธิชนิดเดียวกัน ผู้ยื่นคำขอไม่ต้องขอจดทะเบียนหลักทรัพย์เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนทุกครั้งที่มีการออกหลักทรัพย์ดังกล่าว ในกรณีที่มีการเพิ่มทุน บริษัทจดทะเบียนต้องขอจดทะเบียนหลักทรัพย์ในส่วนเพิ่มทุนทั้งหมดเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนด้วย หมวด 1 คุณสมบัติของหลักทรัพย์จดทะเบียน ข้อ 4 หลักทรัพย์ที่อาจยื่นคำขอให้ตลาดหลักทรัพย์พิจารณาเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน ได้แก่ หุ้นสามัญหุ้นบุริมสิทธิใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญหรือหุ้นบุริมสิทธิหรือหุ้นกู้หุ้นกู้ หรือหุ้นกู้แปลงสภาพต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ (1) เป็นหลักทรัพย์ชนิดระบุชื่อผู้ถือ (2) ไม่มีข้อจำกัดในการโอนหลักทรัพย์เว้นแต่ข้อจำกัดที่เป็นไปตามกฎหมาย ทั้งนี้ต้องระบุข้อจำกัดนั้นไว้ในข้อบังคับบริษัท ในกรณีที่หลักทรัพย์ของผู้ยื่นคำขอเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนแล้ว ข้อจำกัดการโอนหลักทรัพย์ต้องจดทะเบียนไว้กับตลาดหลักทรัพย์ด้วย หลักทรัพย์ตามวรรคหนึ่ง ต้องมีคุณสมบัติเฉพาะดังต่อไปนี้ 4.1 หุ้นสามัญ ต้องมีคุณสมบัติเฉพาะคือ มีมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละสิบบาทและชำระเต็มมูลค่าแล้วทั้งหมด 4.2 หุ้นบุริมสิทธิ ต้องมีคุณสมบัติเฉพาะดังต่อไปนี้ (ก) มีมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละสิบบาท และชำระเต็มมูลค่าแล้วทั้งหมด (ข) เป็นหุ้นบุริมสิทธิที่มีบุริมสิทธิในเงินปันผล และ/หรือในส่วนแบ่งคืนทุน เมื่อบริษัทจดทะเบียนเลิกกิจการและ/หรือบุริมสิทธิในเรื่องอื่น ๆ ตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด (ค) มีผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ ณ วันยื่นคำขอไม่ต่ำกว่าห้าสิบราย 4.3 หุ้นกู้หรือหุ้นกู้แปลงสภาพ ต้องมีคุณสมบัติเฉพาะดังต่อไปนี้ (ก) เป็นหุ้นกู้ที่ผู้ยื่นคำขอซึ่งเป็นบริษัทมหาชนจำกัดยื่นขออนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และได้รับอนุญาตแล้ว (ข) มีมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยบาทหรือต้องไม่ต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนดสำหรับหุ้นกู้บางประเภทหรือหุ้นกู้ที่ออกจำหน่ายก่อนวันที่ข้อบังคับนี้ใช้บังคับ และชำระเต็มมูลค่าแล้วทั้งหมด (ค) การออกหุ้นกู้จะต้องมีจำนวนไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยล้านบาท (ง) มีผู้ถือหุ้นกู้ ณ วันยื่นคำขอไม่ต่ำกว่าห้าสิบราย (จ) ผู้ถือหุ้นกู้ตาม (ง) แต่ละรายต้องถือหุ้นกู้ไม่ต่ำกว่าหนึ่งหน่วยการซื้อขาย โดยหน่วยการซื้อขายให้เป็นไปตามที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด (ฉ) เป็นหุ้นกู้ที่มีกำหนดเวลาไถ่ถอนหรือแปลงสภาพไม่น้อยกว่าสามปีนับแต่วันที่ออกหุ้นกู้นั้น แต่ทั้งนี้ไม่เป็นการห้ามมิให้ไถ่ถอนหรือแปลงสภาพบางส่วนที่กระทำก่อนครบกำหนดสามปีตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในการออกหุ้นกู้ (ช) ในกรณีที่เป็นหุ้นกู้แปลงสภาพต้องออกโดยบริษัทจดทะเบียนซึ่งมีหุ้นสามัญจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปี (ซ) มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ โดยสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ในกรณีที่มีการจัดตั้งสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือขึ้นแล้ว 4.4 ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญหรือหุ้นบุริมสิทธิหรือหุ้นกู้ ที่มีลักษณะดังต่อไปนี้ 4.4.1 ใบสำคัญแสดงสิทธิที่มีกำหนดเวลาไม่เกินสองเดือน นับแต่วันที่ออกใบสำคัญแสดงสิทธิและผู้ยื่นคำขอได้แจ้งสิทธิในการจองซื้อให้แก่ผู้ถือหุ้นทุกรายทราบแล้ว ต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ (ก) เป็นใบสำคัญแสดงสิทธิที่ผู้ยื่นคำขอได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ให้เสนอขายต่อประชาชนหรือบุคคลใด ๆ แล้วเฉพาะกรณีที่ผู้ยื่นคำขอต้องดำเนินการเช่นนั้นตามประกาศคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ซึ่งใช้บังคับกับกรณีดังกล่าว (ข) มีอัตราส่วนการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิหนึ่งหน่วยต่อหุ้นสามัญ หรือหุ้นบุริมสิทธิหรือหุ้นกู้ หนึ่งหุ้น ณ วันที่ออกหรืออัตราส่วนตามที่คณะกรรมการกำหนด (ค) เป็นใบสำคัญแสดงสิทธิที่ออกเพื่อเสนอขายต่อผู้ถือหุ้นทั้งจำนวน (ง) ต้องมีระยะเวลาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ไม่น้อยกว่าสิบวันทำการ 4.4.2 ใบสำคัญแสดงสิทธิที่มีกำหนดเวลาไม่เกินสิบปีนับแต่วันที่ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ ต้องมีคุณสมบัติเฉพาะดังต่อไปนี้ (ก) ต้องมีคุณสมบัติตาม 4.4.1 (ก) และ (ข) (ข) เป็นใบสำคัญแสดงสิทธิที่ออกโดยบริษัทจดทะเบียนซึ่งมีหุ้นสามัญจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปี (ค) มีผู้ถือใบสำคัญแสดงสิทธิ ณ วันยื่นคำขอไม่ต่ำกว่าสองร้อยห้าสิบราย (ง) มีจำนวนหุ้นสามัญหรือหุ้นบุริมสิทธิที่รองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิไม่เกินกว่าร้อยละสามสิบของทุนชำระแล้วทั้งหมดในขณะใดขณะหนึ่ง (จ) ต้องมีกำหนดวันชำระค่าหุ้นที่แน่นอนโดยสามารถกำหนดการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิได้มากกว่าหนึ่งครั้ง และมีระยะเวลาให้แสดงความจำนงในการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิครั้งสุดท้ายไม่น้อยกว่าสิบห้าวันก่อนวันใช้สิทธิ (ฉ) ไม่มีข้อห้ามในการที่ผู้ออกใบสำคัญแสดงสิทธิจะรับซื้อคืนก่อนครบกำหนดเวลา แต่ทั้งนี้ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในการออกใบสำคัญแสดงสิทธิ(ความเดิมในข้อ 4.4 ของข้อ 4 ถูกยกเลิกและใช้ความใหม่นี้แทนโดยข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการเกี่ยวกับการรับและเพิกถอนหลักทรัพย์จดทะเบียน (ฉบับที่ 4) ลงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2538)หมวด 2 คุณสมบัติของบริษัทจดทะเบียน ข้อ 5 ผู้ยื่นคำขอให้ตลาดหลักทรัพย์พิจารณารับหลักทรัพย์ประเภทหุ้นสามัญเป็นหลักทรัพย์ จดทะเบียน ต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ (1) ลักษณะธุรกิจ มีการประกอบธุรกิจหลักที่เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ (2) ทุนชำระแล้ว 2.1 ทุนชำระแล้วเฉพาะหุ้นสามัญต้องไม่ต่ำกว่าหกสิบล้านบาท 2.2 มีมูลค่าหุ้นสามัญตามราคาตลาดทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่าห้าร้อยล้านบาท 2.3 มูลค่าหุ้นสามัญตามราคาตลาดตาม 2.2 ให้กำหนดดังนี้ (ก) ในกรณีที่หลักทรัพย์ของผู้ยื่นคำขอมีการซื้อขายในศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์ให้ใช้ราคาซื้อขายหลักทรัพย์ในศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยถ่วงน้ำหนักสามสิบวันย้อนหลังนับแต่วันยื่นคำขอต่อตลาดหลักทรัพย์ (ข) ในกรณีที่หลักทรัพย์ของผู้ยื่นคำขอไม่มีการซื้อขายในศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์ ถ้าผู้ยื่นคำขอยื่นคำขอต่อตลาดหลักทรัพย์ภายในหนึ่งปีนับแต่วันสุดท้ายของการเสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชนให้ใช้ราคาเสนอขายต่อประชาชนทั่วไป แต่ถ้าผู้ยื่นคำขอยื่นคำขอต่อตลาดหลักทรัพย์ภายหลังหนึ่งปีนับแต่วันสุดท้ายของการเสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชน ให้ใช้ราคาที่เป็นธรรมที่ที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์เป็นผู้กำหนด 2.4 ทุนชำระแล้วไม่ว่าจะเป็นหุ้นสามัญหรือหุ้นบุริมสิทธิจะต้องชำระมูลค่าเป็นตัวเงินอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าร้อยละเจ็ดสิบห้าของทุนชำระแล้ว (3) การกระจายการถือหุ้นรายย่อย 3.1 มีผู้ถือหุ้นสามัญรายย่อยไม่ต่ำกว่าหกร้อยราย 3.2 ผู้ถือหุ้นรายย่อยตาม 3.1 แต่ละรายจะต้องถือหุ้นไม่เกินกว่าห้าในหนึ่งพันของทุนชำระแล้วแต่ไม่ต่ำกว่าหนึ่งหน่วยการซื้อขายโดยหน่วยการซื้อขายให้เป็นไปตามที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด และผู้ถือหุ้นดังกล่าวต้องถือหุ้นรวมกันภายใต้เงื่อนไขดังต่อไปนี้ (ก) ในกรณีที่ผู้ยื่นคำขอมีทุนชำระแล้วต่ำกว่าห้าร้อยล้านบาท ให้ผู้ถือหุ้นดังกล่าวถือหุ้นรวมกันไม่ต่ำกว่าร้อยละสามสิบของทุนชำระแล้ว (ข) ในกรณีที่ผู้ยื่นคำขอมีทุนชำระแล้วตั้งแต่ห้าร้อยล้านบาทขึ้นไป แต่ต่ำกว่าหนึ่งพันล้านบาทให้ผู้ถือหุ้นดังกล่าวถือหุ้นรวมกันไม่ต่ำกว่าร้อยละยี่สิบห้าของทุนชำระแล้ว หรือไม่ต่ำกว่าสิบห้าล้านหุ้นแล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า (ค) ในกรณีที่ผู้ยื่นคำขอมีทุนชำระแล้วตั้งแต่หนึ่งพันล้านบาทขึ้นไป แต่ต่ำกว่าสองพันล้านบาทให้ผู้ถือหุ้นดังกล่าวถือหุ้นรวมกันไม่ต่ำกว่าร้อยละยี่สิบของทุนชำระแล้ว หรือไม่ต่ำกว่ายี่สิบห้าล้านหุ้น แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า (ง)ในกรณีที่ผู้ยื่นคำขอมีทุนชำระแล้วตั้งแต่สองพันล้านบาทขึ้นไป ให้ผู้ถือหุ้นดังกล่าวถือหุ้นรวมกันไม่ต่ำกว่าร้อยละสิบห้าของทุนชำระแล้วหรือไม่ต่ำกว่าสี่สิบล้านหุ้น แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า ในกรณีที่ผู้ยื่นคำขอมีผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นส่วนราชการ กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยธนาคารแห่งประเทศไทย หรือรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ หรือนิติบุคคลที่มีกฎหมายจัดตั้งขึ้นโดยเฉพาะ ให้หักส่วนการถือหุ้นขององค์กรดังกล่าวออกจากทุนชำระแล้วในการคำนวณอัตราส่วนผู้ถือหุ้นตาม (ก) (ข) (ค) และ (ง) 3.3 ผู้ยื่นคำขอที่มีกองทุนรวมหรือโครงการลงทุนที่ได้รับอนุมัติตามกฎหมายถือหุ้นอยู่ด้วย ให้ผ่อนผันการนับจำนวนผู้ถือหุ้นและอัตราส่วนการถือหุ้นตาม 3.1และ 3.2 เฉพาะส่วนที่กองทุนรวมหรือโครงการลงทุนที่ได้รับอนุมัติตามกฎหมายถืออยู่ได้และในกรณีนี้ให้นับเป็นผู้ถือหุ้นสามัญสิบรายต่อทุกอัตราร้อยละหนึ่งของจำนวนหุ้นสามัญที่กองทุนรวมหรือโครงการลงทุนที่ได้รับอนุมัติตาม กฎหมายได้ถืออยู่แต่ไม่นับจำนวนรวมกันเป็นจำนวนเกินกว่าหนึ่งร้อยราย 3.4 ผู้ยื่นคำขอต้องกระจายการถือหุ้นโดยเสนอขายหุ้นต่อประชาชนภายใต้เงื่อนไขดังต่อไปนี้ (ก) ในกรณีที่ผู้ยื่นคำขอมีทุนชำระแล้วต่ำกว่าห้าร้อยล้านบาท จำนวนหุ้นที่เสนอขายสะสมแล้วต้องไม่ต่ำกว่าร้อยละยี่สิบของทุนชำระแล้ว (ข) ในกรณีที่ผู้ยื่นคำขอมีทุนชำระแล้วตั้งแต่ห้าร้อยล้านบาทขึ้นไป จำนวนหุ้นที่เสนอขายสะสมแล้วต้องไม่ต่ำกว่าร้อยละสิบของทุนชำระแล้ว หรือไม่ต่ำกว่าสิบล้านหุ้น แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า (ค) การเสนอขายหุ้นต่อประชาชน ต้องเป็นการเสนอขายโดยผ่านผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ โดยจะเป็นวิธีรับประกันผลการจำหน่ายหรือไม่ก็ได้ และเป็นหุ้นที่ออกใหม่จำนวนไม่ต่ำกว่าร้อยละสิบของจำนวนหุ้นที่เสนอขายต่อประชาชน และมีมูลค่าเกินกว่ายี่สิบล้านบาท ทั้งนี้ การคำนวณมูลค่าของหุ้นที่ออกใหม่ ให้ใช้ราคาเสนอขายต่อประชาชนทั่วไป (4) ผลการดำเนินงาน 4.1 ต้องสามารถแสดงได้ว่ามีผลการดำเนินงานดีตามสภาพและประเภทแห่งธุรกิจ โดยมีการดำเนินงานภายใต้การจัดการของผู้บริหารส่วนใหญ่เป็นชุดเดียวกันมาอย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่าสามปีก่อนยื่นคำขอโดยมีผลกำไรสุทธิจากการดำเนินงานตามปกติหลังภาษีติดต่อกันสามปีสุดท้ายก่อนยื่นคำขอรวมกันไม่ต่ำกว่าห้าสิบล้านบาทโดยในสองปีแรกของสามปีก่อนยื่นคำขอต้องมีผลกำไรสุทธิไม่ต่ำกว่าปีละห้าล้านบาท และในปีสุดท้ายก่อนยื่นคำขอต้องมีผลกำไรสุทธิไม่ต่ำกว่ายี่สิบห้าล้านบาท หรือมีผลกำไรสุทธิสามปีสุดท้ายก่อนยื่นคำขอรวมกันแล้วไม่ต่ำกว่าแปดสิบล้านบาท โดยมีผลกำไรสุทธิติดต่อกันสองปีสุดท้ายก่อนยื่นคำขอและผลกำไรสุทธิในปีสุดท้ายก่อนยื่นคำขอต้องมากกว่าปีก่อนนั้น ในกรณีผู้ยื่นคำขอมีบริษัทย่อย กำไรสุทธิข้างต้นให้หมายถึง กำไรสุทธิของผู้ยื่นคำขอและกำไรสุทธิรวมของผู้ยื่นคำขอและบริษัทย่อย 4.2 มีแนวโน้มการดำเนินงานที่ดี มีแผนงานต่อเนื่องในระยะยาว และมีโอกาสขยายการดำเนินงานในอนาคต (5) ฐานะการเงินและสภาพคล่อง 5.1 ต้องสามารถแสดงได้ว่ามีฐานะการเงินมั่นคงและมีเงินทุนหมุนเวียนเพียงพอ 5.2 มีสัดส่วนของหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่เหมาะสมเทียบได้กับสัดส่วนที่เป็นอยู่ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง 5.3 ไม่มีผลขาดทุนสะสมในส่วนของผู้ถือหุ้น (6) ผู้บริหาร 6.1 มีผู้บริหารที่เป็นที่มั่นใจของคณะกรรมการว่ามีจริยธรรมและความซี่อสัตย์สุจริต มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ในธุรกิจที่ผู้ยื่นคำขอทำอยู่รวมทั้งมีการจัดการที่มีประสิทธิภาพมีความตั้งใจที่จะประกอบธุรกิจอย่างต่อเนื่องและเป็นที่มั่นใจของคณะกรรมการว่าจะสามารถดำเนินธุรกิจดังกล่าวไปได้ด้วยดี 6.2 มีกรรมการที่เป็นอิสระอย่างน้อยสองคนซึ่งมีคุณวุฒิหรือประสบการณ์ในธุรกิจที่ผู้ยื่นคำขอทำอยู่โดยบุคคลดังกล่าวมีคุณสมบัติตามที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด (7) ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ ต้องไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ระหว่างผู้ยื่นคำขอกับผู้บริหาร ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ และบริษัทอื่นซึ่งมีผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นรายใหญ่กลุ่มเดียวกัน (8) งบการเงินและผู้สอบบัญชี (ก) ผู้สอบบัญชีของผู้ยื่นคำขอต้องได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ข) ในกรณีที่ผู้ยื่นคำขอมีบริษัทในเครือผู้สอบบัญชีของบริษัทในเครือ ต้องเป็นผู้สอบบัญชีคนเดียวกันหรือสำนักงานเดียวกันกับผู้สอบบัญชีของผู้ยื่นคำขอ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากตลาดหลักทรัพย์ (ค) รายงานการสอบบัญชีต้องเป็นรายงานที่ไม่มีเงื่อนไข หรือในกรณีที่มีเงื่อนไขต้องไม่เป็นเงื่อนไขอย่างร้ายแรง ซึ่งต้องระบุเป็นจำนวนเงินได้ชัดเจนและไม่มีผลกระทบต่อฐานะการเงินอย่างร้ายแรง (ง) ต้องไม่มีการเปลี่ยนรอบระยะเวลาบัญชีในปีการเงินสุดท้ายก่อนยื่นคำขอและปีที่ยื่นคำขอ ในกรณีผู้ยื่นคำขอมีบริษัทในเครือ รอบระยะเวลาบัญชีของบริษัทในเครือต้องสอดคล้องกับรอบระยะเวลาบัญชีของผู้ยื่นคำขอ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากตลาดหลักทรัพย์ (จ) งบการเงินในปีสุดท้ายก่อนปีที่ยื่นคำขอ และในปีที่ยื่นคำขอต้องผ่านการสอบทานและ/หรือตรวจสอบจากผู้สอบบัญชีคนเดียวกันและงบการเงินล่าสุดต้องไม่นานเกินกว่าสี่เดือนก่อนยื่นคำขอ (ฉ) งบกำไรขาดทุนในปีสุดท้ายก่อนยื่นคำขอต้องแสดงผลการดำเนินงาน แยกออกเป็นรายไตรมาสและในปีที่ยื่นคำขอต้องแสดงผลการดำเนินงานเต็มปี โดยแยกผลการดำเนินงานที่เกิดขึ้นจริงจนถึงไตรมาสสุดท้ายก่อนวันยื่นคำขอและที่ประมาณการสำหรับไตรมาสที่เหลือของปี โดยต้องผ่านการสอบทานของผู้สอบบัญชี (ช) ในกรณีที่ผู้ยื่นคำขอมีบริษัทร่วม ผู้ยื่นคำขอต้องรับรู้ผลการดำเนินงานของบริษัทร่วมในปีที่ผลการดำเนินงานเกิดขึ้นเป็นรายได้ของผู้ยื่นคำขอในอัตราร้อยละของเงินลงทุนในบริษัทร่วมนั้น (9) การจ่ายเงินปันผล มีนโยบายเกี่ยวกับการจ่ายหรือไม่จ่ายเงินปันผลที่ชัดเจน ในกรณีที่มีนโยบายจ่ายเงินปันผลต้องระบุอัตราเงินปันผลให้ชัดเจน ข้อ 6 ในกรณีผู้ยื่นคำขอเป็นบริษัทในเครือของบริษัทจดทะเบียน ขนาดธุรกิจของผู้ยื่นคำขอ ณ วันยื่นคำขอต้องมีจำนวนไม่เกินกว่าร้อยละยี่สิบห้าของสินทรัพย์หรือกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนดังกล่าว และต้องมีคุณสมบัติเพิ่มเติมดังต่อไปนี้ (1) มีการประกอบธุรกิจที่มีลักษณะแตกต่างจากธุรกิจของบริษัทจดทะเบียนดังกล่าว โดยมีกลุ่มลูกค้าและคู่แข่งแยกจากกัน (2) เป็นบริษัทที่กำลังเติบโตและมีความต้องการเงินทุนสำหรับการขยายงาน (3) มีความเป็นอิสระในการบริหารงาน เป็นศูนย์กำไรแยกจากบริษัทจดทะเบียนดังกล่าว (4) ไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ระหว่างผู้ยื่นคำขอกับบริษัทจดทะเบียนดังกล่าว ข้อ 7 ในกรณีที่ผู้ยื่นคำขอเป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นใหม่ ต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ (1) เป็นการลงทุนในโครงการที่เป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานซึ่งได้รับสัมปทานจากหน่วยงานราชการ หรือรัฐวิสาหกิจ โดยมีอายุสัมปทานไม่ต่ำกว่ายี่สิบปีนับจากปีที่ยื่นคำขอ หรือเป็นอุตสาหกรรมพื้นฐานขนาดใหญ่ที่มีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ในกรณีที่เป็นโครงการซึ่งได้รับสัมปทาน ผู้ยื่นคำขอต้องดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ ที่จำเป็นของหน่วยงานราชการ หรือรัฐวิสาหกิจเกี่ยวกับการได้รับสัมปทานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว (2) มีต้นทุนโครงการไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นล้านบาท และสามารถก่อให้เกิดรายได้จำนวนเพียงพอที่จะให้ผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นในอัตราที่เหมาะสม (3) มีความจำเป็นต้องระดมทุนเพื่อใช้กับโครงการก่อนที่โครงการจะสามารถก่อให้เกิดรายได้จำนวนเพียงพอสำหรับดำเนินธุรกิจต่อไปและโครงการอยู่ในขั้นที่จำเป็นต้องระดมทุนเพื่อเริ่มดำเนินโครงการ (4) มีการลงทุนในโครงการโดยผู้เริ่มโครงการไม่ต่ำกว่าร้อยละห้าสิบของทุนชำระแล้วสำหรับโครงการทั้งหมด และต้องมีแหล่งสนับสนุนทางการเงินโดยมีหนังสือรับรองจากสถาบันการเงิน (5) มีการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการโดยบุคคลที่สามซึ่งเชื่อถือได้ (6) มีผู้บริหารที่มีความรู้และประสบการณ์ที่จะดำเนินโครงการ รวมทั้งมีประสบการณ์ด้านการเงิน การผลิตและการตลาดที่จำเป็นหรือสามารถจัดหาผู้เชี่ยวชาญภายนอกที่สามารถดำเนินโครงการให้สำเร็จได้ ให้นำความในข้อ 5 (2) (3) (5) (6) (7) (8) และ (9) มาใช้บังคับแก่การพิจารณาคุณสมบัติของผู้ยื่นคำขอตามข้อนี้ด้วย ข้อ 8 ในกรณีผู้ยื่นคำขอมีการประกอบธุรกิจหลักอยู่ในเขตภูมิภาคโดยมีสถานที่ประกอบ ธุรกิจหลักและการใช้แรงงานส่วนใหญ่อยู่ในเขตภูมิภาค ต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ (1) มีสำนักงานใหญ่อยู่ในเขตภูมิภาค ในกรณีที่ผู้ยื่นคำขอไม่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในเขตภูมิภาค ผู้ยื่นคำขอต้องดำเนินการย้ายสำนักงานใหญ่ไปอยู่ในเขตภูมิภาคภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่คณะกรรมการสั่งรับหลักทรัพย์ของผู้ยื่นคำขอเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน (2) ทุนชำระแล้ว 2.1 ทุนชำระแล้วเฉพาะหุ้นสามัญต้องไม่ต่ำกว่าสี่สิบล้านบาท 2.2 มีมูลค่าหุ้นสามัญตามราคาตลาดทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่าสองร้อยล้านบาท (3) การกระจายการถือหุ้นรายย่อย 3.1 มีผู้ถือหุ้นสามัญรายย่อยไม่ต่ำกว่าสามร้อยราย 3.2 ผู้ถือหุ้นรายย่อยตาม 3.1 แต่ละรายจะต้องถือหุ้นไม่เกินกว่าห้าในหนึ่งพันของทุนชำระแล้วแต่ไม่ต่ำกว่าหนึ่งหน่วยการซื้อขายโดยหน่วยการซื้อขายให้เป็นไปตามที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด และผู้ถือหุ้นดังกล่าวต้องถือหุ้นรวมกันภายใต้เงื่อนไขดังต่อไปนี้ (ก) ในกรณีที่ผู้ยื่นคำขอมีทุนชำระแล้วต่ำกว่าห้าร้อยล้านบาท ให้ผู้ถือหุ้น ดังกล่าวถือหุ้นรวมกันไม่ต่ำกว่าร้อยละยี่สิบของทุนชำระแล้ว (ข) ในกรณีที่ผู้ยื่นคำขอมีทุนชำระแล้วตั้งแต่ห้าร้อยล้านบาทขึ้นไป แต่ต่ำกว่าหนึ่งพันล้านบาทให้ผู้ถือหุ้นดังกล่าวถือหุ้นรวมกันไม่ต่ำกว่าร้อยละสิบห้าของทุนชำระแล้วหรือไม่ต่ำกว่าสิบล้านหุ้นแล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า (ค) ในกรณีที่ผู้ยื่นคำขอมีทุนชำระแล้วตั้งแต่หนึ่งพันล้านบาทขึ้นไป แต่ต่ำกว่าสองพันล้านบาทให้ผู้ถือหุ้นดังกล่าวถือหุ้นรวมกันไม่ต่ำกว่าร้อยละสิบสองจุดห้าของทุนชำระแล้ว หรือไม่ต่ำกว่าสิบห้าล้านหุ้น แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า (ง) ในกรณีที่ผู้ยื่นคำขอมีทุนชำระแล้วตั้งแต่สองพันล้านบาทขึ้นไป ให้ผู้ถือหุ้นดังกล่าวถือหุ้นรวมกันไม่ต่ำกว่าร้อยละสิบของทุนชำระแล้วหรือไม่ต่ำกว่ายี่สิบห้าล้านหุ้น แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า ในกรณีที่ผู้ยื่นคำขอมีผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นส่วนราชการ กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยธนาคารแห่งประเทศไทย หรือรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบ ประมาณ หรือนิติบุคคลที่มีกฎหมายจัดตั้งขึ้นโดยเฉพาะ ให้หักส่วนการถือหุ้นขององค์กรดังกล่าวออกจาก ทุนชำระแล้วในการคำนวณอัตราส่วนผู้ถือหุ้นตาม (ก) (ข) (ค) และ (ง) 3.3 ผู้ยื่นคำขอต้องกระจายการถือหุ้นโดยเสนอขายหุ้นต่อประชาชนภายใต้เงื่อนไขดังต่อไปนี้ (ก) ในกรณีที่ผู้ยื่นคำขอมีทุนชำระแล้วต่ำกว่าห้าร้อยล้านบาท จำนวนหุ้นที่เสนอขายสะสมแล้วต้องไม่ต่ำกว่าร้อยละสิบห้าของทุนชำระแล้ว (ข) ในกรณีที่ผู้ยื่นคำขอมีทุนชำระแล้วตั้งแต่ห้าร้อยล้านบาทขึ้นไป จำนวนหุ้นที่เสนอขายสะสมแล้วต้องไม่ต่ำกว่าร้อยละสิบของทุนชำระแล้ว หรือไม่ต่ำกว่าเจ็ดล้านห้าแสนหุ้นแล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า (4) ต้องสามารถแสดงได้ว่ามีผลการดำเนินงานดีตามสภาพและประเภทแห่งธุรกิจและมีการดำเนินงานภายใต้การจัดการของผู้บริหารส่วนใหญ่เป็นชุดเดียวกันอย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่าสามปีก่อนยื่นคำขอโดยมีผลกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติหลังภาษีในปีสุดท้ายก่อนยื่นคำขอหรือสองปีสุดท้ายรวมกันก่อนยื่นคำขอไม่ต่ำกว่าสิบห้าล้านบาท ในกรณีผู้ยื่นคำขอมีบริษัทย่อย กำไรสุทธิข้างต้นให้หมายถึงกำไรสุทธิของผู้ยื่นคำขอและกำไรสุทธิรวมของผู้ยื่นคำขอและบริษัทย่อย (5) ในกรณีที่มีผลขาดทุนสะสมในส่วนของผู้ถือหุ้น ผลขาดทุนสะสม ณ วันยื่นคำขอ รวมกันต้องไม่เกินร้อยละยี่สิบห้าของทุนชำระแล้วและส่วนของผู้ถือหุ้นต้องไม่ต่ำกว่าทุนชำระแล้ว ทั้งนี้ผู้ ยื่นคำขอต้องสามารถทำกำไรหักล้างผลขาดทุนสะสมได้ภายในสามปีนับแต่วันที่หลักทรัพย์ของผู้ยื่นคำขอ เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน ให้นำความในข้อ 5 (1) ข้อ 5 (2) 2.3, 2.4, ข้อ 5 (3) 3.3, 3.4 (ค) ข้อ 5 (4) 4.2 ข้อ 5 (5) 5.1, 5.2 ข้อ 5 (6) ข้อ 5 (7) ข้อ 5 (8) และข้อ 5 (9) มาใช้บังคับแก่การพิจารณาคุณสมบัติของผู้ยื่นคำขอตามข้อนี้ด้วย ข้อ 9 ในกรณีที่ผู้ยื่นคำขอเป็นบริษัทในเครือของบริษัทจดทะเบียนและมีคุณสมบัติตามข้อ 8 ให้นำความในข้อ 6 มาใช้บังคับแก่การพิจารณาคุณสมบัติของผู้ยื่นคำขอด้วย ในกรณีที่ผู้ยื่นคำขอเป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นใหม่และมีคุณสมบัติตามข้อ8ยกเว้น (4) ให้นำความในข้อ7(1)(2) (3) (4) (5) และ (6) มาใช้บังคับแก่การพิจารณาคุณสมบัติของผู้ยื่นคำขอด้วย หมวด 3 วิธีการยื่นคำขอและการพิจารณารับหลักทรัพย์จดทะเบียน ข้อ 10 ผู้ยื่นคำขอที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามข้อ 5 ข้อ 6 ข้อ 7 ข้อ 8 หรือข้อ 9 หรือผู้ยื่นคำขอที่เป็นบริษัทจดทะเบียนซึ่งมีหุ้นสามัญเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนแล้ว และมีหลักทรัพย์ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามข้อ 4อาจยื่นคำขอให้ตลาดหลักทรัพย์พิจารณารับหลักทรัพย์เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนโดยยื่นคำขอพร้อมคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนที่ยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์และมีผลใช้บังคับแล้ว และเอกสารอื่นตามที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด พร้อมทั้งชำระค่าธรรมเนียมในการยื่นคำขอให้รับหลักทรัพย์ตามอัตราที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด ข้อ 11 ในการยื่นคำขอให้รับหลักทรัพย์ผู้ยื่นคำขอต้องมีที่ปรึกษาทางการเงินซึ่งมีคุณสมบัติ ที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนดเป็นผู้ร่วมจัดทำคำขอให้รับหลักทรัพย์ ข้อ 12 ในระหว่างพิจารณาคำขอให้รับหลักทรัพย์ หากผู้ยื่นคำขอประสงค์จะแก้ไขเพิ่มเติม ข้อมูลหรือเอกสารที่ยื่นไว้ต่อตลาดหลักทรัพย์ตามข้อ 10 ให้ยื่นขอแก้ไขเพิ่มเติมได้โดยต้องแสดงข้อแตกต่างในการแก้ไขเพิ่มเติมให้ชัดเจน เว้นแต่การขอแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมในสาระสำคัญ คณะกรรมการอาจกำหนดให้การแก้ไขเพิ่มเติมนั้นมีผลเป็นการยื่นคำขอให้รับหลักทรัพย์ใหม่ ข้อ 13 ในการพิจารณาคำขอให้รับหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์อาจเรียกให้ผู้ยื่นคำขอมาชี้แจง ส่งเอกสารหรือหลักฐานใดๆเพิ่มเติมได้ตามที่เห็นสมควรภายในระยะเวลาที่กำหนด ข้อ 14 ในการพิจารณาคำขอให้รับหลักทรัพย์ให้คณะกรรมการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นคณะหนึ่งเพื่อทำหน้าที่พิจารณาคุณสมบัติของหลักทรัพย์และผู้ยื่นคำขอและเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการ ให้คณะอนุกรรมการตามวรรคหนึ่งประกอบด้วยอนุกรรมการไม่น้อยกว่าสิบเอ็ดคน โดยใน จำนวนนี้อย่างน้อยต้องประกอบด้วยบุคคลจากกลุ่มต่าง ๆ ดังนี้ (1) ผู้แทนจากบริษัทหลักทรัพย์ซึ่งเป็นสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์จำนวนสองคน ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงหรือกรรมการของบริษัท (2) ผู้แทนของบริษัทจดทะเบียนจำนวนสองคน ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง หรือกรรมการของบริษัทจดทะเบียนและไม่ได้มาจากบริษัทหลักทรัพย์ซึ่งเป็นสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์ หรือกรรมการตลาดหลักทรัพย์ซึ่งคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แต่งตั้ง (3) กรรมการตลาดหลักทรัพย์ซึ่งคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ แต่งตั้งจำนวนสองคน (4) ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนห้าคน ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านต่าง ๆ เช่น ด้านการเงิน การจัดการกองทุน วิชาการ กฎหมาย บัญชี ที่ปรึกษาทางการเงิน ซึ่งมีประสบการณ์ในการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับงานนำหลักทรัพย์เข้าจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ และไม่ได้มาจากบริษัทหลักทรัพย์ซึ่งเป็นสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์ ข้อ 15 คณะอนุกรรมการตามข้อ 14 อาจเป็นผู้ที่เป็นกรรมการในคณะกรรมการก็ได้ และ ประธานของคณะอนุกรรมการต้องเป็นผู้ที่เป็นกรรมการในคณะกรรมการด้วย ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์อาจได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอนุกรรมการก็ได้ ข้อ 16 อนุกรรมการที่คณะกรรมการแต่งตั้ง ต้องมีคุณสมบัติดังนี้ (1) ต้องมีความรู้หรือประสบการณ์เกี่ยวกับธุรกิจ การเงินหรืออุตสาหกรรมเป็นอย่างดี (2) ต้องเป็นบุคคลที่ได้รับการยกย่องในวงวิชาชีพหรืออาชีพนั้น (3) ต้องมีเวลาพอที่จะสามารถปฏิบัติงานตามหน้าที่และความรับผิดชอบของอนุกรรมการ ตลอดระยะเวลาที่ได้รับการแต่งตั้ง ข้อ 17 ให้อนุกรรมการที่คณะกรรมการแต่งตั้งตามข้อ 14 มีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละหนึ่งปี อนุกรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระอาจได้รับการแต่งตั้งใหม่อีกได้ นอกจากการพ้นตำแหน่งตามวาระแล้ว อนุกรรมการพ้นจากตำแหน่งเมื่อ (1) ตาย (2) ลาออก (3) คณะกรรมการมีมติให้ออก (4) เป็นผู้ขาดคุณสมบัติตามข้อ 16 ในกรณีที่อนุกรรมการพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ คณะกรรมการอาจแต่งตั้งผู้อื่นเป็น อนุกรรมการแทน และให้ผู้ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเท่าวาระที่เหลืออยู่ของอนุกรรมการซึ่งตนแทน ข้อ 18 ในการพิจารณาคำขอให้รับหลักทรัพย์ของคณะอนุกรรมการต้องมีอนุกรรมการมา ประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนอนุกรรมการทั้งหมดจึงจะเป็นองค์ประชุม ในการพิจารณาคำขอให้รับหลักทรัพย์ให้คณะอนุกรรมการลงคะแนนเสียงโดยเปิดเผย เว้นแต่มีอนุกรรมการอย่างน้อยหนึ่งคนร้องขอและที่ประชุมคณะอนุกรรมการมีมติให้ลงคะแนนลับก็ให้ลงคะแนนลับ และการวินิจฉัยชี้ขาดของคณะอนุกรรมการให้ถือเสียงข้างมากถ้าคะแนนเสียงเท่ากันให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด ในกรณีที่อนุกรรมการผู้ใดมีส่วนได้เสียใด ๆ ในเรื่องที่พิจารณา ห้ามมิให้เข้าร่วมพิจารณา ในเรื่องนั้น ข้อ 19 ในระหว่างพิจารณาคำขอให้รับหลักทรัพย์ห้ามมิให้ผู้บริหาร หรือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของผู้ยื่นคำขอ ตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลดังกล่าวทำการซื้อหรือขายหลักทรัพย์นั้น ทั้งนี้ให้ผู้ยื่นคำขอแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ในกรณีที่มีการซื้อหรือขายเกิดขึ้นหรือสงสัยว่าจะมีการซื้อหรือขายหลักทรัพย์ของบุคคลดังกล่าว คณะกรรมการอาจปฏิเสธไม่พิจารณาคำขอให้รับหลักทรัพย์ของผู้ยื่นคำขอ หากมีการซื้อหรือขายหลักทรัพย์ของบุคคลตามวรรคหนึ่ง ข้อ 20 ในการพิจารณาคำขอให้รับหลักทรัพย์ นอกจากคณะกรรมการจะพิจารณาคุณสมบัติ ของหลักทรัพย์และผู้ยื่นคำขอตามที่กำหนดแล้ว คณะกรรมการอาจพิจารณาถึงปัจจัยอื่น ๆ ประกอบดังต่อไปนี้ (1) ลักษณะของตลาดของผลิตภัณฑ์ (2) สภาพของอุตสาหกรรม โอกาสในการเติบโตและขยายตัว รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี (3) สภาพการแข่งขันของธุรกิจของผู้ยื่นคำขอในปัจจุบันและในอนาคตรวมทั้งการมีสินค้าทดแทน(4) ความสามารถของผู้ยื่นคำขอในการดำเนินการเกี่ยวกับปัจจัยพิเศษต่าง ๆ เช่น การที่ผู้ยื่นคำขอต้องพึ่งพาผู้ขายโดยการซื้อวัตถุดิบหรือการขายสินค้าให้แก่ลูกค้าเพียงไม่กี่ราย (5) ความสามารถในการดำรงสถานภาพของการประกอบธุรกิจของผู้ยื่นคำขอ ในกรณีที่โครงสร้างอุตสาหกรรมมีการเปลี่ยนแปลง (6) ปัจจัยอื่น ๆ ตามที่คณะกรรมการเห็นสมควร ข้อ 21 คณะกรรมการจะพิจารณาคำขอให้รับหลักทรัพย์ให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่ วันที่ตลาดหลักทรัพย์ได้รับเอกสารหลักฐานที่ถูกต้องครบถ้วนจากผู้ยื่นคำขอแล้ว ในการนับระยะเวลาตามวรรคหนึ่ง มิให้นับระยะเวลาตั้งแต่วันที่ผู้ยื่นคำขอได้ขอแก้ไขเพิ่มเติมข้อมูลหรือเอกสารตามข้อ12 หรือวันที่ตลาดหลักทรัพย์ได้สั่งการตามข้อ 13 จนถึงวันที่ตลาดหลักทรัพย์ได้รับข้อมูลหรือเอกสารโดยครบถ้วน ข้อ 22 ก่อนที่คณะกรรมการจะสั่งรับหลักทรัพย์ของผู้ยื่นคำขอเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน ให้คณะกรรมการกำหนดให้ผู้ยื่นคำขอสั่งห้ามผู้บริหาร หรือผู้ถือหุ้นและผู้ที่เกี่ยวข้องของผู้ถือหุ้นซึ่งถือหุ้นในบริษัทจดทะเบียนรวมกันเกินกว่าร้อยละห้าของทุนชำระแล้วของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งมีจำนวนหุ้นสามัญ รวมกันตามที่คณะกรรมการกำหนดนำหุ้นจำนวนดังกล่าวออกขายตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการ กำหนด ข้อ 23 ในการพิจารณาคำขอให้รับหลักทรัพย์ ให้คณะกรรมการลงคะแนนเสียงโดยเปิดเผย เว้นแต่มีกรรมการอย่างน้อยหนึ่งคนร้องขอ และที่ประชุมคณะกรรมการมีมติให้ลงคะแนนลับก็ให้ลงคะแนนลับ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ