MINT คาดรายได้ H2 ฟื้น-ทั้งปีโตได้ แต่กำไรหด,อาจปรับเพิ่มงบลงทุน 5 ปี

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday August 17, 2009 14:37 —SMS: IQ ข่าวหุ้น

นางปรารถนา มงคลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT)เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทคาดว่ากำไรจะลดลงจากปีก่อน 10-20% แม้ว่ารายได้รวมคาดว่าจะโต 8-9% จากปีก่อน เนื่องจากรายได้และกำไรในธุรกิจโรงแรมปรับตัวลดลงมาก ถึงจะมีรายได้จากธุรกิจอาหารที่เติบโตดีขึ้นเข้ามาชดเชยแต่ก็ยังไม่เพียงพอ

ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทคาดว่าจะรายได้จะดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากสถานการณ์ไข้หวัดใหญ่ 2009 เริ่มคลี่คลาย และไตรมาส 4/52 เป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจโรงแรม

"ธุรกิจของบริษัทรับรู้กำไรจากธุรกิจโรงแรมเป็นหลัก และปีนี้กำไรจากธุรกิจโรงแรมลดลงจากปัญหาการท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ แต่ธุรกิจอาหารก็มาช่วยให้บริษัทมีรายได้เติบโต แต่ธุรกิจอาหารกำไรน้อยกว่าธุรกิจโรงแรมค่อนข้างมาก"นางปรารถนา กล่าว

นางปรารถนา กล่าวว่า ตอนนี้สถานการณ์ไข้หวัดใหญ่เริ่มคลี่คลายและกำลังจะมีวัคซีนออกมา ประชาชนน่าจะตื่นกลัวน้อยลง และไตรมาส 4/52 เศรษฐกิจโลกน่าจะกลับมาดีอีกครั้ง ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทย แต่ยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับปัจจัยการเมืองในประเทศที่ยังมีความไม่แน่อนหากมีปัญหาขึ้นมาอีก จะส่งผลระทบต่อการท่องเที่ยวโดยตรง เห็นได้จากช่วงที่ผานมาอัตราการเข้าพักของโรงแรมในประเทศติดลบ 20-25% ขณะที่ต่างประเทศลดลงเพียง 15%

สัดส่วนรายได้ของ MINT มาจากโรงแรมในประเทศถึง 90% ส่วนโรแรมในต่างประเทศเพียง 10% เนื่องจากโครงการต่างประเทศเป็นการลงทุนในรูปแบบ Joint Venger หากการเมืองมีปัญหาขึ้นมาอีกครั้งก็จะส่งผลต่อการท่องเที่ยวในประเทศ" นางปรารถนา กล่าวทิ้งท้าย

นางปรารถนา กล่าวว่า MINT จะยังคงเดินหน้าลงทุนอย่างต่อเนื่องในปี 53 โดยจะใช้เงินประมาณ 4.2 พันล้านบาท แบ่งเป็น ลงทุนในธุรกิจโรแงรม 2.4 พันล้านบาท ธุรกิจอาหาร 1.1 พันล้านบาท และธุรกิจอื่นๆ อีก 700 ล้านบาท ซึ่งเงินลงทุนจะมาจากกระแสเงินสด โดยบริษัทมีแผนจะก่อสร้างโรงแรมที่ Anantara Baa Atoll ที่มัลดีฟ และก่อสร้างโครงการ St.Regis ที่ราชดำริ และก่อสร้างโรงแรมโฟร์ซีซั่นที่เชียงใหม่ นอกจากนั้นมีแผนที่จะขยายสาขาร้านอาหารรวมกันอีกประมาณ 80-100 สาขาในทุกแบรนด์

ส่วนเงินจากการออกหุ้นกู้ 2 พันล้านบาทเมื่อเดือนก.ค. บริษัทได้นำไปรีไฟแนนซ์เงินกู้ทั้งจำนวน ส่วนวงเงินออกหุ้นกู้ทั้งหมด 1.5 หมื่นล้านบาท ออกไปแล้ว 3.5 พันล้านบาท ขณะนี้ยังไม่มีแนวโน้มที่จะออกอีก แต่อย่างไรก็ตาม ก็ต้องขึ้นกับจังหวะและโอกาสการออกหุ้นกู้ ถ้ามีโอกาสก็จะดำเนินการ

ขณะที่การลงทุนอื่นๆ ของบริษัทในปีนี้ น่าจะได้ข้อสรุปการลงทุนเพิ่มในธุรกิจอาหารอีก 1 แบรนด์ ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาในภูมิภาคแถบเอเซียแปซิฟิค หลังจากบริษัทได้ปิดแบรนด์"เลอแจ๊ส"ไป ซึ่งตัวธุรกิจหากมีการลงทุนเพิ่มในปีนี้บริษัทก็มีวงเงินกู้จากธนาคารกสิกรไทย (KBANK) อีก 4 พันล้านบาทเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการลงทุน

นางปรารถนา กล่าวถึงแผนการลงทุน 5 ปี (2553-2557) เบื้องต้นกำหนดงบลงทุนกว่า 1 หมื่นล้านบาททั้งในส่วนของธุรกิจอาหาร โรงแรมและรีเทล แต่มีโอกาสจะปรับงบลงทุนเพิ่มขึ้นอีก 1.2-1.5 หมื่นล้านบาทในธุรกิจโรงแรม หากธุรกิจโรงแรมกลับมาฟื้นตัวและมีแนวโน้มที่ดีขึ้น

"ตอนนี้จนถึง 6 เดือนข้างหน้าเรายังจับตาดูทรัพย์สินที่มีปัญหา น่าจะมีโอกาสให้เราเข้าซื้อ เนื่องจากสถาบันการเงินในต่างประเทศที่มีปัญหาเคลียร์ปัญหาในสหรัฐ ยุโรปเสร็จแล้วน่าจะมาเคลียร์ในแถบเอเชีย" นางปรารถนา กล่าว

นางปรารถนา กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการต่างๆ อาทิ โครงการ St. Regis ปัจจุบันขายได้แล้ว 4 ยูนิต จากทั้งหมด 53 ยูนิต แต่ยังไม่สามารถรับรู้รายได้ เนื่องจากต้องให้โครงการแล้วเสร็จในก.ย. 53 ก่อน ส่วนโครงการดิเอสเตท สมุย จำนวน 67 ยูนิต ปัจจุบันยังไม่สามารถขายได้ แต่ครึ่งปีหลังตั้งเป้าขาย 2 ยูนิต มูลค่ายูนิตละกว่า 100 ล้านบาท



เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ