บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของกรุงเทพมหานครที่ระดับ “AA+” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงสถานภาพของเขตกรุงเทพมหานครในฐานะเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ซึ่งภาวะเศรษฐกิจของประเทศเริ่มขยายตัวตั้งแต่ต้นปี 2553 หลังจากที่หดตัวในปี 2552 อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงแหล่งรายได้ที่แน่นอนจากภาษีอากร รวมทั้งการบริหารงบประมาณที่มีประสิทธิภาพภายใต้นโยบายงบประมาณแบบสมดุล และฐานะการเงินที่แข็งแกร่งจากการมีภาระหนี้สินที่ต่ำมากและการดำรงเงินสะสมในระดับสูง อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสนับสนุนดังกล่าวมีข้อจำกัดจากความต้องการในการลงทุนเป็นอย่างมากในโครงการด้านสาธารณูปโภคและระบบขนส่งมวลชน ตลอดจนภาระทางการเงินที่อาจเพิ่มขึ้นจากการถ่ายโอนภารกิจจากรัฐบาลกลางให้แก่กรุงเทพมหานครภายใต้นโยบายการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในขณะที่กรุงเทพมหานครมีข้อจำกัดในการจัดหาแหล่งรายได้เพิ่มเติม นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่ควรติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ การนำเสนองบการเงินที่ผ่านการตรวจสอบภายในกรอบเวลาที่เหมาะสม และการศึกษาความเป็นไปได้ในการก่อหนี้และโครงสร้างการลงทุนที่มีความสอดคล้องกับระดับรายได้ รวมถึงการพัฒนากรอบวินัยในการบริหารหนี้ที่เสร็จสมบูรณ์
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการมีแหล่งรายได้ที่แน่นอนและนโยบายการบริหารงบประมาณแบบสมดุลของกรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่ากรุงเทพมหานครจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลกลางอย่างต่อเนื่องตลอดไป อย่างไรก็ตาม กรุงเทพมหานครจะต้องรักษาวินัยทางการเงินเพื่อให้สามารถบริหารงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพและคงความแข็งแกร่งทางการเงินให้อยู่ในระดับสูง รวมถึงการลงทุนและการก่อหนี้ในอนาคตจะต้องได้รับการศึกษาและวางแผนอย่างรอบคอบให้เหมาะสมกับระดับรายได้และความสามารถในการชำระหนี้ของกรุงเทพมหานคร
ทริสเรทติ้งรายงานว่า กรุงเทพมหานครมีฐานะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งมีหน้าที่บริหารราชการและบริหารจัดการกิจการสาธารณูปโภคเพื่อให้บริการแก่ผู้อยู่อาศัยและผู้ประกอบกิจการในเขตกรุงเทพมหานครซึ่งเป็นเมืองหลวงและศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมของประเทศ ในปี 2552 กรุงเทพมหานครมีผลิตภัณฑ์มวลรวมรายจังหวัด (Gross Provincial Product — GPP) สูงที่สุดในประเทศ ด้วยมูลค่า 2.35 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 26% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product — GDP) ในด้านการเงินการคลังนั้น กรุงเทพมหานครมีรายได้หลักโดยประมาณ 90%-95% มาจากภาษีอากรทั้งที่เป็นภาษีอากรที่กรุงเทพมหานครจัดเก็บเอง (20%) และส่วนราชการอื่นจัดเก็บให้ (73%-75%) ภาษีอากรที่กรุงเทพมหานครจัดเก็บเองกว่า 90% มาจากภาษีโรงเรือนและที่ดิน ในขณะที่ภาษีที่ส่วนราชการอื่นจัดเก็บให้ประมาณครึ่งหนึ่งมาจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีหรือค่าธรรมเนียมรถยนต์ และภาษีหรือค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเฉลี่ยอย่างละประมาณ 19%-20% ภาษีอากรนับว่าเป็นแหล่งรายได้ที่มีความแน่นอนสูงแม้จะมีความผันผวนอยู่บ้างตามภาวะเศรษฐกิจ ในปีงบประมาณ 2552 เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกและความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศที่ยืดเยื้อและทวีความรุนแรง ทำให้กรุงเทพมหานครได้รับจัดสรรภาษีจากรัฐบาลลดลงอย่างมาก โดยในปีงบประมาณ 2552 กรุงเทพมหานครจัดเก็บรายได้คิดเป็น 84% ของรายได้รวมจำนวน 46,000 ล้านบาท ลดลง 15% จากปีก่อน ในขณะที่ภาษีที่ส่วนราชการอื่นจัดเก็บให้ก็ลดลงถึง 20% ในช่วงเดียวกัน อย่างไรก็ตาม กรุงเทพมหานครสามารถลดค่าใช้จ่ายในปี 2552 ลง 10% เมื่อเทียบกับปีก่อนเพื่อให้สอดคล้องกับระดับรายได้และเป็นไปตามนโยบายการบริหารงบประมาณแบบสมดุล ในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2553 การฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจโดยรวมส่งผลให้การจัดเก็บภาษีรายได้ปรับตัวสูงขึ้น 20% จากช่วงเดียวกันในปีงบประมาณ 2552 อีกทั้งในปัจจุบันกรุงเทพมหานครก็มีสภาพคล่องที่สูง อีกทั้งยังมีภาระหนี้สินที่ต่ำมากและมีเงินสดหมุนเวียนในระดับสูง จึงทำให้ฐานะทางการเงินของกรุงเทพมหานครยังคงมีความแข็งแกร่ง
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า แม้ในเขตกรุงเทพมหานครจะมีระดับการพัฒนาที่ก้าวหน้ากว่าท้องถิ่นอื่น แต่ก็ยังคงมีความต้องการในการพัฒนาด้านสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับความต้องการของประชากรจำนวนมาก รวมทั้งเพื่อพัฒนาสภาพแวดล้อมให้เอื้อประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในฐานะที่เป็นเมืองหลวงของประเทศ กิจการสาธารณูปโภคต่าง ๆ มีทั้งที่กรุงเทพมหานครริเริ่มดำเนินการเองและที่ได้รับการถ่ายโอนภารกิจมาจากรัฐบาลภายใต้นโยบายการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทำให้กรุงเทพมหานครมีความต้องการเงินลงทุนและค่าใช้จ่ายผูกพันในอนาคตจำนวนมาก ถึงแม้กรุงเทพมหานครจะได้รับเงินอุดหนุนรายปีจากรัฐบาลเพื่อสนับสนุนการพัฒนาโครงการต่าง ๆ เหล่านี้อย่างต่อเนื่อง แต่ก็อาจไม่เพียงพอ อีกทั้งกรุงเทพมหานครยังมีแผนการลงทุนในโครงการระบบขนส่งมวลชนที่ต้องการเงินลงทุนสูง ดังนั้นกรุงเทพมหานครจึงได้ศึกษาโครงสร้างการลงทุนโดยอาจทำการลงทุนผ่านบริษัทลูกที่กรุงเทพมหานครจัดตั้งขึ้นหรือใช้วิธีถือหุ้น อย่างไรก็ดี หากบริษัทดังกล่าวมีการก่อหนี้เพื่อลงทุนในโครงการของกรุงเทพมหานครโดยที่กรุงเทพมหานครมีภาระผูกพันในการจ่ายไม่ว่าจะอยู่ภายใต้สัญญารูปแบบใด ภาระหนี้นั้นจะได้รับการพิจารณารวมให้เป็นภาระหนี้ของกรุงเทพมหานครด้วยเช่นกัน — จบ