บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันของ บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) เป็นระดับ “A” จาก “A-” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตที่ปรับเพิ่มขึ้นสะท้อนถึงฐานะทาง การตลาดของบริษัทในธุรกิจให้เช่าพื้นที่ที่แข็งแกร่งขึ้นภายหลังการเปิดให้บริการของ “ศูนย์การค้าพาราไดซ์พาร์ค” รวมถึงความ สามารถในการรักษาอัตราการก่อหนี้ให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ความยืดหยุ่นด้านการเงินที่ดีจากการลงทุนในหลักทรัพย์เผื่อขาย จำนวนมาก ตลอดจนการมีกระแสเงินสดที่แน่นอนจากธุรกิจให้เช่าพื้นที่ค้าปลีก และความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับกลุ่มธนชาต อย่างไรก็ ตาม จุดเด่นดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากต้นทุนการดำเนินงานที่จะเพิ่มสูงขึ้นจากสัญญาเช่าที่ดินและทรัพย์สินของศูนย์การค้าฉบับ ใหม่ที่จะเริ่มในปี 2556 และการขยายสู่ธุรกิจสินเชื่อรถจักรยานยนต์
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะยังคงได้รับกระแสเงินสดที่แน่ นอนจากธุรกิจให้เช่าพื้นที่ค้าปลีกซึ่งจะช่วยชดเชยผลการดำเนินงานที่อ่อนแอในธุรกิจโรงแรมได้ และคาดว่าบริษัทจะรักษาระดับ คุณภาพสินเชื่อรถจักรยานยนต์เอาไว้ในระดับที่ดีด้วยการมีขั้นตอนการพิจารณาสินเชื่อและกระบวนการจัดเก็บหนี้ที่เข้มงวด จากแผน รายจ่ายฝ่ายทุนที่อยู่ในระดับปานกลางในปี 2553-2554 ทำให้คาดว่าบริษัทจะยังคงสามารถรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครง สร้างเงินทุนในระดับปัจจุบันเอาไว้ได้
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทเอ็ม บี เค ก่อตั้งในปี 2517 โดยปัจจุบันมี บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) และ บริษัทในเครือเป็นผู้ถือหุ้นหลักในสัดส่วนรวม 20% บริษัทดำเนินธุรกิจพื้นที่ค้าปลีกให้เช่า โรงแรม สนามกอล์ฟ พัฒนาโครงการที่อยู่ อาศัย โรงสีข้าว และธุรกิจการเงิน โดยเป็นเจ้าของและบริหารจัดการศูนย์การค้า “เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์” ซึ่งเป็นศูนย์การค้า ที่มีชื่อเสียงตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ แม้จะมีธุรกิจที่หลากหลาย แต่ผลประกอบการของบริษัทยังคงขึ้นอยู่กับสินทรัพย์หลักอย่างศูนย์ การค้าเอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ และ “โรงแรมปทุมวันปริ๊นเซส” เป็นอย่างมาก ซึ่งสินทรัพย์ดังกล่าวตั้งอยู่บนที่ดินเช่าติดกับย่าน สยามสแควร์ในกรุงเทพฯ โดยในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมาสามารถสร้างรายได้ประมาณ 40% และกระแสเงินสดประมาณ 65% ให้ แก่บริษัท
ทริสเรทติ้งกล่าวว่าเพื่อลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของรายได้ บริษัทเอ็ม บี เค ได้ขยายการลงทุนในธุรกิจให้ เช่าพื้นที่ค้าปลีกเพิ่มขึ้น โดยมีสัดส่วนการลงทุน 31% ใน บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของและบริหารศูนย์การค้าใน ย่านสยามสแควร์ โดยบริษัทสยามพิวรรธน์เป็นผู้ถือหุ้น 100% ในศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์ (18,700 ตารางเมตร, ตร.ม.) และศูนย์การค้าสยามดิสคัฟเวอรี่เซ็นเตอร์ (24,890 ตร.ม.) และถือหุ้น 50% ในศูนย์การค้าสยามพารากอน (186,010 ตร. ม.) นอกจากนี้ บริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัทและบริษัทสยามพิวรรธน์ในสัดส่วน 50% ยังได้ทำการปรับปรุงตกแต่งพื้นที่ให้เช่า ของ “ศูนย์การค้าพาราไดซ์พาร์ค” (เดิมชื่อ “ศูนย์การค้าเสรีเซ็นเตอร์”) พื้นที่ 90,000 ตร.ม. จนแล้วเสร็จและเปิดให้ บริการเต็มรูปแบบในเดือนกรกฎาคม 2553 ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการพัฒนาศูนย์การค้าชุมชน (Community Mall) แห่งแรก ของบริษัทซึ่งตั้งอยู่บนถนนพระราม 9 โดยมีเป้าหมายที่จะเปิดดำเนินการในช่วงกลางปี 2554 ณ เดือนธันวาคม 2553 บริษัทบริหารพื้นที่ค้าปลีกสุทธิ 192,786 ตร.ม. และจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยภายหลังการเปิดให้บริการศูนย์การค้าชุมชน การซื้ออาคาร สำนักงานขนาด 8,223 ตร.ม. เมื่อเดือนมิถุนายน 2553 ส่งผลให้บริษัทมีพื้นที่อาคารสำนักงานให้เช่ารวม 48,921 ตร.ม. นอกจากธุรกิจพื้นที่ให้เช่าแล้ว ในเดือนเมษายน 2553 บริษัทยังซื้อกิจการของ บริษัท ที ลีสซิ่ง จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจสินเชื่อรถ จักรยานยนต์ด้วย โดย ณ เดือนกันยายน 2553 บริษัทที ลีสซิ่ง มียอดสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์คงค้าง 805 ล้านบาท ซึ่งคิด เป็น 3% ของสินทรัพย์รวม จัดว่าเป็นสินเชื่อที่มีคุณภาพอยู่ในเกณฑ์ดีจากการมีอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อเงิน ให้สินเชื่อรวมอยู่ที่ระดับ 4.21% อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการควบคุมคุณภาพสินเชื่อไปพร้อม ๆ กับการขยายขนาดสินเชื่อ นับเป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับบริษัทเอ็ม บี เค
แม้ว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยจะได้รับผลกระทบจากภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและเหตุการณ์ความ ไม่สงบของการเมืองภายในประเทศ แต่บริษัทเอ็ม บี เคก็ยังมีผลประกอบการในระดับที่ยอมรับได้ โดยบริษัทมีรายได้อยู่ที่ 5,800 ล้านบาทในช่วง 3 ปีบัญชีล่าสุด และในช่วง 3 เดือนแรกของปีบัญชี 2553/2554 (กรกฎาคม-กันยายน 2553) บริษัทมี รายได้เพิ่มขึ้น 18% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 1,670 ล้านบาทภายหลังการเปิดศูนย์การค้าพาราไดซ์พาร์คและการเริ่มให้ บริการธุรกิจการเงิน อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทได้รับผลกระทบจากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นของธุรกิจโรง สีข้าวและการชะลอตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ส่งผลให้อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานลดลงจาก 36.06% ในปีบัญชี 2551/2552 เป็น 29.84% ในปีบัญชี 2552/2553 และเป็น 28.36% ในช่วง 3 เดือนแรกของปีบัญชี 2553/2554 เงินทุนจาก การดำเนินงานคงอยู่ที่ระดับ 1,700-1,800 ล้านบาทในช่วง 3 ปีบัญชีที่ผ่านมา และเพิ่มขึ้นอย่างมากเป็น 3,458 ล้านบาทในปี บัญชี 2552/2553 ซึ่งเป็นผลมาจากการให้เช่าพื้นที่ระยะยาวในศูนย์การค้าเอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ในช่วงปลายปี 2552 ซึ่งทำให้ บริษัทมีกระแสเงินสดรับเพิ่มขึ้น 3,000 ล้านบาท ส่งผลให้อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมปรับตัวดีขึ้นจาก 22.53% ในรอบปีบัญชี 2551/2552 เป็น 45.47% ในปีบัญชี 2552/2553 เงินกู้รวมของบริษัทค่อนข้างคงที่ที่ระดับ 7,778 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2553 แต่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนลดลงจาก 38.64% ในเดือนมิถุนายน 2553 เป็น 36.65% ในเดือนกันยายน 2553 นอกจากนี้ ในปีบัญชี 2552/2553 บริษัทยังรับรู้กำไรจากการจำหน่ายเงินลงทุนจำนวน 2,233 ล้านบาทซึ่งจะช่วยเสริมให้บริษัทมีสภาพคล่องที่ดีขึ้น และ ณ เดือนกันยายน 2553 บริษัทยังมีเงินลงทุนชั่วคราวอีกจำนวน 6,389 ล้านบาทด้วย ทริสเรทติ้งกล่าว -- จบ