บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศผลการทบทวนอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท บีเอสแอล ลีสซิ่ง จำกัด คงเดิมที่
ระดับ “BBB” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงคณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์ การบริหารความ
เสี่ยงในระดับที่ยอมรับได้ สถานะทางการตลาดและผลประกอบการที่ปรับตัวดีขึ้น ตลอดจนการสนับสนุนด้านการเงินจากผู้ถือหุ้น
ใหญ่ อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากการที่บริษัทไม่มีเครือข่ายการให้บริการลูกค้าที่อยู่นอกบริเวณใจ
กลางกรุงเทพฯ ตลอดจนอัตราการก่อหนี้ที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่น และการสนับสนุนทางการเงินที่จำกัดจาก
ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ซึ่งกระทบต่อความยืดหยุ่นทางการเงินของบริษัทและเป็นอุปสรรคต่อการขยายธุรกิจ
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงได้รับการสนับสนุนทาง
การเงินอย่างต่อเนื่องจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ พร้อมทั้งยังคงเพิ่มความหลากหลายของแหล่งเงินกู้ไปด้วย แนวโน้มอันดับเครดิตยัง
พิจารณารวมไปถึงความคาดหมายที่คณะผู้บริหารของบริษัทจะสามารถคงคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีและรักษาผลการดำเนินงานในระดับที่ทริ
สเรทติ้งคาดการณ์ไว้ด้วย
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทบีเอสแอล ลีสซิ่ง ก่อตั้งในปี 2528 โดยการร่วมทุนในสัดส่วน 50:50 ระหว่าง ธนาคารกรุงเทพและบริษัทในกลุ่มกับ Sumitomo Mitsui Banking Corporation ประเทศญี่ปุ่น (เดิมชื่อ Mitsui Taiyo Kobe Bank) ในการดำเนินธุรกิจการให้บริการทางการเงินเพื่อจัดซื้อเครื่องจักรและยานพาหนะในอุตสาหกรรมภายใต้สัญญาลี สซิ่งและเช่าซื้อ และในปี 2547 ได้ขยายสู่ธุรกิจแฟคตอริ่ง การปรับโครงสร้างภายในของกลุ่มธนาคารกรุงเทพในปี 2548 มีผล ทำให้ธนาคารไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน) (ปัจจุบันคือธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน)) เป็นผู้ถือหุ้นบริษัทในสัดส่วน 10% ในขณะที่ผู้ถือหุ้นในกลุ่มธนาคารกรุงเทพมีสัดส่วนลดลงเหลือ 40% อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 ธนาคาร กรุงเทพได้ซื้อหุ้นจำนวน 10% คืนจากธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของธนาคารกรุงเทพที่จะให้การสนับ สนุนบริษัทต่อไป
ทริสเรทติ้งกล่าวว่าสถานะทางธุรกิจและการตลาดของบริษัทบีเอสแอล ลีสซิ่ง ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัท เป็นผู้ให้บริการสินเชื่อและลีสซิ่งอุปกรณ์และเครื่องจักรในลำดับที่ 3 ในจำนวนผู้ให้บริการรายใหญ่ 12 รายซึ่งอยู่ในฐานข้อมูลของ ทริสเรทติ้งในปี 2552 โดยปรับเพิ่มขึ้นจากลำดับที่ 5 ในปี 2551 สินเชื่อคงค้างของบริษัทเพิ่มขึ้นเท่าตัวจาก 2,438 ล้านบาทใน ปี 2547 เป็น 4,568 ล้านบาทในปี 2552 และยังคงเพิ่มขึ้นเป็น 4,882 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2553 ด้วยเหตุที่ธุรกิจ ของบริษัทมีการกระจุกตัวเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลผ่านการให้บริการของสำนักงานใหญ่เพียงแห่งเดียว จึงทำให้เกิด การจำกัดลูกค้าไว้เฉพาะในเขตกรุงเทพฯ และบริเวณใกล้เคียง ส่งผลให้บริษัทมีฐานลูกค้าที่ขาดความหลากหลายในเชิงพื้นที่เมื่อ เทียบกับสถาบันการเงินรายใหญ่อื่น ๆ
ในปี 2551 บริษัทได้ปรับปรุงนโยบายด้านบัญชีในการบันทึกค่าเสื่อมราคาโดยเปลี่ยนวิธีคำนวณค่าเสื่อมราคาจากการ รวมผลจำนวนงวดเพื่อลดราคาตามบัญชี (Sum of the Years Digits -- SYD) มาเป็นแบบเส้นตรง (Straight- line) พร้อมรวมการประเมินค่าซากในการคำนวณค่าเสื่อมราคา ซึ่งการเปลี่ยนนโยบายค่าเสื่อมราคาดังกล่าวทำให้ผลประกอบ การทางการเงินของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างมากในปี 2551-2552 เนื่องจากค่าเสื่อมราคาจากสินทรัพย์ให้เช่าลดลงอย่างมีนัย สำคัญ โดยรายได้สุทธิ (ปรับจากรายได้สุทธิของธุรกิจให้เช่าดำเนินงาน) อยู่ระหว่าง 100-300 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2546- 2550 ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเป็น 624 ล้านบาทในปี 2551 และลดลงเป็น 532 ล้านบาทในปี 2552 รายได้สุทธิปรับลด ลงสู่ระดับปกติที่ 445 ล้านบาทในปี 2553 แต่ยังคงเพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงวิธีคำนวณค่าเสื่อมราคา ทั้งนี้ เนื่องจากสินเชื่อที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น บริษัทมีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นถัวเฉลี่ยในระดับสูงที่ 26.79% ในปี 2549 ระดับ 28.19% ในปี 2550 ระดับ 48.71% ในปี 2551 และระดับ 27.82% ในปี 2552 ฐานทุนที่เพิ่มขึ้นจากผลประกอบการที่ดี ในปี 2551-2552 ส่งผลให้อัตราส่วนดังกล่าวปรับลดลงเป็น 16.37% ในปี 2553
ทริสเรทติ้งกล่าวว่าการบริหารมูลค่าคงเหลือของสินทรัพย์ให้เช่า (Residual Value) ที่มีประสิทธิภาพทำให้บริษัท บีเอสแอล ลีสซิ่ง สามารถสร้างรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยจากกำไรที่ได้จากการขายสินทรัพย์ให้เช่าดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ก่อนการ เปลี่ยนแปลงนโยบายทางบัญชีในปี 2551 บริษัทมีรายได้ในส่วนนี้คิดเป็น 22%-23% ของรายได้สุทธิ บริษัทมีกำไรจากการขาย สินทรัพย์ให้เช่าอย่างต่อเนื่องที่ระดับ 72 ล้านบาทในปี 2549 ระดับ 73 ล้านบาทในปี 2550 ระดับ 32 ล้านบาทในปี 2551 ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 85 ล้านบาทในปี 2552 เนื่องจากมีสินทรัพย์ให้เช่าจำนวนมากที่หมดอายุสัญญาเช่าในปีเดียวกันนั้น ต่อมา กำไรดังกล่าวลดลงเหลือ 26 ล้านบาทในปี 2553 หลังจากการเปลี่ยนแปลงวิธีคำนวณค่าเสื่อมราคา บริษัทจะมีกำไรจากการขาย สินทรัพย์ให้เช่าต่อรายได้รวมในสัดส่วนที่ลดลง
ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกประกาศปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับสถาบันการเงินหลายฉบับเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2551 โดยหนึ่งในระเบียบดังกล่าวกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์จำกัดการให้สินเชื่อแก่บริษัทที่เกี่ยวข้อง โดยบริษัทที่เกี่ยว ข้องได้แก่บริษัทที่ธนาคารพาณิชย์ถือหุ้นเกิน 10% ซึ่งสินเชื่อที่จะให้แก่บริษัทที่เกี่ยวข้องนั้นจะต้องไม่เกิน 5% ของเงินกองทุนของ ธนาคารพาณิชย์ หรือไม่เกิน 25% ของหนี้สินทั้งหมดของบริษัทที่เป็นลูกหนี้ ซึ่งแล้วแต่จำนวนใดจะต่ำกว่า ผลจากประกาศดังกล่าว ทำให้ความยืดหยุ่นในการหาแหล่งเงินทุนของบริษัทบีเอสแอล ลีสซิ่ง มีข้อจำกัดมากขึ้นเนื่องจากในขณะนั้นบริษัทพึ่งพาแหล่งเงินทุน จากธนาคารกรุงเทพเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี 2552 บริษัทได้กระจายแหล่งกู้ยืมไปยังสถาบันการเงินอื่นมากขึ้น และเริ่มมี การออกตั๋วสัญญาใช้เงินในปี 2553 ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2553 บริษัทมีสัดส่วนเงินกู้เพียง 7% ที่ได้รับจากผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทคือ ธนาคารกรุงเทพจากจำนวนหนี้สินรวม 4,164 ล้านบาท โดยบริษัทตั้งใจที่จะสำรองวงเงินสินเชื่อจากธนาคารกรุงเทพเอาไว้เป็น เงินทุนแหล่งสุดท้ายเพื่อใช้ป้องกันความเสี่ยงด้านสภาพคล่องระยะสั้นในยามจำเป็น
บริษัทบีเอสแอล ลีสซิ่ง มีคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีแม้จะมีลูกค้าหลักเป็นกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมซึ่งแมักมีความ อ่อนไหวตามภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง บริษัทมีอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (ค้างชำระเกิน 3 เดือน) ต่อ เงินให้สินเชื่อรวมถัวเฉลี่ยในระดับประมาณ 2% ซึ่งนับว่าค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่นที่ทริสเรทติ้งจัดอันดับ เครดิต — จบ