ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร “บ. บีเอสแอล ลีสซิ่ง” ที่ระดับ “BBB” ด้วยแนวโน้ม “Stable”

ข่าวทั่วไป Thursday March 10, 2011 10:14 —ทริส เรตติ้ง

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศผลการทบทวนอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท บีเอสแอล ลีสซิ่ง จำกัด คงเดิมที่

ระดับ “BBB” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงคณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์ การบริหารความ

เสี่ยงในระดับที่ยอมรับได้ สถานะทางการตลาดและผลประกอบการที่ปรับตัวดีขึ้น ตลอดจนการสนับสนุนด้านการเงินจากผู้ถือหุ้น

ใหญ่ อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากการที่บริษัทไม่มีเครือข่ายการให้บริการลูกค้าที่อยู่นอกบริเวณใจ

กลางกรุงเทพฯ ตลอดจนอัตราการก่อหนี้ที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่น และการสนับสนุนทางการเงินที่จำกัดจาก

ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ซึ่งกระทบต่อความยืดหยุ่นทางการเงินของบริษัทและเป็นอุปสรรคต่อการขยายธุรกิจ

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงได้รับการสนับสนุนทาง

การเงินอย่างต่อเนื่องจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ พร้อมทั้งยังคงเพิ่มความหลากหลายของแหล่งเงินกู้ไปด้วย แนวโน้มอันดับเครดิตยัง

พิจารณารวมไปถึงความคาดหมายที่คณะผู้บริหารของบริษัทจะสามารถคงคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีและรักษาผลการดำเนินงานในระดับที่ทริ

สเรทติ้งคาดการณ์ไว้ด้วย

ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทบีเอสแอล ลีสซิ่ง ก่อตั้งในปี 2528 โดยการร่วมทุนในสัดส่วน 50:50 ระหว่าง ธนาคารกรุงเทพและบริษัทในกลุ่มกับ Sumitomo Mitsui Banking Corporation ประเทศญี่ปุ่น (เดิมชื่อ Mitsui Taiyo Kobe Bank) ในการดำเนินธุรกิจการให้บริการทางการเงินเพื่อจัดซื้อเครื่องจักรและยานพาหนะในอุตสาหกรรมภายใต้สัญญาลี สซิ่งและเช่าซื้อ และในปี 2547 ได้ขยายสู่ธุรกิจแฟคตอริ่ง การปรับโครงสร้างภายในของกลุ่มธนาคารกรุงเทพในปี 2548 มีผล ทำให้ธนาคารไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน) (ปัจจุบันคือธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน)) เป็นผู้ถือหุ้นบริษัทในสัดส่วน 10% ในขณะที่ผู้ถือหุ้นในกลุ่มธนาคารกรุงเทพมีสัดส่วนลดลงเหลือ 40% อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 ธนาคาร กรุงเทพได้ซื้อหุ้นจำนวน 10% คืนจากธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของธนาคารกรุงเทพที่จะให้การสนับ สนุนบริษัทต่อไป

ทริสเรทติ้งกล่าวว่าสถานะทางธุรกิจและการตลาดของบริษัทบีเอสแอล ลีสซิ่ง ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัท เป็นผู้ให้บริการสินเชื่อและลีสซิ่งอุปกรณ์และเครื่องจักรในลำดับที่ 3 ในจำนวนผู้ให้บริการรายใหญ่ 12 รายซึ่งอยู่ในฐานข้อมูลของ ทริสเรทติ้งในปี 2552 โดยปรับเพิ่มขึ้นจากลำดับที่ 5 ในปี 2551 สินเชื่อคงค้างของบริษัทเพิ่มขึ้นเท่าตัวจาก 2,438 ล้านบาทใน ปี 2547 เป็น 4,568 ล้านบาทในปี 2552 และยังคงเพิ่มขึ้นเป็น 4,882 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2553 ด้วยเหตุที่ธุรกิจ ของบริษัทมีการกระจุกตัวเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลผ่านการให้บริการของสำนักงานใหญ่เพียงแห่งเดียว จึงทำให้เกิด การจำกัดลูกค้าไว้เฉพาะในเขตกรุงเทพฯ และบริเวณใกล้เคียง ส่งผลให้บริษัทมีฐานลูกค้าที่ขาดความหลากหลายในเชิงพื้นที่เมื่อ เทียบกับสถาบันการเงินรายใหญ่อื่น ๆ

ในปี 2551 บริษัทได้ปรับปรุงนโยบายด้านบัญชีในการบันทึกค่าเสื่อมราคาโดยเปลี่ยนวิธีคำนวณค่าเสื่อมราคาจากการ รวมผลจำนวนงวดเพื่อลดราคาตามบัญชี (Sum of the Years Digits -- SYD) มาเป็นแบบเส้นตรง (Straight- line) พร้อมรวมการประเมินค่าซากในการคำนวณค่าเสื่อมราคา ซึ่งการเปลี่ยนนโยบายค่าเสื่อมราคาดังกล่าวทำให้ผลประกอบ การทางการเงินของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างมากในปี 2551-2552 เนื่องจากค่าเสื่อมราคาจากสินทรัพย์ให้เช่าลดลงอย่างมีนัย สำคัญ โดยรายได้สุทธิ (ปรับจากรายได้สุทธิของธุรกิจให้เช่าดำเนินงาน) อยู่ระหว่าง 100-300 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2546- 2550 ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเป็น 624 ล้านบาทในปี 2551 และลดลงเป็น 532 ล้านบาทในปี 2552 รายได้สุทธิปรับลด ลงสู่ระดับปกติที่ 445 ล้านบาทในปี 2553 แต่ยังคงเพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงวิธีคำนวณค่าเสื่อมราคา ทั้งนี้ เนื่องจากสินเชื่อที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น บริษัทมีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นถัวเฉลี่ยในระดับสูงที่ 26.79% ในปี 2549 ระดับ 28.19% ในปี 2550 ระดับ 48.71% ในปี 2551 และระดับ 27.82% ในปี 2552 ฐานทุนที่เพิ่มขึ้นจากผลประกอบการที่ดี ในปี 2551-2552 ส่งผลให้อัตราส่วนดังกล่าวปรับลดลงเป็น 16.37% ในปี 2553

ทริสเรทติ้งกล่าวว่าการบริหารมูลค่าคงเหลือของสินทรัพย์ให้เช่า (Residual Value) ที่มีประสิทธิภาพทำให้บริษัท บีเอสแอล ลีสซิ่ง สามารถสร้างรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยจากกำไรที่ได้จากการขายสินทรัพย์ให้เช่าดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ก่อนการ เปลี่ยนแปลงนโยบายทางบัญชีในปี 2551 บริษัทมีรายได้ในส่วนนี้คิดเป็น 22%-23% ของรายได้สุทธิ บริษัทมีกำไรจากการขาย สินทรัพย์ให้เช่าอย่างต่อเนื่องที่ระดับ 72 ล้านบาทในปี 2549 ระดับ 73 ล้านบาทในปี 2550 ระดับ 32 ล้านบาทในปี 2551 ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 85 ล้านบาทในปี 2552 เนื่องจากมีสินทรัพย์ให้เช่าจำนวนมากที่หมดอายุสัญญาเช่าในปีเดียวกันนั้น ต่อมา กำไรดังกล่าวลดลงเหลือ 26 ล้านบาทในปี 2553 หลังจากการเปลี่ยนแปลงวิธีคำนวณค่าเสื่อมราคา บริษัทจะมีกำไรจากการขาย สินทรัพย์ให้เช่าต่อรายได้รวมในสัดส่วนที่ลดลง

ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกประกาศปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับสถาบันการเงินหลายฉบับเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2551 โดยหนึ่งในระเบียบดังกล่าวกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์จำกัดการให้สินเชื่อแก่บริษัทที่เกี่ยวข้อง โดยบริษัทที่เกี่ยว ข้องได้แก่บริษัทที่ธนาคารพาณิชย์ถือหุ้นเกิน 10% ซึ่งสินเชื่อที่จะให้แก่บริษัทที่เกี่ยวข้องนั้นจะต้องไม่เกิน 5% ของเงินกองทุนของ ธนาคารพาณิชย์ หรือไม่เกิน 25% ของหนี้สินทั้งหมดของบริษัทที่เป็นลูกหนี้ ซึ่งแล้วแต่จำนวนใดจะต่ำกว่า ผลจากประกาศดังกล่าว ทำให้ความยืดหยุ่นในการหาแหล่งเงินทุนของบริษัทบีเอสแอล ลีสซิ่ง มีข้อจำกัดมากขึ้นเนื่องจากในขณะนั้นบริษัทพึ่งพาแหล่งเงินทุน จากธนาคารกรุงเทพเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี 2552 บริษัทได้กระจายแหล่งกู้ยืมไปยังสถาบันการเงินอื่นมากขึ้น และเริ่มมี การออกตั๋วสัญญาใช้เงินในปี 2553 ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2553 บริษัทมีสัดส่วนเงินกู้เพียง 7% ที่ได้รับจากผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทคือ ธนาคารกรุงเทพจากจำนวนหนี้สินรวม 4,164 ล้านบาท โดยบริษัทตั้งใจที่จะสำรองวงเงินสินเชื่อจากธนาคารกรุงเทพเอาไว้เป็น เงินทุนแหล่งสุดท้ายเพื่อใช้ป้องกันความเสี่ยงด้านสภาพคล่องระยะสั้นในยามจำเป็น

บริษัทบีเอสแอล ลีสซิ่ง มีคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีแม้จะมีลูกค้าหลักเป็นกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมซึ่งแมักมีความ อ่อนไหวตามภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง บริษัทมีอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (ค้างชำระเกิน 3 เดือน) ต่อ เงินให้สินเชื่อรวมถัวเฉลี่ยในระดับประมาณ 2% ซึ่งนับว่าค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่นที่ทริสเรทติ้งจัดอันดับ เครดิต — จบ

บริษัท บีเอสแอล ลีสซิ่ง จำกัด (BSL)
อันดับเครดิตองค์กร: คงเดิมที่ BBB
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable (คงที่)
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2554  ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บ
ไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต  ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่า
ในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอ
แนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือ
ของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะ
อื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิ
ได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควร
ประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิต
นี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ
หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่
ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการ
กระทำใดๆ โดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน
Website: http://www.trisrating.com/th/rating_information/rating_criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ