บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศปรับลดอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ทรัพย์ศรีไทย จำกัด (มหาชน) เป็น
ระดับ “BBB-” จากเดิมที่ระดับ “BBB” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงความเสี่ยงทางด้าน
ธุรกิจและการเงินที่จะเพิ่มขึ้นหลังจากบริษัทขยายการดำเนินงานสู่ธุรกิจถั่วเหลืองโดยการซื้อหุ้นของ บริษัท อุตสาหกรรมวิวัฒน์
จำกัด ทั้งนี้ ในการพิจารณาอันดับเครดิต ทริสเรทติ้งยังคำนึงถึงการมีประสบการณ์ที่ยาวนานของบริษัทในธุรกิจคลังสินค้า ตลอดจน
การมีรายได้ที่สม่ำเสมอจากธุรกิจคลังเอกสารด้วย
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่ารายได้ค่าบริการที่ค่อนข้าง
สม่ำเสมอจากธุรกิจคลังสินค้าและคลังเอกสารจะช่วยบรรเทาความผันผวนของรายได้จากธุรกิจถั่วเหลืองให้แก่บริษัท ทั้งนี้ ความ
ต้องการกากถั่วเหลืองและน้ำมันถั่วเหลืองที่เพิ่มขึ้นและตราสินค้า “ทิพ” ที่เป็นที่รู้จักจะช่วยสนับสนุนการขยายตัวของบริษัทในธุรกิจ
นี้
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัททรัพย์ศรีไทยเป็นหนึ่งในผู้นำในธุรกิจคลังสินค้าและคลังเอกสารซึ่งก่อตั้งในปี 2519 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2530 เริ่มแรกบริษัทได้รับอนุญาตจากกระทรวงพาณิชย์ในการดำเนินธุรกิจ คลังสินค้าและท่าเรือที่จังหวัดสมุทรปราการ ต่อมาในปี 2538 ได้ขยายกิจการสู่ธุรกิจคลังเอกสาร ปัจจุบันบริษัทเป็นเจ้าของคลัง สินค้าและคลังเอกสารรวม 51 หลัง และมีท่าเทียบเรือ 2 ท่า มีพื้นที่เก็บสินค้าทั้งสิ้น 81,769 ตารางเมตร (ตร.ม.) บริษัทใช้ พื้นที่ประมาณ 25% ของพื้นที่ทั้งหมดในการจัดเก็บเอกสาร ส่วนที่เหลือ 75% ใช้จัดเก็บสินค้า ในปี 2553 รายได้และกำไรจาก ธุรกิจคลังเอกสารคิดเป็นสัดส่วน 60% ของรายได้รวมและกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ในขณะ ที่รายได้และกำไรจากธุรกิจคลังสินค้าคิดเป็นสัดส่วน 40% รายได้รวมในธุรกิจคลังสินค้าและคลังเอกสารของบริษัทในระยะ 3 ปีที่ ผ่านมาเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยอยู่ที่ระดับ 202 ล้านบาทในปี 2553 จาก 138 ล้านบาทในปี 2549 ธุรกิจคลังเอกสารเป็น ธุรกิจหลักที่ขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัท โดยในระหว่างปี 2549-2553 บริษัทมีปริมาณกล่องเอกสารรับฝากเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10% ต่อปี เพิ่มขึ้นจากลูกค้าเก่า 70%-80% และจากลูกค้าใหม่ 20%-30% สำหรับธุรกิจคลังสินค้านั้น รายได้ค่อนข้างทรงตัวโดยอยู่ที่ ระดับ 79 ล้านบาทในปี 2553
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ในเดือนกุมภาพันธ์ 2553 บริษัททรัพย์ศรีไทยประกาศจะซื้อหุ้น 99.7% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ของบริษัทอุตสาหกรรมวิวัฒน์ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันพืชภายใต้เครื่องหมายการค้า “ทิพ” โดยใช้เงินลงทุน 200 ล้านบาท ปัจจุบัน บริษัทอุตสาหกรรมวิวัฒน์อยู่ระหว่างการทำแผนฟื้นฟูกิจการภายใต้การดูแลของศาลล้มละลายกลาง คาดว่าแผนฟื้นฟูจะได้รับ อนุมัติจากศาลภายในเดือนเมษายน 2554 และบริษัททรัพย์ศรีไทยจะเป็นผู้ถือหุ้นเพียงรายเดียวของบริษัทอุตสาหกรรมวิวัฒน์ตาม แผนการฟื้นฟูกิจการ หลังจากการซื้อกิจการดังกล่าวและรวมกิจการกับบริษัทเสร็จสมบูรณ์แล้ว โครงสร้างธุรกิจของบริษัทจะเปลี่ยน ไปอย่างมีนัยสำคัญ โดยบริษัทมีแผนจะผลิตกากถั่วเหลืองและน้ำมันถั่วเหลืองรวม 80,000-100,000 ตันต่อปี และคาดว่ารายได้ จากการขายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับถั่วเหลืองจะสูงถึง 80%-90% ของรายได้รวมของบริษัท คิดเป็น 50%-60% ของกำไรก่อนดอกเบี้ย จ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่ายและดอกเบี้ยจ่าย โดยรายได้จากน้ำมันถั่วเหลืองจะคิดเป็นสัดส่วน 30%-40% ของรายได้ รวมในธุรกิจถั่วเหลือง ส่วนที่เหลือจะมาจากรายได้การขายกากถั่วเหลือง เนื่องจากถั่วเหลืองเป็นทั้งพืชพลังงานและสินค้า โภคภัณฑ์ ราคาจึงผันผวนตามธรรมชาติโดยเคลื่อนไหวตามราคาน้ำมันเชื้อเพลิง รวมถึงอุปสงค์และอุปทานของถั่วเหลือง ทั้งนี้ ราคาขายปลีกน้ำมันถั่วเหลืองจะถูกควบคุมโดยกรมการค้าภายใน ส่วนกากถั่วเหลืองที่ผลิตในประเทศจะต้องแข่งขันกับกากถั่ว เหลืองที่นำเข้าจากประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ระดับสากล เช่น ประเทศบราซิลและอาร์เจนติน่า จากกลไกตลาดในลักษณะดังกล่าว การปรับราคาขายเพื่อสะท้อนต้นทุนเมล็ดถั่วเหลืองที่ผันผวนจึงเป็นสิ่งที่ค่อนข้างท้าทาย ทั้งนี้ การพิจารณาความเสี่ยงทางธุรกิจของ บริษัทยังรวมถึงประสบการณ์ในธุรกิจถั่วเหลืองที่บริษัทมีค่อนข้างจำกัดด้วย
ในปี 2553 บริษัทเริ่มมีรายได้จากการขายน้ำมันถั่วเหลืองตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 หลังจากซื้อตราสินค้าและเครื่องหมาย การค้า “ทิพ” จากบริษัทอุตสาหกรรมวิวัฒน์ รายได้รวมของบริษัทในปี 2553 จึงเพิ่มขึ้น 40% เป็น 273 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น รายได้จากธุรกิจคลังสินค้าและคลังเอกสาร 202 ล้านบาทและจากการขายน้ำมันถั่วเหลือง 71 ล้านบาท ในปี 2553 ความ สามารถในการทำกำไรของธุรกิจคลังสินค้าและคลังเอกสารยังคงแข็งแกร่ง โดยอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อม ราคาและค่าตัดจำหน่ายอยู่ในระดับ 58.7% อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรของธุรกิจน้ำมันถั่วเหลืองที่อยู่ในระดับต่ำส่งผลให้อัตรา กำไรจากการดำเนินงานเฉลี่ยของบริษัทปรับตัวลดลงเป็น 39.0% ในปี 2553 จาก 62.4% ในปี 2552
ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2553 บริษัทมีเงินกู้รวม 572 ล้านบาท และอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนอยู่ที่ระดับ
33.0% อย่างไรก็ตาม คาดว่าโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะอ่อนแอลงหลังรวมงบการเงินกับบริษัทอุตสาหกรรมวิวัฒน์ในครึ่งหลัง
ของปี 2554 โดยเงินกู้รวมของบริษัทจะเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อรวมเงินกู้ของบริษัทอุตสาหกรรมวิวัฒน์จำนวน 600-700 ล้านบาท
บริษัทจะใช้แหล่งเงินทุนจากการขายคลังเอกสารจำนวน 9 หลังให้แก่กองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่จัดตั้งขึ้นใหม่เพื่อลงทุนในบริษัท
อุตสาหกรรมวิวัฒน์ ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทจะได้รับเงินจำนวน 675 ล้านบาทจากการขายทรัพย์สินดังกล่าว บริษัทมีแผนจะถือหุ้น 1
ใน 3 ของกองทุนอสังหาริมทรัพย์และจะทำสัญญาเช่าคลังเอกสารและสินค้าจากกองทุนอสังหาริมทรัพย์เป็นระยะเวลา 10 ปี คาด
ว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนหลังการรวมบริษัทอุตสาหกรรมวิวัฒน์และสัญญาเช่าระยะยาวจะเพิ่มขึ้นสูงกว่า 50%
จากสิ้นปี 2553 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 33% นอกจากนี้ ความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทโดยรวมจะลดลงเนื่องจากอัตรากำไรของ
ธุรกิจถั่วเหลืองอยู่ในระดับต่ำ ผนวกกับภาระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น ทริสเรทติ้งกล่าว — จบ