บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรและตราสารหนี้ชุดปัจจุบันของ บริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด ที่ระดับ “A+” พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตให้แก่หุ้นกู้ไม่มีประกันชุดใหม่วงเงินไม่เกิน 8,000 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “A+” โดยแนวโน้มอันดับเครดิตยังคง “Stable” หรือ “คงที่” ทั้งนี้ บริษัทน้ำตาลมิตรผลจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ลงทุนในธุรกิจน้ำตาลที่ประเทศออสเตรเลียและใช้ขยายธุรกิจของกลุ่มมิตรผล อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัทในอุตสาหกรรมน้ำตาล ตลอดจนแบรนด์สินค้าที่มีชื่อเสียง กระบวนการผลิตน้ำตาลที่มีประสิทธิภาพ การขยายกิจการสู่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำตาล และความสามารถในการรักษาโครงสร้างเงินทุนในระดับที่ยอมรับได้ นอกจากนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความเสี่ยงด้านกฎระเบียบและการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ รวมถึงความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาน้ำตาลและปริมาณผลผลิตอ้อยด้วย ในขณะที่ แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่ากลุ่มมิตรผลจะยังคงดำรงสถานะผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลทั้งในประเทศไทยและจีนต่อไป ด้วยประสบการณ์อันยาวนานในธุรกิจน้ำตาลและกระแสเงินสดที่มาจากหลายธุรกิจทั้งจากธุรกิจน้ำตาลและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องน่าจะช่วยให้บริษัทสามารถรับมือกับความผันผวนของราคาน้ำตาลในตลาดโลกและมาตรการต่าง ๆ ที่มิอาจคาดการณ์ได้ของทางการจีน และแม้จะมีแผนการใช้เงินลงทุนจำนวนมากในช่วงปี 2555 ถึงปี 2557 แต่ก็คาดว่าบริษัทจะรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 55% ต่อไปได้ในระยะปานกลาง
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทน้ำตาลมิตรผลก่อตั้งในปี 2489 โดยตระกูลว่องกุศลกิจ ปัจจุบันบริษัทเป็นผู้นำในธุรกิจอ้อยและน้ำตาลของไทยโดยมีตระกูลว่องกุศลกิจถือหุ้นเต็ม 100% ผ่าน บริษัท น้ำตาลมิตรสยาม จำกัด บริษัทน้ำตาลมิตรผลมีโรงงานน้ำตาลทั้งในประเทศไทยและจีน โดยในปีการผลิต 2553/2554 กลุ่มมิตรผลมีผลผลิตน้ำตาลในประเทศไทยและจีนรวมทั้งสิ้น 2.9 ล้านตัน บริษัทเป็นผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทยด้วยกำลังการผลิตที่ 1.9 ล้านตัน คิดเป็นสัดส่วน 19.3% ของปริมาณน้ำตาลทั้งประเทศ ประสิทธิภาพในการผลิตน้ำตาลของโรงงานที่ระดับ 106.10 กิโลกรัม (กก.) ต่อตันอ้อยนับว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 101.33 กก. ต่อตันอ้อย นอกจากนี้ กลุ่มมิตรผลยังคงมีส่วนแบ่งทางการตลาดด้านปริมาณอ้อยสูงสุดในสัดส่วน 18.5% ของปริมาณอ้อยทั้งประเทศ รองลงมาคือกลุ่มไทยรุ่งเรือง (17.2%) กลุ่มไทยเอกลักษณ์ (12%) กลุ่มวังขนาย (7.7%) และกลุ่มน้ำตาลขอนแก่น (6.5%) นอกเหนือจากธุรกิจน้ำตาลในประเทศไทยแล้ว บริษัทน้ำตาลมิตรผลยังเป็นเจ้าของและบริหารโรงงานน้ำตาล 7 แห่งในประเทศจีนด้วย โดยมีผลผลิตน้ำตาล 1.03 ล้านตันในปีการผลิต 2553/2554 ปัจจุบันบริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาด 9.80% ซึ่งถือเป็นผู้ผลิตรายใหญ่อันดับ 2 ในประเทศจีน ด้วยประสิทธิภาพในการผลิตน้ำตาลที่ระดับ 124.21 กก. ต่อตันอ้อย รายได้รวมของกลุ่มมิตรผลในปีการผลิต 2554 (พฤศจิกายน 2553-ตุลาคม 2554) อยู่ที่ 74,261 ล้านบาท และมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายรวม (EBITDA) อยู่ที่ 17,542 ล้านบาท ราคาน้ำตาลในประเทศจีนที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นอย่างมากส่งผลทำให้รายได้จากธุรกิจน้ำตาลในประเทศจีนมีสัดส่วนสูงถึง 41.2% ของรายได้รวมของกลุ่ม และคิดเป็น 50.5% ของ EBITDA รวมของกลุ่ม
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า บริษัทน้ำตาลมิตรผลยังขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำตาลเพื่อใช้ประโยชน์สูงสุดจากอ้อย ได้แก่ ธุรกิจผลิตไฟฟ้า ธุรกิจผลิตเอทานอล ธุรกิจผลิตแผ่นไม้อัด และธุรกิจผลิตกระดาษ โดยปัจจุบันโรงงานผลิตเอทานอลของบริษัทในประเทศไทยมีกำลังการผลิตที่ 690,000 ลิตรต่อวัน EBITDA ของธุรกิจเอทานอลเพิ่มขึ้นอย่าต่อเนื่องเป็น 3,420 ล้านบาทในปีการผลิต 2554 จาก 2,860 ล้านบาทในปีการผลิต 2553 และ 1,815 ล้านบาทในปีการผลิต 2552
รายได้รวมของบริษัทน้ำตาลมิตรผลอยู่ในระดับสูงสุดที่ 74,261 ล้านบาทในปีการผลิต 2554 เพิ่มขึ้น 34.9% จาก 55,060 ล้านบาทในปีการผลิต 2553 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากราคาขายน้ำตาลทั้งในประเทศไทยและจีนที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จากการขายดีขึ้นจากประมาณ 16% ในปีการผลิต 2551 ถึง 2552 เป็น 20% ในปีการผลิต 2553 และ 22.3% ในปีการผลิต 2554 กระแสเงินสดของบริษัทในช่วงปีการผลิต 2553 ถึง 2554 แข็งแกร่งขึ้น โดยมีอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 41.3% ในปีการผลิต 2553 และ 50.7% ในปีการผลิต 2554 จาก 21.6% ในปีการผลิต 2552 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทปรับตัวดีขึ้นโดยลดลงเหลือประมาณ 39% ณ สิ้นปีการผลิต 2553 และ 2554 จาก 50.9% ในปีการผลิต 2552 และ 55.7% ในปีการผลิต 2551
ในปลายปี 2553 บริษัทน้ำตาลมิตรผลได้ซื้อหุ้นจำนวน 19.99% ใน MSF Sugar Ltd. (MSF) ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่อันดับ 3 ของประเทศออสเตรเลีย ปัจจุบันบริษัทถือหุ้นใน MSF อยู่ 98.57% บริษัทคาดว่าจะซื้อกิจการของ MSF ได้ทั้งหมดภายในไตรมาสแรกของปี 2555 ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 313 ล้านเหรียญออสเตรเลีย หรือ 9,700 ล้านบาท MSF มีโรงงานน้ำตาล 4 แห่งซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดและตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐควีนแลนด์ โดยมีกำลังการผลิตน้ำตาล 550,000 ตันต่อปีในปีการผลิต 2554 ภายหลังการซื้อกิจการดังกล่าว กลุ่มมิตรผลจะมีกำลังการผลิตน้ำตาลทั้งหมดเพิ่มขึ้นเป็น 3.5 ล้านตันต่อปี
ปริมาณผลผลิตอ้อยและราคาน้ำตาลในตลาดโลกมีความผันผวนเป็นอย่างมาก ในปีการผลิต 2553/2554 ปริมาณผลผลิตอ้อยของไทยที่ 95 ล้านตันอ้อยถือว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์จากสภาพภูมิอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการปลูกอ้อย รวมทั้งจากการมีพื้นที่ปลูกอ้อยและชาวไร่อ้อยที่เพิ่มมากขึ้น ราคาน้ำตาลทรายดิบในตลาดโลกในเดือนมกราคม 2554 อยู่ในระดับสูงที่ 36.11 เซนต์/ปอนด์เนื่องจากผลผลิตที่ลดลงในประเทศออสเตรเลีย อย่างไรก็ตาม ระดับราคาปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 28 เซนต์/ปอนด์ในเดือนตุลาคม 2554 จากผลผลิตน้ำตาลที่เพิ่มขึ้นของไทย ส่วนในประเทศจีนนั้น ราคาน้ำตาลมักเปลี่ยนแปลงไปตามอุปสงค์และอุปทานภายในประเทศ รวมทั้งตามการบริหารจัดการของรัฐบาลจีน โดยราคาน้ำตาลของจีนปรับเพิ่มขึ้นจากประมาณ 5,000 หยวนต่อตันในปีการผลิต 2552/2553 เป็นประมาณ 7,400 หยวนต่อตันในเดือนกันยายน 2554 ทริสเรทติ้งกล่าว — จบ