บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศผลอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 750 ล้านบาทของ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB” ในขณะเดียวกันยังคงอันดับเครดิตองค์กรของบริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทยที่ระดับ “BBB” ด้วยเช่นกัน โดยแนวโน้มยังคง “Stable” หรือ “คงที่” ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ไปชำระคืนเงินกู้ตามสัญญาปรับปรุงการชำระหนี้ที่บริษัททำไว้เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2552 อันดับเครดิตสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของตราสัญลักษณ์สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านของบริษัทในกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ตลอดจนเครือข่ายสาขาและตัวแทนจำหน่ายที่กว้างขวางทั่วประเทศ ประสบการณ์ที่ยาวนานในธุรกิจให้สินเชื่อเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ฐานลูกค้าที่กระจายตัว คณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์ และพนักงานขายที่ได้รับการอบรมเป็นอย่างดีและมีความใกล้ชิดกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนโดยเสถียรภาพทางธุรกิจและการเงินที่มีประวัติค่อนข้างสั้นหลังจากที่ผลประกอบการของบริษัทเพิ่งฟื้นตัวได้เพียง 2 ปีจากปัญหาขาดทุนในธุรกิจสินเชื่อรถจักรยานยนต์ในช่วงปี 2549-2551 นอกจากนี้ ในการพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความยืดหยุ่นทางการเงินที่มีอยู่อย่างจำกัดและผลงานในกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เน้นฐานลูกค้าผู้ประกอบการขนาดเล็กซึ่งต้องรอการพิสูจน์ความสำเร็จต่อไป ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าคณะผู้บริหารของบริษัทซิงเกอร์ประเทศไทยจะสามารถดำเนินกลยุทธ์ทางการตลาดและนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ได้อย่างเสมอต้นเสมอปลายเพื่อดำรงความมั่นคงของสถานะทางการตลาดของบริษัทเอาไว้ให้ได้ตามแผน อีกทั้งผลประกอบการทั้งด้านการดำเนินธุรกิจและฐานะการเงินจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และคุณภาพสินเชื่อจะได้รับการควบคุมให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทซิงเกอร์ประเทศไทยมีผลประกอบการเป็นกำไรในปี 2553 หลังจากประสบผลขาดทุนมาหลายปี ผลประกอบการของบริษัทได้รับผลกระทบในทางลบระหว่างปี 2549-2550 จากคุณภาพสินเชื่อรถจักรยานยนต์ที่ถดถอยลงอย่างมาก ในปี 2550 คณะผู้บริหารชุดใหม่ซึ่งส่วนใหญ่เคยร่วมงานกับบริษัทมาตั้งแต่ก่อนปี 2548 ได้กลับมาร่วมงานกับบริษัทอีกครั้ง และต่อมาในปี 2551-2552 บริษัทได้ดำเนินการฟื้นฟูและปรับโครงสร้างองค์กรซึ่งรวมถึงการแก้ปัญหาสินเชื่อรถจักรยานยนต์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบการดำเนินงานภายใน ส่งผลให้ยอดบัญชีสินเชื่อคงค้างลดลงจากประมาณ 390,000 บัญชีในปี 2548 เหลือประมาณ 160,000 บัญชีในปี 2552
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ในปี 2553 บริษัทซิงเกอร์ประเทศไทยได้กลับมาเน้นการขายเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านซึ่งบริษัทมีประสบการณ์ที่ยาวนานโดยใช้กลยุทธ์ขยายตลาดให้ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการขนาดเล็ก บริษัทเพิ่มและเน้นจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เป็นเครื่องมือสร้างรายได้ให้แก่ผู้ซื้อ เช่น ตู้แช่ และเครื่องเติมเงินสำหรับโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยรายได้จากผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 ประเภทนี้คิดเป็น 26% ของยอดขายรวมในปี 2553 และเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 60% ในปี 2554 บริษัทมียอดบัญชีสินเชื่อคงค้างเพิ่มขึ้นอีกครั้งหลังจากธุรกิจฟื้นตัว โดยมีจำนวนบัญชีเพิ่มขึ้นจาก 140,730 บัญชีในปี 2553 เป็น 143,099 บัญชีในปี 2554 ลูกค้าเป้าหมายกลุ่มใหม่นี้จัดว่ามีคุณภาพสูงกว่ากลุ่มลูกค้าเป้าหมายทั่วไปของบริษัท นอกจากนี้ กลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ยังช่วยสร้างรายได้ให้แก่ลูกค้าซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการชำระหนี้และยกระดับคุณภาพสินเชื่อโดยรวมได้ด้วย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากบริษัทเพิ่งจำหน่ายสินค้ากลุ่มใหม่นี้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเท่านั้น ดังนั้น ความสำเร็จของกลยุทธ์ใหม่ที่จะช่วยให้บริษัทสร้างความมั่นคงให้แก่สถานะทางการตลาดและผลประกอบการยังต้องรอการพิสูจน์ต่อไป
ในปลายปี 2551 บริษัทซิงเกอร์ประเทศไทยได้จัดตั้งฝ่ายควบคุมสินเชื่อเพื่อตรวจสอบและวิเคราะห์ใบสมัครสินเชื่อ โดยแยกอำนาจการอนุมัติสินเชื่อออกจากพนักงานขายเพื่อสร้างระบบการตรวจสอบและถ่วงดุลโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะพัฒนาคุณภาพสินทรัพย์และมาตรฐานการปฏิบัติงาน ส่งผลให้อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวมถัวเฉลี่ยปรับตัวดีขึ้นจากระดับสูงที่ 26.5% ในปี 2550 เป็น 4.9% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2554 สินเชื่อของบริษัทได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์อุทกภัยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมาเช่นเดียวกับบริษัทที่ให้บริการสินเชื่ออื่นๆ อย่างไรก็ตาม การกระจายตัวของฐานลูกค้าในแง่ของภาระหนี้ต่อบัญชีและในเชิงพื้นที่มีส่วนช่วยให้บริษัทสามารถควบคุมคุณภาพสินเชื่อไว้ได้ อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 5.0% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2554 และยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับอัตราส่วนในอดีต อัตราส่วนการเก็บเงินเฉลี่ย ณ ทุกๆ สิ้นเดือนก็ปรับตัวดีขึ้นจากระดับต่ำที่ 69.5% ในปี 2550 เป็น 91.2% ในปี 2554 ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะกระจายฐานลูกค้าตามประเภทของผลิตภัณฑ์ต่อไป ทั้งนี้ การพึ่งพิงผลิตภัณฑ์ประเภทใดประเภทหนึ่งมากเกินไปจะทำให้บริษัทมีความเสี่ยงจากการกระจุกตัว
บริษัทซิงเกอร์ประเทศไทยรายงานผลขาดทุน 1,233 ล้านบาทในปี 2549 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลจากการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้นจำนวน 1,216 ล้านบาทสำหรับสินเชื่อรถจักรยานยนต์ บริษัทยังคงมีผลขาดทุนต่อเนื่องจำนวน 500 ล้านบาทในปี 2550 ในช่วง 2 ปีดังกล่าว ฐานทุนของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยลดลงเป็น 624 ล้านบาทในปี 2550 จาก 2,299 ล้านบาทในปี 2548 บริษัทรายงานผลกำไร 89 ล้านบาทในปี 2553 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากผลขาดทุน 82 ล้านบาทและ 10 ล้านบาทในปี 2551 และ 2552 ตามลำดับ ผลจากความพยายามในการฟื้นฟูธุรกิจ เช่น การสร้างความแข็งแกร่งให้กระบวนการและเกณฑ์การอนุมัติสินเชื่อให้มากขึ้น การเพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมการเก็บเงิน การลดค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่ไม่จำเป็น และการขยายประเภทผลิตภัณฑ์และฐานลูกค้า เป็นผลให้ความสามารถในการทำกำไรปรับเพิ่มขึ้นมากในปี 2554 โดยบริษัทมีผลกำไรสุทธิ 142 ล้านบาท ซึ่งทำให้ฐานทุนของบริษัทปรับเพิ่มขึ้นเป็น 981 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2554 จาก 848 ล้านบาทในปี 2553 สินเชื่อคงค้างของบริษัทลดลงต่ำสุดเหลือ 1,164 ล้านบาทในปี 2554 จาก 4,960 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2548 ส่งผลให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนลดลงจาก 69.6% ในปี 2551 เป็น 49.3% ณ สิ้นปี 2553 สินเชื่อคงค้างปรับเพิ่มขึ้นอีกครั้งเป็น 1,312 ล้านบาทในปี 2554 ในขณะที่ผลประกอบการที่น่าพอใจได้ช่วยปรับเพิ่มฐานทุนของบริษัท ส่งผลให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนลดลงเป็น 42.8% ในปี 2554 อัตราส่วนดังกล่าวอยู่ในระดับที่เพียงพอให้บริษัทสามารถขยายธุรกิจต่อไปได้
การมีเครือข่ายที่กว้างขวางทำให้ตราสินค้า “ซิงเกอร์” เป็นที่รู้จักในพื้นที่ต่างจังหวัดของประเทศมากว่า 1 ศตวรรษ ณ สิ้นปี 2554 เครือข่ายของบริษัทประกอบด้วยสำนักงานขายจำนวน 189 สาขาและพนักงานขายประมาณ 2,500 คน อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการแข่งขันของบริษัทลดทอนลงไปบางส่วนจากข้อจำกัดด้านความยืดหยุ่นทางการเงิน ในปลายปี 2552 บริษัททำการปรับโครงสร้างเงินกู้ยืมทั้งหมดซึ่งขณะนั้นเป็นเงินกู้ยืมระยะสั้นแบบหมุนเวียนมาเป็นเงินกู้ยืมระยะยาวแบบทยอยจ่ายชำระคืนเงินต้น ซึ่งสัญญาปรับปรุงการชำระหนี้ดังกล่าวช่วยให้บริษัทสามารถเพิ่มสภาพคล่องแต่ก็จำกัดความยืดหยุ่นทางการเงิน ทั้งนี้ เงื่อนไขในสัญญากำหนดว่าบริษัทจะไม่สามารถระดมทุนโดยการกู้ยืมได้ใหม่หากปราศจากความยินยอมจากเจ้าหนี้ส่วนใหญ่ การจ่ายชำระคืนเงินกู้ทั้งหมดภายใต้สัญญาปรับปรุงการชำระเงินจากเงินที่ได้รับจากการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้จะช่วยผ่อนคลายความตึงตัวทางการเงินของบริษัท อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการหาแหล่งเงินทุนใหม่เพื่อใช้ขยายธุรกิจยังคงเป็นความท้าทายที่สำคัญของบริษัท ทริสเรทติ้งกล่าว — จบ