ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร “บล. คันทรี่กรุ๊ป” ที่ “BBB-/Stable”

ข่าวทั่วไป Thursday August 23, 2012 17:01 —ทริส เรตติ้ง

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB-” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงพื้นฐานเงินทุนที่แข็งแกร่งของบริษัท ตลอดจนส่วนแบ่งทางการตลาดที่สูงในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ และรายได้ประจำที่ค่อนข้างสม่ำเสมอจากการลงทุนในบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตยังมีขัอจำกัดจากประวัติผลงานของคณะผู้บริหารชุดปัจจุบันในการดำรงผลการดำเนินงานและความสามารถในการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของบริษัทให้มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงสภาวะแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจท่ามกลางการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นและภาวะตลาดหุ้นไทยที่ยังมีความผันผวนอยู่มาก รวมทั้งความไม่แน่นอนที่เกิดจากการเปิดเสรีค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์อย่างเต็มรูปแบบ นอกจากนี้ การซื้อขายหลักทรัพย์ในบัญชีของบริษัทยังทำให้บริษัทมีความเสี่ยงต่อความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ในตลาดซึ่งมีผลต่ออันดับเครดิตของบริษัทด้วย ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความตั้งใจของผู้บริหารที่จะคงสัดส่วนการถือหุ้นใน บลจ. เอ็มเอฟซี เอาไว้และมองหาโอกาสทางธุรกิจร่วมกัน แนวโน้มอันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถรักษาฐานลูกค้าตลอดจนบุคลากรด้านการตลาดเอาไว้ได้ รวมทั้งลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และมีระบบจัดการความเสี่ยงที่เพียงพอสำหรับใช้ควบคุมความเสี่ยงทั้งในด้านการซื้อขายหลักทรัพย์ในบัญชีของบริษัท การออกใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ และการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์

ทริสเรทติ้งรายงานว่า หลังจากมีผลขาดทุนมานานหลายปี บล. คันทรี่กรุ๊ปก็เริ่มมีผลกำไรในปี 2552 โดยการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกิดขึ้นหลังจากที่นายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณพร้อมทั้งคณะผู้บริหารและบุคลากรด้านการตลาดจำนวนมากได้เข้ามาร่วมงานกับบริษัท หลังจากนั้น ส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจากระดับประมาณ 3% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 มาเป็นกว่า 6% ในช่วงครึ่งหลังของปีเดียวกัน สำหรับครึ่งแรกของปี 2555 ส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทยังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง โดยอยู่ที่ 5.4% (คิดเป็นอันดับ 5 ของอุตสาหกรรม) เทียบกับ 5.1% (อันดับ 3) ในปี 2554 และ 5.9% (อันดับ 2) ในปี 2553

ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ส่วนแบ่งทางการตลาดที่สูงขึ้นประกอบกับสภาวะตลาดที่ค่อนข้างเอื้ออำนวยส่งผลให้ บล. คันทรี่กรุ๊ปมีรายได้ที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก โดยบริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 1,611 ล้านบาทในปี 2553 และ 1,547 ล้านบาทในปี 2554 เทียบกับรายได้เพียง 898 ล้านบาทในปี 2552 แต่ความสามารถในการทำกำไรโดยรวมของบริษัทยังไม่สูงมากนักเนื่องจากมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่อยู่ในระดับสูง แม้ว่าอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้สุทธิของบริษัทจะลดลงบ้างจาก 81% ในปี 2553 มาอยู่ที่ 77% ในปี 2554 แต่อัตราส่วนดังกล่าวก็ยังอยู่ในระดับที่สูงเมื่อเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรม ดังนั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้บริหารในการที่จะควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและใช้ประโยชน์จากการประหยัดจากขนาดให้เต็มที่กว่านี้

การบังคับใช้อัตราค่านายหน้าแบบขั้นบันไดตั้งแต่เดือนมกราคม 2553 ได้ทำให้อัตราค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์โดยเฉลี่ยของ บล. คันทรี่กรุ๊ปลดลงจาก 0.22% ในปี 2552 มาอยู่ที่ประมาณ 0.17% ในปี 2553 และปี 2554 ทั้งนี้ ในปี 2555 อัตราค่านายหน้าน่าจะลดต่ำลงอีกจากการแข่งขันที่รุนแรงหลังการเปิดเสรีค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ โดยในไตรมาสแรกของปี 2555 อัตราค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์โดยเฉลี่ยของบริษัทลดลงอีกเล็กน้อยมาอยู่ที่ 0.16% แม้ว่าจะยังไม่มีสงครามราคาที่ทำให้อัตราค่านายหน้าในอุตสาหกรรมลดต่ำลงอย่างไม่สมเหตุสมผล แต่ความไม่แน่นอนดังกล่าวยังคงเป็นความเสี่ยงที่คุกคามความสามารถในการทำกำไรของทั้งอุตสาหกรรม และอาจกระทบกับผลประกอบการของบริษัทในอนาคตได้

ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนใน บลจ. เอ็มเอฟซี คิดเป็นสัดส่วน 24% และ 19% ของกำไรสุทธิของ บล. คันทรี่กรุ๊ปในปี 2553 และปี 2554 ตามลำดับ บริษัทได้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนใน บลจ. เอ็มเอฟซี เป็น 20.7% ในเดือนกุมภาพันธ์ 2552 อันมีผลทำให้ บลจ. เอ็มเอฟซี เปลี่ยนสถานะเป็นบริษัทร่วม บริษัทได้ทยอยเพิ่มสัดส่วนการลงทุนจนอยู่ที่ระดับ 24.9% ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2553 ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนใน บลจ. เอ็มเอฟซี นี้ถือเป็นแหล่งรายได้ประจำที่ค่อนข้างสม่ำเสมอแหล่งหนึ่งของบริษัท นอกจากนี้ บริษัทยังมี บลจ. เอ็มเอฟซี เป็นลูกค้าสถาบันในประเทศรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ด้วย

แม้ว่าการซื้อขายหลักทรัพย์ในบัญชีของ บล. คันทรี่กรุ๊ปจะสร้างผลกำไรได้อย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2552 แต่ก็ได้ทำให้บริษัทมีความเสี่ยงต่อความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ ทั้งนี้ การซื้อขายหลักทรัพย์ในบัญชีของบริษัทมีทั้งในส่วนของการเก็งกำไรรายวันและการลงทุนในระยะกลางถึงระยะยาว นอกจากนี้ บริษัทยังออกใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์หลายชุดด้วยกันตั้งแต่เดือนกันยายน 2554 ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะมีระบบบริหารจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากหนี้สินอนุพันธ์ทางการเงินจากการออกใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ดังกล่าว ในด้านความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์นั้น บริษัทมียอดการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์คงค้างจำนวน 1 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2555 ซึ่งคิดเป็น 35% ของส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทและเป็น 3.3% ของการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ทั้งอุตสาหกรรม

ส่วนของผู้ถือหุ้นของ บล. คันทรี่กรุ๊ปอยู่ที่ประมาณ 2.9 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2555 อัตราส่วนสินทรัพย์รวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 1.4 เท่า ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2555 เทียบกับ 1.5 เท่า และ 1.3 เท่า ณ สิ้นปี 2553 และปี 2554 ตามลำดับ ซึ่งจัดว่าอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับคู่แข่ง บริษัทมีอัตราส่วนเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิต่อหนี้สินทั่วไปในระดับที่สูงมาอย่างต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นปี 2554 อยู่ที่ 239% ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าเกณฑ์ 7% ตามที่ทางการกำหนดอยู่มาก

ในระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมาถือได้ว่าคณะผู้บริหารชุดปัจจุบันค่อนข้างประสบความสำเร็จในการเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดและเพิ่มผลกำไรให้แก่ บล. คันทรี่กรุ๊ป เพียงแต่ว่าผลกำไรที่ดีขึ้นนี้เกิดในปีที่ดีของอุตสาหกรรมหลักทรัพย์โดยรวม ดังนั้น ความท้าทายของผู้บริหารจึงอยู่ที่การคงรักษาสถานภาพทางการตลาดของบริษัทเอาไว้และปรับปรุงความสามารถในการทำกำไรเพื่อให้บริษัทสามารถผ่านวัฎจักรความผันผวนของอุตสาหกรรมหลักทรัพย์ได้ต่อไป ทริสเรทติ้งกล่าว — จบ

บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (CGS)
อันดับเครดิตองค์กร:	                    คงเดิมที่ BBB-
แนวโน้มอันดับเครดิต:	                    Stable (คงที่)
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com  โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2555  ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/ratinginformation/rating_criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ