ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิต “ธ. กรุงศรีอยุธยา”: องค์กรที่ “AA-” หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่ “A+” แนวโน้ม “Stable”

ข่าวทั่วไป Wednesday September 26, 2012 17:31 —ทริส เรตติ้ง

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “AA-” และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิไม่มีประกันของธนาคารที่ระดับ “A+” โดยแนวโน้มยังคง “Stable” หรือ “คงที่” อันดับเครดิตสะท้อนถึงคณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์ สถานะทางการตลาดที่มั่นคงในธุรกิจหลักของธนาคาร ตลอดจนฐานะการเงินและคุณภาพสินทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้น รวมทั้งเงินกองทุนที่มีความแข็งแกร่ง อันดับเครดิตยังได้รับแรงหนุนจากสถานะเครดิตที่แข็งแกร่งของ GE Capital International Holdings Corporation (GECIH) ในฐานะผู้ถือหุ้นหลักของธนาคารในสัดส่วน 25% ณ วันที่ 26 กันยายน 2555 อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกบั่นทอนจากความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้นในตลาดที่มีความเสี่ยงสูง ตลอดจนการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งความไม่แน่นอนของการเมืองภายในประเทศและสถานการณ์การเงินทั่วโลกซึ่งเป็นปัจจัยที่อาจจำกัดความสามารถในการขยายธุรกิจและทำกำไรของธนาคาร ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนการคาดการณ์ว่าธนาคารจะดำรงสถานะทางธุรกิจและฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง รวมทั้งปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์ให้ดีขึ้นต่อไปได้ในระยะกลาง นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าธนาคารจะสามารถสร้างความแข็งแกร่งให้แก่มูลค่าเครือข่ายทางธุรกิจของธนาคารเพิ่มขึ้นได้ในระยะยาว

ทริสเรทติ้งรายงานว่า ธนาคารกรุงศรีอยุธยาเป็นธนาคารพาณิชย์ไทยที่มีขนาดสินทรัพย์ใหญ่เป็นอันดับ 5 โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2555 มีส่วนแบ่งทางการตลาดด้านสินทรัพย์ 8.4% เงินให้สินเชื่อ 8.9% และเงินรับฝาก 7.5% ในขณะที่สินทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็น 1,034.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.2% จากเดือนธันวาคม 2554 ธนาคารยังคงเป็นผู้ประกอบการธุรกิจบัตรเครดิตและให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลรายใหญ่ที่สุด อีกทั้งยังเป็นผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์รายใหญ่อันดับ 2 และเป็นผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ใช้แล้วรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ธนาคารมีการเติบโตทั้งจากการขยายธุรกิจและจากการซื้อกิจการ ทั้งนี้ การซื้อกิจการช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่สถานะทางการตลาดของธุรกิจสินเชื่อรายย่อยและธุรกิจบัตรเครดิต อีกทั้งยังช่วยกระจายสินเชื่อไปในภาคส่วนที่ให้ผลตอบแทนสูงมากยิ่งขึ้น (อาทิ สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ สินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล) ที่ผ่านมา ธนาคารได้ซื้อกิจการ บริษัท จีอี แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) (GECAL) ในปี 2551 และซื้อกิจการธนาคารเอไอจีเพื่อรายย่อย, เอไอจี คาร์ด และ จีอี มันนี่ (ประเทศไทย) ในปี 2552 นอกจากนี้ ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2555 ธนาคารประสบความสำเร็จในการซื้อธุรกิจสินเชื่อรายย่อยในประเทศไทยจากธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงกิ้งคอร์ปอเรชั่น จำกัด โดยได้พอร์ตสินเชื่อมูลค่า 13.9 พันล้านบาทและพอร์ตเงินรับฝากอีก 9.6 พันล้านบาท ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2555 ธนาคารมีสัดส่วนสินเชื่อรายย่อยต่อสินเชื่อรวมเท่ากับ 48% เพิ่มขึ้นจาก 22% ในปี 2550 ในขณะที่สัดส่วนของสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ลดลงมาอยู่ที่ 26% จาก 34% และสัดส่วนสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กลดลงจาก 44% มาอยู่ที่ 26% อย่างไรก็ตาม ธนาคารมีความเสี่ยงด้านเครดิตเพิ่มขึ้นจากการขยายตัวของสินเชื่อรายย่อยซึ่งเป็นกลุ่มที่อาจอ่อนแอลงได้ในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม เงินกองทุนที่รวมค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญของธนาคารยังคงเพียงพอสำหรับรองรับการเสื่อมค่าลงที่มิอาจคาดการณ์ได้ของสินทรัพย์อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว

ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ธนาคารกรุงศรีอยุธยาได้ประโยชน์จากการถ่ายทอดทั้งความรู้และระบบงานจากกลุ่ม GE ภายหลังการเข้าร่วมเป็นพันธมิตรธุรกิจ ทั้งนี้ ธนาคารได้วางระบบโครงสร้างพื้นฐานในการดำเนินธุรกิจเพื่อความสำเร็จในอนาคต นอกจากนี้ ธนาคารยังเร่งการเติบโตโดยมุ่งเน้นการผสานความเป็นหนึ่งในกลุ่ม รวมทั้งเพิ่มศักยภาพในการขายผลิตภัณฑ์และบริการอย่างต่อเนื่อง (Cross-selling) โดยคาดว่าจะช่วยสร้างความแข็งแกร่งในมูลค่าเครือข่ายทางธุรกิจ (Franchise Value) ได้ในระยะยาว นอกจากนี้ ผู้บริหารยังคงให้ความสำคัญกับการปรับปรุงคุณภาพของสินทรัพย์ การเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และการเติบโตในสินทรัพย์ที่สร้างผลกำไรแก่ธนาคาร

ฐานะทางการเงินของธนาคารกรุงศรีอยุธยาปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นผลจากการเติบโตของสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดกำไร รวมถึงประสิทธิภาพในการควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและต้นทุนด้านเครดิต รายได้ดอกเบี้ยสุทธิและรายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นในปี 2554 รวมทั้งในงวดครึ่งแรกของปี 2555 ทั้งนี้ กำไรสุทธิก่อนหักภาษีเงินได้ในปี 2554 มีจำนวน 15.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.5% จาก 12.3 พันล้านบาทในปี 2553 อย่างไรก็ตาม ภาษีเงินได้ของธนาคารในปี 2554 เพิ่มขึ้น 2.1 พันล้านบาท อันเป็นผลจากการประเมินมูลค่าสินทรัพย์และหนี้สินภาษีเงินได้รอตัดบัญชีขึ้นใหม่จากการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลในปี 2555 ส่งผลทำให้กำไรสุทธิของธนาคารเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพียง 5.4% เป็น 9.3 พันล้านบาทในปี 2554 จาก 8.8 พันล้านบาทในปี 2553 อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ย (ROAA) ในปี 2554 เท่ากับ 1.02% ลดลงเล็กน้อยจาก 1.07% ในปี 2553 สำหรับอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นถัวเฉลี่ย (ROAE) ในปี 2554 เท่ากับ 9.18% ใกล้เคียงกับระดับ 9.17% ในปี 2553 อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิงวดครึ่งแรกของปี 2555 มีจำนวน 7.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 23.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วน ROAA และ ROAE ที่ยังไม่ได้ปรับให้เป็นตัวเลขเต็มปีเท่ากับ 0.72% และ 6.77% ตามลำดับ สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 0.65% และ 5.78%

ธนาคารกรุงศรีอยุธยามีระบบบริหารความเสี่ยงที่ดี ส่งผลให้คุณภาพสินทรัพย์ดีขึ้น และจากความทุ่มเทที่ผ่านมาธนาคารสามารถแก้ไขสินเชื่อด้อยคุณภาพในอดีตได้ สะท้อนจากปริมาณสินเชื่อด้อยคุณภาพที่ลดลงอย่างต่อเนื่องโดยมีจำนวน 24.2 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2555 ลดลงจาก 52.1 พันล้านบาทในปี 2552 สัดส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวมลดลงจาก 8.6% ในปี 2552 เหลือเพียง 3.2% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2555 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ไทย 11 แห่งที่ระดับ 3.4% (ไม่รวมธนาคาร 4 แห่งที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์) ในขณะเดียวกัน สินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เงินให้สินเชื่อจัดชั้นค้างชำระเกินกว่า 3 เดือน เงินให้สินเชื่อที่ปรับโครงสร้างหนี้ และสินทรัพย์รอการขาย) ก็ลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยอัตราส่วนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพต่อสินทรัพย์รวม ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2555 เท่ากับ 4.9% ลดลงอย่างมากจาก 10.1% ในปี 2553 และ 17.0% ในปี 2552 นอกจากนี้ ธนาคารยังมีเงินกองทุนและค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพียงพอสำหรับรองรับสินทรัพย์ที่อาจเสื่อมค่าลงจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมด้วย โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2555 ธนาคารมีสินทรัพย์ด้อยคุณภาพคิดเป็น 0.35 เท่าของเงินกองทุนที่รวมค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ ซึ่งลดลงจาก 0.61 เท่าในปี 2553 และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของระบบที่ 0.48 เท่า

ธนาคารกรุงศรีอยุธยามีแหล่งเงินทุนที่มีการกระจายตัวซึ่งสอดคล้องกับโครงสร้างสินทรัพย์และหนี้สินของธนาคารมากขึ้น นอกจากนี้ ธนาคารยังพยายามเพิ่มปริมาณลูกค้ารายย่อยเพื่อกระจายแหล่งเงินทุนให้มากยิ่งขึ้นด้วย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2555 ธนาคารมีเงินรับฝากประเภทกระแสรายวันและออมทรัพย์ซึ่งนับเป็นแหล่งเงินทุนที่มีเสถียรภาพในสัดส่วน 39% ของเงินรับฝากรวมตั๋วแลกเงิน เพิ่มขึ้นจาก 33% ในปี 2554 ทางด้านสภาพคล่องของธนาคารนั้นมีความตึงตัวมากกว่าธนาคารอื่น อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินรับฝากรวมตั๋วแลกเงินเพิ่มขึ้นจาก 101% ในปี 2554 เป็น 105% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2555 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของระบบที่ 94% แต่หากนำหุ้นกู้มาพิจารณาร่วมด้วยแล้วอัตราส่วนของธนาคารจะใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของระบบ นอกจากนี้ ธนาคารยังมีสินทรัพย์สภาพคล่องเพียง 20% ของสินทรัพย์รวม ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของระบบที่ระดับ 28% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2555

เงินกองทุนของธนาคารกรุงศรีอยุธยารยังคงแข็งแกร่ง แม้ว่าอัตราส่วนของส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมของธนาคารจะลดลงจาก 11.9% ในปี 2552 เป็น 10.8% ในปี 2554 และ 10.4% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2555 เนื่องจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วของสินเชื่อในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่ธนาคารยังคงมีเงินกองทุนที่เพียงพอต่อการเติบโตในระยะกลาง โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 และเงินกองทุนรวมต่อสินทรัพย์เสี่ยง ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2555 ที่ระดับ 11.51% และ 16.00% ตามลำดับ ลดลงจาก 11.85% และ 16.29% ในปี 2554 ทั้งนี้ อัตราส่วนของธนาคารยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยของระบบที่ระดับ 10.39% และ 14.84% และยังคงมากกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ระดับ 4.25% และ 8.50% ทริสเรทติ้งกล่าว — จบ

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) (BAY)
อันดับเครดิตองค์กร:	                                    คงเดิมที่ AA-
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
BAY206A: หุ้นกู้ด้อยสิทธิไม่มีประกัน 20,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2563	คงเดิมที่ A+
แนวโน้มอันดับเครดิต:	                                    Stable (คงที่)
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com  โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2555  ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/ratinginformation/rating_criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ