บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้มีประกันของ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB” พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “BBB-” ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 6,000 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “BBB-” ที่ประกาศเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2555 นอกจากนี้ ยังปรับเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทเป็น “Negative” หรือ “ลบ” จาก “Stable” หรือ “คงที่” การปรับแนวโน้มสะท้อนถึงอัตราส่วนกำไรของบริษัทที่อ่อนแอลงจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการบริหารโครงข่ายและค่าใช้จ่ายในการเพิ่มจำนวนผู้ใช้บริการในธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่สูงกว่าประมาณการ รวมถึงความเสี่ยงที่มากขึ้นในธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่จากความไม่แน่นอนในโครงสร้างต้นทุนจากสัมปทานที่ใกล้จะหมดอายุ และความสามารถของบริษัทในการปรับปรุงผลการดำเนินงานในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า
อันดับเครดิตของบริษัทสะท้อนถึงฐานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งจากการเป็นผู้นำในธุรกิจให้บริการโทรคมนาคมแบบครบวงจร ตลอดจนความแข็งแกร่งทางการตลาดในธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (Broadband) และธุรกิจโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิก รวมทั้งการที่บริษัทมีโครงข่ายโทรคมนาคมที่ให้บริการภายใต้เทคโนโลยีที่หลากหลาย อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกดังกล่าวมีข้อจำกัดจากการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจหลัก ตลอดจนความไม่แน่นอนของกฎระเบียบด้านโทรคมนาคมและคดีฟ้องร้องที่ยังไม่ถูกตัดสิน ความเสี่ยงจากการขยายการลงทุนที่รวดเร็วในธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ และการที่บริษัทมีภาระหนี้จำนวนมาก
แนวโน้มอันดับเครดิต “Negative” หรือ “ลบ” ซึ่งเปลี่ยนจาก “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนอัตราส่วนกำไรที่อ่อนแอลงและความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้นจากความไม่แน่นอนของโครงสร้างต้นทุนในธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ของบริษัท อันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากผลการดำเนินงานของบริษัทมีแนวโน้มอ่อนแอลงเป็นระยะเวลาต่อเนื่อง หรือความสามารถในการแข่งขันของบริษัทลดลงจากโครงสร้างต้นทุนที่เปลี่ยนไป อย่างไรก็ตาม แนวโน้มอันดับเครดิตอาจถูกปรับกลับมาที่ “Stable” หรือ “คงที่” หากกลุ่มธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ของบริษัทสามารถรับประโยชน์จากการลงทุนกลับคืนมาอย่างมีนัยสำคัญและโครงสร้างเงินทุนของบริษัทมีแนวโน้มว่าจะปรับตัวดีขึ้น
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัททรู คอร์ปอเรชั่นเป็นผู้นำในการให้บริการโทรคมนาคมแบบครบวงจรของประเทศ ธุรกิจหลักของบริษัททั้ง 3 กลุ่มประกอบด้วย กลุ่มธุรกิจโครงข่ายสายสัญญาณ (Wireline) ซึ่งดำเนินงานโดยทรูออนไลน์ กลุ่มธุรกิจไร้สาย (Wireless) หรือโทรศัพท์เคลื่อนที่ภายใต้แบรนด์ทรูมูฟ และทรูมูฟ เอช ซึ่งดำเนินงานโดยทรูโมบาย และกลุ่มธุรกิจโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิก (Pay TV) โดยทรูวิชั่นส์ ในครึ่งแรกของปี 2555 ธุรกิจทั้ง 3 กลุ่มสร้างรายได้ให้แก่บริษัทในสัดส่วน 27% 62% และ 11% ตามลำดับ
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า บริษัททรู คอร์ปอเรชั่นมีสถานะทางธุรกิจที่เข้มแข็งในตลาดอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงจากการมีเครือข่ายที่ครอบคลุมในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล สถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทยังสะท้อนถึงการเป็นผู้ให้บริการโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิกรายใหญ่ที่สุด รวมทั้งเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในลำดับที่ 3 นอกจากนี้ อันดับเครดิตของบริษัทยังสะท้อนถึงความคาดหวังว่าเครือเจริญโภคภัณฑ์ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทจะให้การสนับสนุนแก่บริษัทอย่างเนื่อง
บริษัททรู คอร์ปอเรชั่นได้ขยายการลงทุนในโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3 จีอย่างรวดเร็วตั้งแต่ปี 2554 โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2555 ทรูมูฟ เอช มีจำนวนผู้ใช้บริการอยู่ที่ 2 ล้านราย กลุ่มทรูโมบายมีรายได้จากการให้บริการ (ไม่รวมค่าเชื่อมโยงโครงข่าย) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2555 เติบโตขึ้น 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยธุรกิจบริการด้านข้อมูล (Non-voice) เติบโตถึง 71% จากความได้เปรียบในการเป็นผู้ให้บริการ 3จีรายแรก อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งมองว่าต้นทุนด้านโครงข่ายและค่าใช้จ่ายในการเพิ่มผู้ใช้บริการนั้นปรับสูงขึ้นมากกว่าประมาณการอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้บริษัทต้องเผชิญกับความเสี่ยงในระยะปานกลางหากบริษัทไม่สามารถเพิ่มจำนวนผู้ใช้บริการได้ตามที่คาด
รายได้จากการให้บริการของบริษัททรู คอร์ปอเรชั่นคาดว่าจะเติบโตที่ตัวเลขหนึ่งหลักในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดยรายได้จากอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและบริการด้านข้อมูลจะเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทปรับลดลงอย่างมากตั้งแต่ปี 2554 ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนกำไรดังกล่าวจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นในปี 2557 อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่ผลประกอบการจะไม่เป็นไปตามประมาณการก็อยู่ในระดับสูงเนื่องจากยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูงว่าบริษัทจะรักษาความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุนในการให้บริการในโครงข่าย 2จีเอาไว้ได้หลังจากที่สัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่ของบริษัทกับ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) (กสท) หมดอายุลงในปี 2556 นอกจากนี้ ยังมีความไม่แน่นอนว่าบริษัทจะสามารถย้ายฐานลูกค้ามายังโครงข่ายที่มีต้นทุนต่ำลงและสามารถลดค่าใช้จ่ายในโครงข่าย 2จีได้อย่างเต็มที่ตามคาดไว้หรือไม่
ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัททรู คอร์ปอเรชั่นจะเพิ่มสูงสุดในปี 2556 มาอยู่ที่ 85% เนื่องจากบริษัทยังคงมีความต้องการเงินกู้เพื่อขยายโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่และโครงข่ายเคเบิลอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง เงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.3-1.6 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2555-2558 ทั้งนี้ บริษัทอาจจำเป็นต้องมีภาระหนี้เพิ่มขึ้นสำหรับการลงทุนในใบอนุญาต 3จี 2.1GHz ในกรณีดังกล่าว ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะเพิ่มภาระหนี้พร้อมกับการเพิ่มทุนเพื่อรักษาโครงสร้างเงินทุนและสภาพคล่องไม่ให้อ่อนแอลงไปกว่าระดับปัจจุบัน ทริสเรทติ้งกล่าว — จบ