บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์และหุ้นกู้ไม่มีประกันของ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A+” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงความเป็นผู้นำธุรกิจของบริษัทในฐานะผู้ประกอบการโรงพยาบาลเอกชนรายใหญ่ที่สุดในประเทศ ความสามารถในการรองรับและให้บริการผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนเครือข่ายของบริษัทที่ขยายใหญ่ขึ้นหลังการควบรวมกับกลุ่มโรงพยาบาลพญาไท (PYT) และกลุ่มโรงพยาบาลเปาโล (Paolo) รวมถึงคณะผู้บริหาร บุคลากร และผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ที่มีความสามารถและมากประสบการณ์ บริการที่มีคุณภาพในระดับสูง และเครื่องมืออุปกรณ์ที่มีมาตรฐาน อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากการแข่งขันที่ค่อนข้างรุนแรงจากผู้ประกอบการทั้งในประเทศและต่างประเทศ และการลงทุนในอนาคตของบริษัทที่อาจจะใช้เงินทุนจากการกู้ยืม ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” ของบริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการสะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถคงความเป็นผู้นำในธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนทั้งในประเทศและในภูมิภาค อีกทั้งยังคาดหวังให้บริษัทดึงดูดผู้ป่วยให้มาใช้บริการเพิ่มขึ้นและคงผลประกอบการที่เข้มแข็งเอาไว้ได้ โดยการลงทุนหรือการซื้อกิจการใดใดในอนาคตควรมีการพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อคงความแข็งแกร่งทางการเงินเอาไว้
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการก่อตั้งในปี 2512 เพื่อดำเนินธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนภายใต้ชื่อโรงพยาบาลกรุงเทพ บริษัทเป็นผู้นำธุรกิจในฐานะผู้ประกอบการโรงพยาบาลเอกชนรายใหญ่ที่สุดในประเทศ ปัจจุบันบริษัทมีโรงพยาบาลในเครือทั้งหมด 28 แห่งภายใต้ตราสัญลักษณ์โรงพยาบาลในประเทศที่เป็นที่รู้จักและยอมรับอย่างแพร่หลายจำนวน 5 ตราสัญลักษณ์และภายใต้ตราสัญลักษณ์โรงพยาบาลต่างประเทศอีก 1 ตราสัญลักษณ์ โดยมีโรงพยาบาลที่ประกอบกิจการภายใต้ชื่อโรงพยาบาลกรุงเทพ 14 แห่ง ภายใต้ชื่อโรงพยาบาลสมิติเวช 3 แห่ง ภายใต้ชื่อโรงพยาบาลบีเอ็นเอช 1 แห่ง และอีก 2 แห่งภายใต้ชื่อ Royal International Hospital ตราสัญลักษณ์โรงพยาบาลอีก 2 ตรา คือ โรงพยาบาลพญาไทและโรงพยาบาลเปาโลเข้ามารวมในกลุ่มบริษัทเมื่อเดือนเมษายน 2554 บริษัทมีความสามารถในการให้บริการผู้ป่วยทั้งสิ้น 4,140 เตียง นอกจากนี้บริษัทยังวางแผนจะเปิดโรงพยาบาลขนาด 120 เตียงอีก 1 แห่งที่จังหวัดอุดรธานีภายในสิ้นปี 2555 นี้ด้วย เครือข่ายที่แข็งแกร่งนี้เป็นปัจจัยที่ช่วยขยายแหล่งรายได้ของบริษัทตลอดจนฐานลูกค้าจนครอบคลุมกลุ่มคนไข้ระดับกลางถึงระดับบนในหลากหลายทำเลมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ โรงพยาบาลในเครือของบริษัทจำนวน 9 แห่งได้รับการรับรองมาตรฐานจาก Joint Commission International (JCI)
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการมาจากความหลากหลายทั้งในด้านบริการ ฐานลูกค้า และทำเลที่ตั้ง บริษัทเป็นศูนย์รวมของบุคลากรซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ พยาบาล พนักงานคลังยาและเวชภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุด อีกทั้งยังมีเครือข่ายระบบส่งต่อผู้ป่วยที่แข็งแกร่งที่สุดด้วย โรงพยาบาลในกลุ่มเน้นรักษาและให้บริการระดับตติยภูมิซึ่งจะช่วยปรับเพิ่มรายได้และการใช้เครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์รวมทั้งบริการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการมากยิ่งขึ้น การประหยัดจากขนาดซึ่งเป็นผลจากการใช้บริการห้องปฏิบัติการ การจัดซื้อยา เวชภัณฑ์ และเครื่องมือทางการแพทย์หลักร่วมกันจะก่อให้เกิดประโยชน์ในการใช้ต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การนำระบบบริหารเงินโดยการทำ Cash Pooling มาใช้กับโรงพยาบาลในกลุ่มยังช่วยลดระดับความต้องการเงินกู้ระยะสั้นในแต่ละโรงพยาบาลและลดต้นทุนทางการเงินของกลุ่มโดยรวมลงด้วย
เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน บริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการมีรายได้จากธุรกิจโรงพยาบาลในปี 2554 เพิ่มขึ้น 50% มาอยู่ที่ 35,224.5 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 34.9% สำหรับช่วง 6 เดือนแรกของปี 2555 ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยหลายประการ ได้แก่ การเติบโตของจำนวนคนไข้ ความซับซ้อนของโรค จำนวนผู้ป่วยส่งต่อที่เพิ่มขึ้น และการรวมรายได้จากกลุ่มโรงพยาบาลพญาไทและเปาโลเข้ามา โดยในปี 2554 โรงพยาบาลมีความสามารถในการให้บริการผู้ป่วยนอก 20,322 คนต่อวัน เพิ่มขึ้น 97% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และรองรับผู้ป่วยใน 2,665 เตียงต่อวัน ซึ่งเพิ่มขึ้น 78% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้จากผู้ป่วยประมาณ 53%-55% มาจากผู้ป่วยใน และที่เหลือมาจากผู้ป่วยนอก ส่วนรายได้จากกลุ่มผู้ป่วยที่ชำระเงินเองมีมากกว่า 70% ของรายได้รวม
สถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการได้รับแรงหนุนจากผลการดำเนินงานที่เข้มแข็ง กระแสเงินสดของบริษัทยังคงแข็งแกร่งและเติบโตอย่างมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เงินทุนจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจาก 4,372 ล้านบาทในปี 2553 เป็น 6,605 ล้านในปี 2554 และบริษัทสามารถสร้างเงินทุนจากการดำเนินงานได้ 4,096 ล้านบาทสำหรับช่วง 6 เดือนแรกของปี 2555 อัตรากำไรจากการดำเนินงานค่อนข้างเสถียรอยู่ที่ระดับ 20%-22% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เมื่อพิจารณาถึงแผนการควบคุมต้นทุน รวมถึงการเพิ่มการใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ที่ใช้ร่วมกันภายในกลุ่ม และการขยายการลงทุนในธุรกิจที่ไม่ใช่โรงพยาบาลซึ่งให้ผลตอบแทนสูงกว่าแล้วคาดว่าการทำกำไรของบริษัทในระยะปานกลางจะปรับตัวดีขึ้น
ภาระหนี้ของบริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการเพิ่มขึ้นในระยะหลัง โดยเพิ่มขึ้นจาก 10,751 ล้านบาท ณ ปลายปี 2553 มาอยู่ที่ 16,792 ล้านบาท ณ ปลายปี 2554 และ เพิ่มขึ้นเป็น 20,968 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2555 เนื่องจากบริษัทได้รับเอาภาระหนี้ของกลุ่มโรงพยาบาลพญาไทและเปาโลเข้ามาหลังการควบรวมกิจการ และเป็นผลจากการลงทุนในโรงพยาบาลแห่งใหม่และบริษัทในเครือ อย่างไรก็ตาม บริษัทได้เพิ่มฐานทุนในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกันซึ่งทำให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนลดลงเล็กน้อยจาก 39.8% ในปี 2553 มาอยู่ที่ 37.5% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2555 ภาระหนี้ส่วนใหญ่ของบริษัทก็เป็นเงินในสกุลบาทที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ ดังนั้น บริษัทจึงไม่มีความเสี่ยงในด้านอัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยน
การลงทุนในปัจจุบันของบริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการในโรงพยาบาลแห่งใหม่ในจังหวัดเชียงใหม่ อุดรธานี และระยองจะนำมาซึ่งโอกาสในการเติบโตที่ดีในอนาคต ตลอดจนทำให้เครือข่ายโรงพยาบาลของบริษัทขยายกว้างขวางขึ้น และก่อให้เกิดการประหยัดต่อขนาดเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนลงทุนในธุรกิจที่ไม่ใช่โรงพยาบาลอีก เช่น การให้บริการห้องปฏิบัติการ การผลิตและจำหน่ายยา รวมถึงการให้บริการด้านเวชภัณฑ์ บริษัทคาดว่าจะใช้เงินลงทุนในช่วงปี 2555-2558 ประมาณปีละ 6,200-7,700 ล้านบาท ทริสเรทติ้งกล่าว — จบ