ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร &หุ้นกู้ไม่มีประกัน “บ. บีเอสแอล ลีสซิ่ง” ที่ “BBB/Stable”

ข่าวทั่วไป Friday March 8, 2013 16:32 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันของ บริษัท บีเอสแอล ลีสซิ่ง จำกัด ที่ระดับ “BBB” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงคณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์ การบริหารความเสี่ยงในระดับที่ยอมรับได้ และคุณภาพของสินทรัพย์ที่ดีกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง นอกจากนี้ อันดับเครดิตดังกล่าวยังสะท้อนการลดลงอย่างต่อเนื่องของอัตราการก่อหนี้เมื่อเทียบกับทุน และการสนับสนุนด้านการเงินจากผู้ถือหุ้นใหญ่ อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวลดทอนลงบางส่วนจากการที่บริษัทยังมีเครือข่ายการให้บริการลูกค้าบริเวณรอบนอกกรุงเทพฯ ที่ไม่กว้างขวางพอและการสนับสนุนทางการเงินที่จำกัดจากผู้ถือหุ้นใหญ่คือ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ซึ่งการสนับสนุนที่จำกัดอาจกระทบต่อความยืดหยุ่นทางการเงินของบริษัทและเป็นอุปสรรคต่อการขยายธุรกิจ ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงได้รับการสนับสนุนทางการเงินอย่างต่อเนื่องจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ พร้อมทั้งยังคงเพิ่มความหลากหลายของแหล่งเงินกู้ไปด้วย แนวโน้มอันดับเครดิตยังพิจารณารวมไปถึงความคาดหมายที่คณะผู้บริหารของบริษัทจะสามารถคงคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีและรักษาผลการดำเนินงานในระดับที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้ด้วย

บริษัทบีเอสแอล ลีสซิ่ง ก่อตั้งในปี 2528 โดยการร่วมทุนในสัดส่วน 50:50 ระหว่างธนาคารกรุงเทพและบริษัทในกลุ่มกับ Sumitomo Mitsui Banking Corporation ประเทศญี่ปุ่น (SMBC ซึ่งเดิมชื่อ Mitsui Taiyo Kobe Bank) เพื่อดำเนินธุรกิจให้บริการทางการเงินสำหรับจัดซื้อเครื่องจักรและยานพาหนะในอุตสาหกรรมภายใต้สัญญาลีสซิ่งและเช่าซื้อ ต่อมาในปี 2547 บริษัทได้ขยายสู่ธุรกิจแฟคตอริ่ง ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทในปัจจุบันคือกลุ่มธนาคารกรุงเทพซึ่งถือหุ้นในสัดส่วน 50% SMBC ถือ 40% และผู้ถือหุ้นอื่นอีก 10% ทั้งธนาคารกรุงเทพและ SMBC ให้การสนับสนุนบริษัททั้งในรูปการให้เงินกู้และการแนะนำลูกค้าให้ส่วนหนึ่ง

ภายใต้การแข่งขันที่รุนแรง ส่วนแบ่งทางการตลาดของบริการสินเชื่อและลีสซิ่งอุปกรณ์และเครื่องจักรของบริษัทลดลงจากลำดับที่ 4 มาอยู่ในอันดับที่ 6 จากจำนวนผู้ให้บริการรายใหญ่ 11 รายในฐานข้อมูลของทริสเรทติ้งในปี 2554 ทั้งนี้ สินเชื่อคงค้างของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 3,828 ล้านบาทในปี 2550 เป็น 4,877 ล้านบาทในปี 2553 และยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 5,255 ล้านบาทในปี 2554 และ 5,429 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555 ธุรกิจของบริษัทกระจุกตัวอยู่เฉพาะในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลโดยผ่านการให้บริการของสำนักงานใหญ่เพียงแห่งเดียว ลูกค้าของบริษัทจึงจำกัดอยู่แต่เฉพาะในเขตกรุงเทพฯ และบริเวณใกล้เคียง ส่งผลให้บริษัทมีฐานลูกค้าที่ขาดความหลากหลายในเชิงพื้นที่เมื่อเทียบกับสถาบันการเงินรายใหญ่อื่น ๆ

ในปี 2551 บริษัทได้ปรับปรุงนโยบายด้านบัญชีในการบันทึกค่าเสื่อมราคาโดยเปลี่ยนวิธีคำนวณค่าเสื่อมราคาจากวิธีผลรวมจำนวนปี (Sum of the Year Digit -- SYD) มาเป็นแบบเส้นตรง (Straight line) พร้อมทั้งรวมการประเมินค่าซากในการคำนวณค่าเสื่อมราคา การเปลี่ยนนโยบายค่าเสื่อมราคาดังกล่าวทำให้ผลประกอบการทางการเงินของบริษัทปรับตัวดีขึ้นเป็นอย่างมากในปี 2551-2552 โดยค่าเสื่อมราคาจากสินทรัพย์ให้เช่าลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

รายได้สุทธิของบริษัท (ปรับจากรายได้สุทธิของธุรกิจให้เช่าดำเนินงาน) อยู่ระหว่าง 100-300 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2546-2550 ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเป็น 624 ล้านบาทในปี 2551 และลดลงเป็น 532 ล้านบาทในปี 2552 รายได้สุทธิปรับลดลงสู่ระดับปกติที่ 415 ล้านบาทในปี 2553 และ 412 ล้านบาทในปี 2554 แต่ยังคงเพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงวิธีคำนวณค่าเสื่อมราคา บริษัทมีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นถัวเฉลี่ยในระดับสูงถึง 48.71% ในปี 2551 และระดับ 27.82% ในปี 2552 ก่อนที่จะลดลงสู่ระดับปกติที่ 16.43% ในปี 2553 บริษัทมีกำไรสุทธิ 150 ล้านบาทในปี 2553 แต่กลับลดลงเหลือ 54 ล้านบาทในปี 2554 อัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นถัวเฉลี่ยยังคงลดลงอย่างมากในปี 2554 สู่ระดับ 5.31% ซึ่งเป็นผลมาจากรายการพิเศษที่เกิดจากการปรับลดอัตราภาษีนิติบุคคลลงจากระดับ 30% เหลือ 23% ในปี 2555 และ 20% ในปี 2556 และปี 2557 โดยการเปลี่ยนแปลงวิธีคำนวณดังกล่าวเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นครั้งเดียวและเป็นรายการที่ไม่ใช่เงินสดซึ่งทำให้บริษัทต้องปรับลดสิทธิประโยชน์จากสินทรัพย์ภาษีเงินได้รอตัดบัญชีลงและบันทึกเป็นค่าใช้จ่าย ซึ่งหากไม่รวมรายการดังกล่าวแล้วก็ถือว่าในปี 2554 บริษัทยังคงมีอัตราการทำกำไรในระดับปกติ สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2555 บริษัทมีกำไรสุทธิ 119 ล้านบาท และ อัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นถัวเฉลี่ยกลับมาสู่ระดับปกติที่ 14.16% (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีแล้ว)

บริษัทมีการบริหารมูลค่าคงเหลือของสินทรัพย์ให้เช่าที่มีประสิทธิภาพจนทำให้บริษัทสามารถสร้างรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยจากกำไรที่ได้จากการขายสินทรัพย์ให้เช่าดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ก่อนการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางบัญชีในปี 2551 บริษัทมีรายได้ในส่วนนี้คิดเป็น 22%-23% ของรายได้สุทธิ บริษัทมีกำไรจากการขายสินทรัพย์ให้เช่าอย่างต่อเนื่องที่ระดับ 72 ล้านบาทในปี 2549 ระดับ 73 ล้านบาทในปี 2550 และระดับ 32 ล้านบาทในปี 2551 ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 85 ล้านบาทในปี 2552 เนื่องจากมีสินทรัพย์ให้เช่าจำนวนมากที่หมดอายุสัญญาเช่าในปีเดียวกันนั้น ต่อมากำไรดังกล่าวลดลงเหลือ 23 ล้านบาทในปี 2553 29 ล้านบาทในปี 2554 และ18 ล้านบาทในงวด 9 เดือนแรกของปี 2555 หลังจากการเปลี่ยนแปลงวิธีคำนวณค่าเสื่อมราคา บริษัทมีกำไรจากการขายสินทรัพย์ให้เช่าต่อรายได้รวมในสัดส่วนที่ลดลงเหลือ 2.7%-3.3%ในช่วงปี 2553 ถึงช่วง 9 เดือนแรกปี 2555

บริษัทมีคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีแม้จะมีลูกค้าหลักเป็นกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมซึ่งมักมีความอ่อนไหวตามภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง บริษัทมีอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (ค้างชำระเกิน 3 เดือน) ต่อเงินให้สินเชื่อรวมถัวเฉลี่ยในระดับ 1.76% ในปี 2554 แม้ว่าจะเพิ่มขึ้นในระดับ 2.06% ในงวด 9 เดือนแรกของปี 2555 แต่ก็นับว่าค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่นที่ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิต

ปัจจุบันธนาคารแห่งประเทศไทยได้ผ่อนผันให้ธนาคารกรุงเทพยังสามารถคงสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทที่ระดับ 35.88% ต่อไปอีก ซึ่งทำให้ทั้งธนาคารกรุงเทพและบริษัทยังต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับสถาบันการเงินที่กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์จำกัดการให้สินเชื่อแก่บริษัทที่เกี่ยวข้อง โดยบริษัทที่เกี่ยวข้องได้แก่บริษัทที่ธนาคารพาณิชย์ที่ถือหุ้นเกิน 10% ซึ่งสินเชื่อที่จะให้แก่บริษัทที่เกี่ยวข้องนั้นจะต้องไม่เกิน 5% ของเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ หรือไม่เกิน 25% ของหนี้สินทั้งหมดของบริษัทที่เป็นลูกหนี้ แล้วแต่จำนวนใดจะต่ำกว่า ผลจากกฎระเบียบดังกล่าวทำให้ความยืดหยุ่นในการหาแหล่งเงินทุนของบริษัทยังคงมีข้อจำกัดเนื่องจากในอดีตบริษัทพึ่งพาแหล่งเงินทุนจากธนาคารกรุงเทพเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ปี 2552 เป็นต้นมา บริษัทได้กระจายแหล่งกู้ยืมไปยังสถาบันการเงินอื่นมากขึ้น และเริ่มมีการออกตั๋วสัญญาใช้เงินในปี 2553 ออกหุ้นกู้จำนวน 500 ล้านบาทในปี 2554 และออกหุ้นกู้ Shokun Bonds จำนวน 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐออกขายในประเทศญี่ปุ่นในเดือนสิงหาคม 2555 ทำให้ ณ เดือนกันยายน 2555 บริษัทมีสัดส่วนเงินกู้เพียง 4% จากธนาคารกรุงเทพ และ 16% จาก SMBC ของจำนวนหนี้สินรวม 5,329 ล้านบาท บริษัทมีวงเงินสินเชื่อที่เพียงพอรองรับปัญหาการขาดสภาพคล่องในระยะสั้นที่อาจเกิดขึ้นได้ นอกจากนี้ บริษัทยังเก็บวงเงินสินเชื่อของธนาคารกรุงเทพเอาไว้เพื่อใช้เป็นเงินทุนแหล่งสุดท้ายด้วย

บริษัท บีเอสแอล ลีสซิ่ง จำกัด (BSL)
อันดับเครดิตองค์กร:	        BBB
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
BSL136A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2556	BBB
แนวโน้มอันดับเครดิต:	       Stable
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com  โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2556  ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/ratinginformation/rating_criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ