ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร &หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน “บ. เบทาโกร” ที่ ระดับ “A” และจัดอันดับหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันวงเงินไม่เกิน 1,200 ล้านบาทที่ระดับ “A”

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday November 5, 2014 16:52 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A” พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 1,200 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “A” เช่นกัน โดยแนวโน้มยังคง “Stable” หรือ “คงที่” ทั้งนี้ อันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานของบริษัทในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร ตลอดจนการดำเนินธุรกิจแบบครบวงจรในกลุ่มผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ โดยเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์และการจำหน่ายสินค้าภายใต้ตราสินค้าของบริษัท ทั้งนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงราคาสินค้าเกษตรซึ่งมีความผันผวนเช่นเดียวกับสินค้าโภคภัณฑ์ ตลอดจนความเสี่ยงจากโรคระบาดและความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีนำเข้าของประเทศผู้นำเข้าสินค้าด้วย ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงดำรงสถานะผู้ผลิตรายใหญ่ในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารได้ต่อไป โดยรายได้จากธุรกิจอาหารสัตว์และผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปจะช่วยลดความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ของบริษัทได้บางส่วน

บริษัทเบทาโกรก่อตั้งในปี 2510 โดยกลุ่มตระกูลแต้ไพสิฐพงษ์ ปัจจุบันบริษัทมีสถานะเป็นหนึ่งในผู้นำในกลุ่มเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารของไทย ณ เดือนมิถุนายน 2557 ตระกูลแต้ไพสิฐพงษ์ถือหุ้นในบริษัททั้งโดยตรงในสัดส่วน 14.33% ของหุ้นทั้งหมดและถือหุ้นทางอ้อมผ่านบริษัทแม่คือ บริษัท เบทาโกร โฮลดิ้ง จำกัด อีก 69.45% ธุรกิจของบริษัทแบ่งออกเป็น 8 สาย ประกอบด้วย ธุรกิจอาหารสัตว์ ธุรกิจไก่ ธุรกิจสุกร ธุรกิจอาหาร ธุรกิจเครือภูมิภาค ธุรกิจสุขภาพสัตว์และเทคโนโลยี ธุรกิจต่างประเทศ และธุรกิจอื่น ในปี 2556 บริษัทมีรายได้จากธุรกิจไก่เป็นสัดส่วนมากที่สุดคิดเป็น 37% ของรายได้รวมของบริษัท รองลงมาคือธุรกิจอาหารสัตว์ (36%) และธุรกิจสุกร (17%) รายได้จากการขายภายในประเทศคิดเป็น 87% ของรายได้รวมของบริษัทในปี 2556 ในขณะที่รายได้จากการส่งออกมีสัดส่วน 13%

นับตั้งแต่การร่วมทุนกับบริษัทญี่ปุ่นครั้งแรกในปี 2523 บริษัทก็ยังคงดำเนินนโยบายการร่วมทุนมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการร่วมทุนกับหุ้นส่วนชาวญี่ปุ่น การขยายธุรกิจผ่านการร่วมทุนนอกจากจะเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสำหรับการส่งออกแล้วยังเป็นประโยชน์แก่บริษัทในการปรับปรุงการดำเนินงานและรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้วย โดยเฉพาะเทคโนโลยีการเลื้ยงสุกร SPF (Specific Pathogen Free) ซึ่งเป็นการเลี้ยงสุกรให้ปลอดจากโรคและสารตกค้าง ผลสำเร็จจากการร่วมทุนทำให้บริษัทเติบโตโดยลำดับจนเป็นผู้นำในการผลิตเนื้อสุกรคุณภาพสูงในประเทศไทย จากการลดการผลิตของกลุ่มสหฟาร์มส่งผลให้บริษัทเป็นผู้ผลิตไก่รายใหญ่อันดับ 2 ของประเทศ ปัจจุบันบริษัทดำเนินธุรกิจไก่และสุกรแบบครบวงจรตั้งแต่อาหารสัตว์ไปจนถึงการแปรรูปเนื้อไก่และสุกรเป็นอาหารสำเร็จรูป การดำเนินธุรกิจแบบครบวงจรส่งผลให้สินค้าของบริษัทมีมาตรฐานในระดับสากลทั้งในด้านความปลอดภัยและการตรวจสอบย้อนกลับ ตลาดส่งออกหลักของบริษัทคือประเทศญี่ปุ่นและกลุ่มประเทศประชาคมยุโรป โดยสินค้าที่ส่งออกไปประเทศญี่ปุ่นส่วนใหญ่เป็นการส่งออกผ่านทางผู้ร่วมทุนของบริษัท

บริษัทให้ความสำคัญในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์และสร้างตราสินค้าเพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาผลิตภัณฑ์พื้นฐานของบริษัทซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกับสินค้าโภคภัณฑ์ ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2557 ผลิตภัณฑ์อาหารที่มีมูลค่าเพิ่มและผลิตภัณฑ์เนื้อชำแหละภายใต้ตราสินค้าของบริษัทคิดเป็นสัดส่วน 15% และ 6% ของยอดขายรวมของบริษัท ทั้งนี้บริษัทมีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์อาหารที่มีมูลค่าเพิ่มและผลิตภัณฑ์เนื้อชำแหละภายใต้ตราสินค้าของบริษัทเป็น 18% และ 24% ในปี 2563 ตามลำดับ สำหรับตลาดในประเทศนั้น บริษัทได้พัฒนาช่องทางการจำหน่ายของตนเองผ่าน “ร้านเบทาโกร” เพื่อให้บริการแก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมและร้านอาหาร โดย ณ เดือนตุลาคม 2557 บริษัทมีร้านเบทาโกร 119 สาขาทั่วประเทศ

หลังจากประสบกับภาวะตกต่ำอย่างหนักในปี 2555 เนื่องจากอุปสงค์ส่วนเกินของสัตว์บกและราคากากถั่วเหลืองซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักของอาหารสัตว์เพิ่มขึ้นอย่างมาก อุตสาหกรรมไก่และสุกรในประเทศไทยก็เริ่มปรับตัวดีขึ้นในปี 2556 และในช่วงครึ่งแรกของปี 2557 เนื่องมาจากปริมาณความต้องการไก่เพื่อการส่งออกที่เติบโตมากขึ้น กอปรกับภาวะอุปสงค์และอุปทานไก่ในประเทศที่เริ่มเข้าสู่ภาวะสมดุลอีกครั้ง ส่งผลให้ราคาขายไก่ทั้งส่งออกและภายในประเทศปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ ราคาสุกรก็ปรับตัวสูงขึ้นจากการลดลงของปริมาณสุกรอันเนื่องมาจากโรคระบาด รายได้ของบริษัทเติบโตเป็น 74,247 ล้านบาทในปี 2556 หรือเพิ่มขึ้น 14.9% จาก 64,632 ล้านบาทในปี 2555 อัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายก็ฟื้นตัวจากระดับต่ำเพียง 2.3% ในปี 2555 เป็น 6.6% ในปี 2556 ส่งผลให้กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทปรับตัวดีขึ้นจากระดับที่ต่ำกว่าปกติในปี 2555 ที่ 2,159 ล้านบาท เป็น 5,320 ล้านบาทในปี 2556

บริษัทมีผลประกอบการที่ดีขึ้นมากในช่วงครึ่งแรกของปี 2557 โดยรายได้ของบริษัทเท่ากับ 39,508 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการเติบโตของไก่ในตลาดส่งออกและรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากผลิตภัณฑ์เนื้อหมูในประเทศ ปริมาณการส่งออกไก่ของบริษัทเพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเนื่องจากความต้องการเนื้อไก่สดจากต่างประเทศที่ปรับตัวสูงขึ้นหลังจากประเทศในกลุ่มประชาคมยุโรปและญี่ปุ่นได้ยกเลิกมาตรการห้ามนำเข้าเนื้อไก่สดแช่แข็งจากประเทศไทย นอกจากนี้ ราคาไก่ส่งออกก็ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นด้วย ข้อมูลจากสมาคมผู้ผลิตไก่เพื่อส่งออกไทยระบุว่าราคาไก่ส่งออกเฉลี่ยช่วงครึ่งแรกของปี 2557 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 9.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2556 ทั้งนี้ ราคาไก่ส่งออกเฉลี่ยของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าค่าเฉลี่ยเนื่องมาจากผลิตภัณฑ์ที่เน้นมูลค่าเพิ่มของบริษัท ส่วนรายได้จากผลิตภัณฑ์เนื้อหมูของบริษัทนั้นก็เพิ่มขึ้นจากการขยายกำลังการผลิตของบริษัทและภาวะโรคระบาดสุกรในประเทศที่ยังคงอยู่ ข้อมูลจากสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทยระบุว่าในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2557 ราคาเฉลี่ยสุกรขุนปรับตัวเพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ราคาไก่และสุกรที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นส่งผลให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจาหน่ายของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 6.6% ในปี 2556 เป็น 9.9% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2557 กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายเพิ่มขึ้นเท่ากับ 4,270 ล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2557 เปรียบเทียบกับระดับ 5,656 ล้านบาทในปี 2554 และ 5,320 ล้านบาทในปี 2556

ในช่วงครึ่งแรกของปี 2557 บริษัทได้เพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่โครงสร้างเงินทุนด้วยการเพิ่มทุนจำนวน 820 ล้านบาทเพื่อนำไปชำระหนี้เงินกู้ระยะสั้น ส่งผลให้หนี้สินรวมของบริษัทลดลงจาก 11,991 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2556 เป็น 10,690 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2557 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนปรับตัวดีขึ้นจาก 51.8% ในปี 2556 มาอยู่ที่ระดับ 45.2% ณ เดือนมิถุนายน 2557 บริษัทมีสภาพคล่องที่ดีขึ้น โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 36.8% ในปี 2556 เป็น 52.7% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2557 (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) คาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทในส่วนที่เหลือของปีจะยังคงอยู่ในระดับที่ดีโดยได้รับอานิสงส์จากราคาสุกรในประเทศที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงและความต้องการผลิตภัณฑ์ไก่ของไทยในตลาดส่งออกที่ยังคงแข็งแกร่ง ประกอบกับต้นทุนอาหารสัตว์ที่ไม่ผันผวนมากนัก นอกจากนี้กลุ่มประเทศรัสเซีย เบลารุส และคาซัคสถานได้อนุญาตให้นำเข้าผลิตภัณฑ์สุกรจากประเทศไทย กอปรกับปัญหาเรื่องความปลอดภัยด้านอาหารในประเทศจีนและการทยอยยกเลิกมาตรการห้ามนำเข้าไก่สดแช่แข็งจากประเทศไทยของหลายประเทศ ล้วนเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้ความต้องการผลิตภัณฑ์ไก่และสุกรจากประเทศไทยมีเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามการรักษาสมดุลระหว่างอุปทานและอุปสงค์ยังคงเป็นปัจจัยที่ท้าทายของอุตสาหกรรมนี้ โดยเฉพาะหากสหฟาร์มสามารถเดินกำลังการผลิตได้ตามปกติอีกครั้งภายหลังจากผ่านการอนุมัติแผนปรับโครงสร้างหนี้

บริษัทมีแผนลงทุนประมาณ 12,500 ล้านบาทในช่วงปี 2557-2559 เพื่อขยายกำลังการผลิตทั้งในธุรกิจฟาร์ม โรงงานผลิตอาหารสัตว์ และโรงงานผลิตอาหารสำเร็จรูป รวมทั้งการขยายช่องทางการจัดจำหน่าย โดยบริษัทจะใช้เงินทุนส่วนใหญ่จากเงินสดจากการดำเนินงาน ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทจะมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายในระดับปกติปีละประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท ดังนั้น จึงคาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะอยู่ที่ระดับปานกลางในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า

บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) (BTG)
อันดับเครดิตองค์กร: A
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
BTG14NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2557 A
BTG16NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559 A
BTG164A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559 A
BTG18NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2561 A
BTG183A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 300 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2561 A
BTG184A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2561 A
หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันในวงเงินไม่เกิน 1,200 ล้านบาท ไถ่ถอนภายในปี 2562 A
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com  โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2557  ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/ratinginformation/rating_criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ