บริษัทเสนาดีเวลลอปเม้นท์ก่อตั้งในปี 2536 โดยนายธีรวัฒน์ ธัญลักษณ์ภาคย์ และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2552 ณ เดือนพฤษภาคม 2557 ตระกูลธัญลักษณ์ภาคย์ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท 53% สินค้าของบริษัทมีทั้งคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ และอาคารพาณิชย์ โดยเน้นระดับราคาปานกลางถึงต่ำที่ 1.5 ล้านบาทต่อยูนิตสำหรับคอนโดมิเนียม และ 4.6 ล้านบาทต่อหลังสำหรับบ้านจัดสรร ณ เดือนมิถุนายน 2557 โครงการซึ่งอยู่ในระหว่างการพัฒนาและขายของบริษัทประกอบด้วย คอนโดมิเนียม 7 โครงการและบ้านจัดสรร 6 โครงการ ซึ่งมีมูลค่าโครงการทั้งหมดเท่ากับ 9,500 ล้านบาท โดยคอนโดมิเนียมคิดเป็น 70% ของมูลค่าโครงการทั้งหมด ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2557 โครงการของบริษัทมีมูลค่าเหลือขาย (รวมทั้งที่ก่อสร้างแล้วและยังไม่ได้ก่อสร้าง) รวมทั้งสิ้น 5,300 ล้านบาท
ยอดขายของบริษัทอยู่ในช่วง 1,600 ล้านบาทถึง 1,800 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2552-2555 โดยยอดขายถึงระดับสูงสุดที่ 2,464 ล้านบาทในปี 2556 ซึ่งเป็นผลมาจากการเปิดขายโครงการใหม่ 8 โครงการซึ่งมีมูลค่าโครงการรวม 6,500 ล้านบาท ทั้งนี้ แต่ละโครงการได้รับการตอบรับจากลูกค้าในระดับปานกลาง ส่วนยอดขายในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2557 เท่ากับ 1,243 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว บริษัทยังมีแผนจะเปิดโครงการใหม่อีกหลายโครงการเพื่อให้มีการเติบโตตามเป้าหมาย ทริสเรทติ้งคาดว่ายอดขายของบริษัทจะอยู่ในระดับ 3,000-4,000 ล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า
ฐานรายได้ของบริษัทมีขนาดเล็กกว่าผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยรายได้ของบริษัทเท่ากับ 1,200-1,300 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2551-2553 และเพิ่มขึ้นเป็น 1,600-2,000 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2554-2556 รายได้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2557 เท่ากับ 1,004 ล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน 2557 บริษัทมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่า 2,000 ล้านบาท โดย 75% ของยอดดังกล่าวจะรับรู้เป็นรายได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2557 ดังนั้น รายได้สำหรับปี 2557 คาดว่าจะเท่ากับ 2,500 ล้านบาท ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีการเปิดโครงการใหม่จำนวนมากและจะสามารถส่งมอบโครงการในปัจจุบันและโครงการในอนาคตต่าง ๆ ได้ตามแผน จึงคาดการณ์ว่ารายได้ของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 3,000-4,000 ล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า
อัตราส่วนกำไร (ซึ่งคำนวณจากอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) ของบริษัทเท่ากับ 23%-25% ในช่วงปี 2553-2555 และลดลงเป็น 19% ในปี 2556 และในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2557 ซึ่งเป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายทางการตลาดและค่าใช้จ่ายคงที่ที่เพิ่มสูงขึ้นจากการขยายธุรกิจ ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนกำไรของบริษัทจะอยู่ในระดับ 14%-16% ในช่วง 3 ปีข้างหน้าแม้ว่าบริษัทมีแผนจะเปิดโครงการใหม่จำนวนมากก็ตาม
อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอ่อนแอลงในช่วงปี 2556 ถึงครึ่งแรกของปี 2557 โดยมีสาเหตุหลักมาจากการขยายโครงการจำนวนมาก อัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 53% ในปี 2556 และ 55% ณ เดือนมิถุนายน 2557 เพิ่มขึ้นจาก 44% ในปี 2555 และ 28% ในปี 2554 ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะเพิ่มสูงขึ้นในช่วง 3 ปีข้างหน้าจากการขยายธุรกิจ อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนดังกล่าวคาดว่าจะอยู่ในระดับต่ำกว่า 60% (หรือเทียบเท่าอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่ต่ำกว่า 1.5 เท่า) ณ เดือนมิถุนายน 2557 หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยของบริษัทประกอบด้วยตั๋วแลกเงินและตั๋วสัญญาใช้เงินระยะสั้นมูลค่า 2,731 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 90% ของภาระหนี้สินทั้งหมด ทำให้บริษัทมีความเสี่ยงในการต่ออายุตั๋วแลกเงินและตั๋วสัญญาใช้เงินระยะสั้น (Rollover Risk) ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมีวงเงินกู้ยืมที่ยังไม่ได้เบิกใช้โดยไม่ติดเงื่อนไขของการเบิกเงินกู้อยู่จำนวนประมาณ 1,800 ล้านบาท ซึ่งวงเงินเหล่านี้ช่วยลดความเสี่ยงในการต่ออายุตั๋วแลกเงินและตั๋วสัญญาใช้เงินระยะสั้นได้บางส่วน คาดว่าบริษัทจะสามารถบริหารสภาพคล่องได้อย่างระมัดระวัง ภาระหนี้ของบริษัทที่เพิ่มขึ้นและความสามารถในการทำกำไรที่ลดลงเป็นผลทำให้กระแสเงินสด (ซึ่งคำนวณจากอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวม) ของบริษัทลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมลดลงจากประมาณ 60% ในปี 2554 เป็น 15% ในปี 2556 และในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2557 (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) เนื่องจากภาระหนี้ที่คาดว่าจะยังคงเพิ่มสูงขึ้นจึงคาดการณ์ว่าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทน่าจะลดลง อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนดังกล่าวควรอยู่ในระดับ 5%-10% และอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายควรจะอยู่ในระดับสูงกว่า 2 เท่า