ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันในวงเงินไม่เกิน 1,000 ล้านบาทของ บริษัท อาปิโก ไฮเทค จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB+” พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทที่ระดับ “BBB+” ด้วย โดยแนวโน้มยังคง “Stable” หรือ “คงที่” ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่เพื่อใช้สำหรับการลงทุน และเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัท ทั้งนี้ อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งในการเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ลำดับที่ 1 ในประเทศไทย รวมถึงการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่หลายราย อุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ลำดับที่ 1 ที่มีค่อนข้างสูง และปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของประเทศไทยซึ่งเอื้อต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากลักษณะการผลิตของชิ้นส่วนรถยนต์ปั๊มขึ้นรูปที่มีอัตรากำไรอยู่ในระดับไม่สูงมาก ตลอดจนความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของลูกค้าซึ่งเป็นลักษณะโดยทั่วไปของอุตสาหกรรมเนื่องจากผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ในประเทศไทยมีจำนวนไม่มาก รวมถึงลักษณะที่เป็นวงจรขึ้นลงของอุตสาหกรรมรถยนต์โดยรวม
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าตำแหน่งทางการตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัทและการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมรถยนต์จะเป็นตัวแปรหลักที่ช่วยผลักดันรายได้ของบริษัทในอีก 12 เดือนข้างหน้า อีกทั้งแนวโน้มอันดับเครดิตยังสะท้อนมุมมองว่าบริษัทจะสามารถรักษาความเข้มแข็งทางการเงินเอาไว้ได้อีกด้วย อย่างไรก็ดี การมีอัตรากำไรค่อนข้างน้อยทำให้บริษัทได้รับการคาดหวังว่าจะรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุน ให้อยู่ในระดับไม่เกินกว่า 50% หรือรักษาอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยจ่ายต่อส่วนทุนไว้ไม่ให้เกิน 1 เท่า ทั้งนี้ อันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับขึ้นหากความสามารถในการทำกำไรของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญอันเนื่องจากการขยายธุรกิจไปผลิตสินค้าที่มีกำไรสูงขึ้น ในทางกลับกัน อันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากความสามารถในการทำกำไรหรือโครงสร้างเงินทุนลดลงอย่างชัดเจนจากระดับปัจจุบันเป็นเวลานาน โดยเหตุการณ์ที่อาจจะส่งผลลบต่อความสามารถในการทำกำไรหรือโครงสร้างทางการเงินของบริษัท อาทิ การที่บริษัทสูญเสียหรือแพ้ประมูลคำสั่งซื้อจากลูกค้ารายใหญ่ เช่น บริษัท อีซูซุ มอเตอร์ (ประเทศไทย) บริษัท ออโต้อัลลายแอนซ์ (ประเทศไทย) หรือบริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) หรือในกรณีที่บริษัทมีการลงทุนขนาดใหญ่โดยใช้เงินกู้ยืมเป็นหลัก เป็นต้น
บริษัทอาปิโก ไฮเทค เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์รายใหญ่ในประเทศไทย โดยบริษัทก่อตั้งในปี 2539 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2545 จากข้อมูล ณ เดือนธันวาคม 2557 ผู้ถือหุ้นหลักของบริษัท 2 ราย ได้แก่ ตระกูลเย็บ (Yeap) และ โซจิทสึ คอร์ปอเรชั่น โดยมีสัดส่วนการถือหุ้น 39.8% และ 15.8% ตามลำดับ
สถานะทางธุรกิจของบริษัทค่อนข้างแข็งแกร่ง โดยบริษัทดำเนินธุรกิจหลัก 2 ประเภท ได้แก่ ธุรกิจการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ (Original Equipment Manufacturer: OEM) และธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ โดยในส่วนของการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์นั้นจำแนกเป็น 5 หมวด ได้แก่ โครงช่วงล่างรถกระบะ ชิ้นส่วนปั๊มขึ้นรูป ชิ้นส่วนตีอัดขึ้นรูป ชิ้นส่วนพลาสติก และอุปกรณ์จับยึดและแม่พิมพ์ ในปี 2557 ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนรถยนต์สร้างรายได้ประมาณ 9,100 ล้านบาท หรือคิดเป็น 62% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัท ในขณะที่ธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ สำหรับรถยนต์ฟอร์ดและมิตซูบิชิในประเทศไทย รวมถึงรถยนต์ฮอนด้าในประเทศมาเลเซียสร้างรายได้ประมาณ 5,500 ล้านบาท หรือคิดเป็น 38% ของรายได้ทั้งหมด บริษัทมีการดำเนินธุรกิจทั้งในประเทศไทย จีน และมาเลเซีย โดยรายได้จากประเทศไทยมีสัดส่วนประมาณ 65%-70% ของรายได้ทั้งหมด ตามด้วยประเทศมาเลเซียประมาณ 15%-25% และประเทศจีนประมาณ 5% ของรายได้ทั้งหมด
บริษัทผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ให้แก่ผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำหลายแห่งในประเทศไทย เช่น อีซูซุ ออโต้อัลลายแอนซ์ นิสสัน โตโยต้า ฮอนด้า เจนเนอรัล มอเตอร์ และมิตซูบิชิ ลูกค้ารายใหญ่ของบริษัทได้แก่ บริษัท อีซูซุ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งบริษัทเป็นผู้ผลิตโครงช่วงล่างให้แก่รถกระบะอีซูซุมาตั้งแต่ปี 2546 โดยบริษัทมีรายได้จากบริษัท อีซูซุ มอเตอร์ (ประเทศไทย) คิดเป็นประมาณ 25%-35% ของรายได้ทั้งหมด ส่วนลูกค้าหลักรายอื่น ๆ ได้แก่ บริษัท ออโต้อัลลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง บริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ จำกัด บริษัท มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด และ บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด โดยรายได้จากบริษัท ออโต้อัลลายแอนซ์ (ประเทศไทย) และบริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) อยู่ในสัดส่วนประมาณ 8%-10% และ 5% ของรายได้ทั้งหมดตามลำดับ ทั้งนี้ ยอดการผลิตรถยนต์รวมเฉพาะของ อีซูซุ ฟอร์ด มาสด้า และนิสสัน ถือว่ามีขนาดใหญ่ โดยคิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 30% ของยอดการผลิตรถยนต์ในประเทศไทย ส่วนแบ่งทางการตลาดที่มีขนาดใหญ่ของลูกค้าเหล่านี้ส่งผลให้บริษัทสามารถเติบโตได้อย่างสอดคล้องกับอุปสงค์ของรถโดยสารและรถกระบะที่เพิ่มขึ้นจากทั้งในและนอกประเทศ อย่างไรก็ตาม การพึ่งพิงลูกค้ารายใหญ่จำนวนน้อยรายเหล่านี้สื่อให้เห็นถึงความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของลูกค้า
ในปี 2557 รายได้ของบริษัทเท่ากับ 15,196 ล้านบาท ลดลง 5.5% จากปีก่อนที่ 16,096 ล้านบาท อันเป็นผลจากการชะลอตัวของตลาดรถยนต์ ทั้งนี้ รายได้ของบริษัทนั้นลดลงน้อยกว่าอุตสาหกรรมโดยรวม เนื่องจากบริษัทมีรายได้ที่เติบโตจากธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ในประเทศมาเลเซีย ซึ่งสามารถช่วยชดเชยรายได้ที่ลดลงจากธุรกิจผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในประเทศไทยได้บางส่วน อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ (อัตรากำไร) อยู่ที่ 8.0% ในปี 2557 ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยที่ 8.5% ในระหว่างปี 2552 และ 2556 อัตรากำไรที่ด้อยลงนั้นสะท้อนถึงช่วงขาลงของอุตสาหกรรมยานยนต์ และสัดส่วนรายได้ที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ซึ่งมีกำไรค่อนข้างน้อย
โครงสร้างเงินทุนของบริษัทยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนปรับตัวดีขึ้น โดยสัดส่วนลดลงมาอยู่ที่ 40.2% ในปี2557 จาก 46.1% ในปี 2556 ทั้งนี้ ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดของบริษัทด้อยลงดังเห็นได้จากเงินทุนจากการดำเนินงานที่ลดลงเหลือ 898 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม สภาพคล่องของบริษัทยังคงเพียงพอเนื่องจากบริษัทได้ดำเนินการลดหนี้และเงินลงทุนในช่วงที่ผ่านมา อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมอยู่ที่ 23.5% อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ต่อดอกเบี้ยจ่ายอยู่ที่ 6.5 เท่า โดยอัตราส่วนทั้ง 2 ลดลงจากปี 2556 ซึ่งมีค่าสูง เนื่องจากบริษัทได้รับเงินชดเชยจากประกันภัยจำนวน 902 ล้านบาทในปี 2556
ทริสเรทติ้งคาดว่าอุปสงค์ของรถยนต์จะฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ในปี 2558–2559 โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากสภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มดีขึ้นและสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศที่มีความมั่นคง ยอดขายของบริษัทคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 17,000-18,000 ล้านบาทในอีก 3 ปีข้างหน้า ส่วนอัตรากำไรนั้นคาดว่าจะอยู่ในช่วง 8%-11% ทั้งนี้ โครงสร้างเงินทุนของบริษัทน่าจะใกล้เคียงกับระดับปัจจุบัน เนื่องจากบริษัทยังไม่มีแผนการลงทุนขนาดใหญ่ในอนาคตอันใกล้