ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันวงเงินไม่เกิน 1,000 ล้านบาท “บ. อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป” ที่ระดับ “BBB-/Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday January 29, 2016 09:10 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันในวงเงินไม่เกิน 1,000 ล้านบาทของ บริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB-” พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทที่ระดับ “BBB” โดยแนวโน้มยังคง “Stable” หรือ “คงที่” ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ไปใช้ในการขยายกิจการและ/หรือเป็นเงินทุนหมุนเวียนของกิจการ อันดับเครดิตสะท้อนถึงผลการดำเนินงานของบริษัทที่น่าพอใจ กระแสเงินสดที่มีเสถียรภาพจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของบริษัท และแนวโน้มการเติบโตของพลังงานทดแทนเพื่อตอบสนองความต้องการใช้พลังงานของประเทศ อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนเนื่องจากบริษัทยังเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าที่มีผลการดำเนินธุรกิจที่ปรากฏในระยะเวลาอันสั้น รวมถึงความเสี่ยงต่าง ๆ ในการดำเนินโครงการ และภาระหนี้ที่จะเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการขยายการลงทุนของบริษัท

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทสามารถรักษาผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าให้อยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยไม่มีต้นทุนทดแทนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้ารักษาระดับไว้ได้เกิน 78% และยังคาดว่าบริษัทจะสามารถสร้างกระแสเงินสดในระดับสูงได้อย่างสม่ำเสมอ โดยกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จะอยู่ที่ระดับประมาณ 280-450 ล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะประสบความสำเร็จในการดำเนินงานโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศและมีผลตอบแทนเป็นที่น่าพอใจโดยไม่ทำให้โครงสร้างเงินทุนอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ

อันดับเครดิตจะปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทประสบความสำเร็จอย่างสูงในการขยายธุรกิจหลักของบริษัท แม้ว่าจะต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นและราคารับซื้อไฟฟ้าที่จะลดลงสำหรับโครงการในอนาคตก็ตาม ในทางตรงข้าม อันดับเครดิตจะปรับลดลงหากบริษัทไม่สามารถรักษาผลการดำเนินงานในระดับที่น่าพอใจและสร้างผลงานในธุรกิจให้ปรากฏอย่างต่อเนื่องได้ หรือไม่สามารถสร้างกระแสเงินสดที่เพียงพอ หรือมีโครงสร้างเงินทุนอ่อนแอลงอย่างมาก

บริษัทอีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป (เดิมชื่อ "บริษัท บ่อพลอย โซล่าร์ จำกัด) เป็นผู้ผลิตพลังงานทดแทน โดยก่อตั้งขึ้นในปี 2553 ต่อมาในปี 2555 บริษัทได้เป็นบริษัทย่อยของ บริษัท โรงพิมพ์ตะวันออก จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ในธุรกิจบริการด้านสิ่งพิมพ์ในประเทศ ภายหลังจากที่บริษัทโรงพิมพ์ตะวันออกซื้อกิจการของบริษัทมาจากบริษัท อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ วิศวการ จำกัด (มหาชน) ต่อมาในปี 2558 บริษัทได้ปรับโครงสร้างธุรกิจเพื่อการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศเป็นหลัก จากการที่บริษัทสร้างรายได้อย่างมีนัยสำคัญให้แก่บริษัทโรงพิมพ์ตะวันออก ตลอดจนอนาคตที่ดีของธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ทำให้บริษัทมีสถานะเป็นบริษัทย่อยที่สำคัญของบริษัทโรงพิมพ์ตะวันออก ณ วันที่ 7 มกราคม 2559 บริษัทแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน และเปลี่ยนชื่อบริษัทจากเดิม “บริษัท บ่อพลอย โซล่าร์ จำกัด” เป็น “บริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)”

อันดับเครดิตสะท้อนถึงความมีเสถียรภาพของกระแสเงินสดจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จากกลุ่มบริษัทย่อยของบริษัทซึ่งมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว (Power Purchase Agreement -- PPA) กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ในปี 2555 บริษัทได้เริ่มดำเนินงานโรงไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน (โซลาร์ฟาร์ม) 2 โครงการแรกในจังหวัดกาญจนบุรี โดยมีขนาดกำลังการผลิตตามสัญญารวม 10 เมกะวัตต์ ซึ่งทั้ง 2 โครงการเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าได้ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนตุลาคม 2555 ต่อมาในปี 2556 บริษัทก่อสร้างโซลาร์ฟาร์มเพิ่มขึ้นอีก 1 โครงการในจังหวัดลพบุรีซึ่งมีขนาดกำลังการผลิตตามสัญญา 5 เมกะวัตต์ โดยเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าได้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2557 ทั้งนี้ โซลาร์ฟาร์มทั้งหมดของบริษัทดำเนินการภายใต้โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (Very Small Power Producer -- VSPP) และได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐในส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) ที่ 8 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมงเป็นเวลา 10 ปี

ในช่วงปี 2557-2558 บริษัทลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา (โซลาร์รูฟท็อป) จำนวน 8 โครงการในพื้นที่กรุงเทพฯ และจังหวัดสมุทรปราการ โดยมีขนาดกำลังการผลิตตามสัญญารวม 1.5 เมกะวัตต์ โครงการโซลาร์รูฟท็อปมีสัญญาขายไฟฟ้าระยะยาวกับ กฟน. และได้ราคารับซื้อไฟฟ้าแบบ Feed-in Tariff (FiT) ที่ 6.55 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมงเป็นเวลา 25 ปี ความมีเสถียรภาพของกระแสเงินสดจากโครงการโรงไฟฟ้าส่วนหนึ่งมาจากการมีสัญญารับซื้อไฟฟ้าในราคาที่แน่นอนและมีความเสี่ยงจากการไม่ได้รับชำระเงินโดยผู้รับซื้อไฟฟ้าในระดับต่ำ

อันดับเครดิตยังได้พิจารณาถึงผลการดำเนินงานของบริษัทที่น่าพอใจตั้งแต่เริ่มดำเนินงาน โดย ณ เดือนกันยายน 2558 โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของบริษัทได้ดำเนินการผลิตครบแล้วทุกแห่ง ทำให้บริษัทมีขนาดกำลังการผลิตตามสัญญาทั้งสิ้น 16.5 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าของบริษัทมีประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้า (Performance Ratio -- PR) เฉลี่ยที่ 78% บริษัทสามารถผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจาก 17.8 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมงในปี 2556 เป็น 27.7 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมงในปี 2557 และในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 บริษัทผลิตไฟฟ้าได้ 24 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง ปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากการเพิ่มกำลังผลิตในช่วงปี 2556-2558 โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของบริษัทสร้างรายได้ประมาณปีละ 200 ล้านบาทในช่วงปี 2556-2557 และ 267 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 EBITDA ของบริษัทอยู่ที่ระดับประมาณ 90% ของรายได้รวม ทั้งนี้ บริษัทสามารถผลิตไฟฟ้าได้ 30-32 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมงต่อปีจากกำลังการผลิตทั้งหมดในปัจจุบัน หรือคิดเป็นรายได้ประมาณ 300-350 ล้านบาทต่อปี

นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังได้พิจารณาถึงแนวโน้มการเติบโตของการใช้พลังงานทดแทนของประเทศไทยจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น แผนระยะยาวของภาครัฐในการพัฒนาพลังงานทางเลือก การสนับสนุนผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ และความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นต้น อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกลดทอนลงบางส่วนจากการที่บริษัทยังมีผลการดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้าที่ปรากฏในระยะเวลาอันสั้น แม้ว่าบริษัทจะใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบ Photovoltaic (PV) ที่ผ่านการพิสูจน์มาแล้วก็ตาม ในการผลิตไฟฟ้าเพื่อให้ได้ระดับผลผลิตที่มีเสถียรภาพในระยะยาวนั้น โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จะต้องมีการออกแบบที่ดี อีกทั้งยังต้องเลือกใช้อุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีที่ผ่านการพิสูจน์และได้การรับรอง และจะต้องดำเนินการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนต้องมีการดูแลซ่อมบำรุงตามกำหนดเวลาด้วย ซึ่งผลงานของบริษัทตามเกณฑ์ที่ระบุข้างต้นนั้นยังต้องรอการพิสูจน์ต่อไป

นอกจากนี้ อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากความเสี่ยงจากการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าด้วยเช่นกัน บริษัทต้องบริหารความเสี่ยงในการดำเนินโครงการที่มีอยู่ในปัจจุบันและโครงการที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตให้ได้ อาทิ ความเสี่ยงจากความเพียงพอของบุคคลากรและอุปกรณ์เครื่องมือที่ควบคุมและติดตามกระบวนการผลิต ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีซึ่งจะกระทบต่อโครงสร้างต้นทุน ความเสี่ยงจากการมีคู่แข่งมากขึ้นเนื่องจากการเป็นธุรกิจที่เข้ามาได้ง่าย ตลอดจนกฎระเบียบต่าง ๆ เช่น ราคารับซื้อไฟฟ้าและการสนับสนุนจากภาครัฐ รวมทั้งความเสี่ยงจากการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ เป็นต้น

อันดับเครดิตยังถูกลดทอนลงจากภาระหนี้ที่จะเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการขยายการลงทุนของบริษัทด้วย โดยบริษัทมีแผนการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งในประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น การลงทุนในโครงการขนาดใหญ่จะส่งผลต่อสถานะทางการเงินของบริษัทในช่วงปี 2558-2561 ซึ่งบริษัทมีแผนลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีขนาดกำลังการผลิตตามสัญญารวม 48 เมกะวัตต์ ด้วยมูลค่าเงินลงทุนประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท โดยมีแผนก่อสร้างในช่วงปี 2559-2561

ประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงาน (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) ของบริษัทจะอยู่ในช่วง 85%-90% ในระหว่างปี 2558-2561 ทั้งนี้ ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์โดยทั่วไปจะมีอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานสูงเนื่องจากได้รับ Adder สนับสนุนจากภาครัฐและการมีค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่ต่ำ ราคารับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของบริษัทประกอบด้วย 3 ส่วน คือ อัตราค่าพลังงานไฟฟ้าขายส่งตามช่วงเวลาของการใช้ (TOU) รวมกับค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติขายส่งเฉลี่ย (Ft ขายส่งเฉลี่ย) และ Adder โดยโซลาร์ฟาร์มของบริษัทจะได้รับอัตราค่าไฟฟ้าประมาณ 11.5 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง ส่วนโซลาร์รูฟท็อปได้ราคารับซื้อไฟฟ้าแบบ FiT ที่ 6.55 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง EBITDA ของบริษัทคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 280-450 ล้านบาทต่อปี และเงินทุนจากการดำเนินงานคาดว่าจะอยู่ในช่วง 230-350 ล้านบาทต่อปี

บริษัทมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนเท่ากับ 59.3% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2558 อัตราส่วนดังกล่าวลดลงจาก 68.8% ณ สิ้นปี 2557 จากการชำระคืนเงินกู้ยืมของบริษัท อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมอยู่ที่ 26% ในปี 2557 และ 21% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 โดยในช่วงปี 2558-2561 สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ากำลังการผลิตไฟฟ้าของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็น 50-55 เมกะวัตต์ และประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าอยู่ที่ 75%-78% ปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้จากสมมติฐานดังกล่าวคาดว่าจะอยู่ในช่วง 80-85 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมงต่อปี รายได้ของบริษัทคาดว่าจะอยู่ในช่วง 300-500 ล้านบาทต่อปี อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ 280-450 ล้านบาทต่อปี อย่างไรก็ตาม คาดว่า EBITDA จะค่อย ๆ ลดลงจากการหมดอายุของ Adder ตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป ในช่วงปี 2558-2561 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นอยู่ที่ระดับ 70%-75% จากการกู้ยืมของบริษัทเพื่อใช้ในการลงทุน

บริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (EP)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันในวงเงินไม่เกิน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายในปี 2564 BBB-
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2559 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ