ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันวงเงินไม่เกิน 3,000 ล้านบาท “บ. กรุงเทพดุสิตเวชการ” ที่ระดับ “AA-/Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday June 20, 2016 13:00 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันในวงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาทของ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “AA-” ทั้งนี้ อันดับเครดิตของหุ้นกู้ชุดใหม่ใช้แทนอันดับเครดิตหุ้นกู้เดิมที่ได้รับการจัดอันดับเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2559 เนื่องจากบริษัทมีความประสงค์จะเพิ่มวงเงินรวมของหุ้นกู้เป็นไม่เกิน 3,000 ล้านบาท จากเดิมไม่เกิน 2,000 ล้านบาท พร้อมทั้งยืนยันอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “AA-” โดยแนวโน้มยังคง “Stable” หรือ “คงที่” บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ตามวัตถุประสงค์ของบริษัทและชำระหนี้เงินกู้ยืม ทั้งนี้ อันดับเครดิตสะท้อนถึงความเป็นผู้นำธุรกิจในฐานะผู้ประกอบการโรงพยาบาลเอกชนรายใหญ่ที่สุดในประเทศ เครือข่ายในการให้บริการและรองรับ-ส่งต่อผู้ป่วยที่กว้างขวาง ตลอดจนผลการดำเนินงานและสถานะการเงินที่เข้มแข็งของบริษัท ในการพิจารณาอันดับเครดิตยังรวมถึงคณะผู้บริหาร บุคลากร และผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ที่มีความสามารถและมากประสบการณ์ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากการแข่งขันในธุรกิจเพื่อสุขภาพทั้งในตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ ตลอดจนการใช้เงินลงทุนจำนวนมากเพื่อการขยายเครือข่ายโรงพยาบาลในช่วง 3 ปีข้างหน้า

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” ของบริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการสะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถคงความเป็นผู้นำในธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนทั้งในประเทศและในภูมิภาค อีกทั้งยังคงผลประกอบการที่เข้มแข็งไว้ได้

การปรับเพิ่มอันดับเครดิตของบริษัทสามารถเกิดขึ้นได้หากสถานะทางการเงินของบริษัทปรับดียิ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับแรงกดดันให้ต้องปรับลดลงหากบริษัทมีการลงทุนโดยการก่อหนี้เชิงรุกหรือหากการทำกำไรของบริษัทแย่ลงเป็นระยะเวลานาน

บริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการเป็นผู้นำธุรกิจในฐานะผู้ประกอบการโรงพยาบาลเอกชนรายใหญ่ที่สุดในประเทศ ทั้งในด้านจำนวนเตียงในการรองรับผู้ป่วยและรายได้จากการดำเนินงาน โดยปัจจุบันบริษัทมีเครือข่ายโรงพยาบาลทั้งหมด 43 แห่งทั่วประเทศ ตราสัญลักษณ์โรงพยาบาลหลักของบริษัทจำนวน 5 ตราเป็นที่รู้จักอย่างดีในกลุ่มคนไทย คือ โรงพยาบาลกรุงเทพ (20 แห่ง) โรงพยาบาลสมิติเวช (5 แห่ง) โรงพยาบาลบีเอ็นเอช (1 แห่ง) โรงพยาบาลพญาไท (5 แห่ง) และ โรงพยาบาลเปาโล (4 แห่ง) บริษัทบริหารโรงพยาบาล 2 แห่งในประเทศกัมพูชาดำเนินงานภายใต้ชื่อ Royal International Hospital อีกทั้งยังมีโรงพยาบาลอีก 6 แห่งที่ดำเนินงานภายใต้ตราสัญลักษณ์ท้องถิ่นในประเทศไทย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2559 บริษัทสามารถในการให้บริการผู้ป่วยในทั้งสิ้น 5,805 เตียง ซึ่งรวมโรงพยาบาลเปาโล รังสิตที่เพิ่งเปิดใหม่ด้วย โดยฐานลูกค้าของบริษัทครอบคลุมกลุ่มคนไข้ระดับกลางถึงระดับบนในหลากหลายทำเล

ความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทมาจากความหลากหลายทั้งในด้านบริการ ฐานลูกค้า และทำเลที่ตั้ง บริษัทมีเครือข่ายระบบส่งต่อผู้ป่วยที่แข็งแกร่งที่สุดและเป็นแหล่งรวมบุคลากรทางการแพทย์และพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ โรงพยาบาลในกลุ่มเน้นการรักษาในระดับตติยภูมิเป็นหลัก ในขณะที่ช่วงหลังได้ขยายฐานการรักษาในระดับทุติยภูมิในพื้นที่ภูมิภาคมากยิ่งขึ้น การให้บริการในระดับตติยภูมิช่วยเพิ่มรายได้และเพิ่มอัตราการใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ บริษัทได้รับประโยชน์จากการประหยัดจากขนาด รวมถึงการประสานกำลังโรงพยาบาลในเครือข่าย ซึ่งเกิดจากการใช้งานบริการห้องปฏิบัติการตลอดจนการจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ร่วมกันในกลุ่ม เป็นผลก่อให้เกิดการประหยัดต้นทุน

ผลการดำเนินงานของบริษัทยังคงแข็งแกร่งซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของจำนวนคนไข้ในเครือข่ายโรงพยาบาลของบริษัท รวมทั้งจากการเพิ่มขึ้นของค่ารักษาพยาบาล ระดับความรุนแรงของโรคที่สูงขึ้น และการรวมรายได้จากกิจการโรงพยาบาลที่ควบรวมหรือเปิดใหม่เข้ามา รายได้จากการดำเนินกิจการโรงพยาบาลของบริษัทในช่วงปี 2554-2558 มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปีที่ระดับ 14% รายได้จากธุรกิจโรงพยาบาลสำหรับช่วง 3 เดือนแรกของปี 2559 อยู่ที่ 16,406 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการเติบโตจากโรงพยาบาลที่มีอยู่เดิมคิดเป็น 7% จากอัตราการเติบโตรวม 11% ส่วนโรงพยาบาลใหม่ทำให้เกิดการเติบโต 4% รายได้จากผู้ป่วยประมาณ 55% มาจากผู้ป่วยใน และที่เหลือมาจากผู้ป่วยนอก ส่วนรายได้จากกลุ่มผู้ป่วยที่ชำระเงินเองมีประมาณ 61% ของรายได้รวม ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2559 โรงพยาบาลมีความสามารถในการให้บริการผู้ป่วยนอกจำนวน 27,077 คนต่อวัน เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และรองรับผู้ป่วยในจำนวน 4,015 เตียงต่อวัน ซึ่งเพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

บริษัทได้ขยายเครือข่ายการให้บริการโดยการลงทุนสร้างโรงพยาบาลแห่งใหม่และผ่านทางการซื้อกิจการโรงพยาบาลอื่น ๆ โดยบริษัทตั้งเป้าหมายที่จะเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการด้านสุขภาพที่สำคัญในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก บริษัทเปิดโรงพยาบาลใหม่กว่า 10 แห่งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และล่าสุดเมื่อเดือนมกราคม 2559 บริษัทเปิดโรงพยาบาลเปาโล รังสิต ซึ่งให้บริการระดับทุติยภูมิโดยเน้นกลุ่มผู้ป่วยระดับกลางในพื้นที่รังสิต โรงพยาบาลเปาโล รังสิต สามารถรองรับผู้ป่วยในได้ทั้งสิ้น 150 เตียง โดยเปิดให้บริการในช่วงแรก 59 เตียง บริษัทวางแผนจะขยายโรงพยาบาลในเครือข่ายให้ถึง 50 แห่งภายในปี 2563 บริษัทประกาศลงทุนประมาณ 700 ล้านบาทเพื่อสร้างโรงพยาบาลในจังหวัดสุราษฎร์ธานี รองรับผู้ป่วยในได้ 150 เตียง โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการในช่วงแรกประมาณ 50 เตียงในปี 2560 นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการขยายโรงพยาบาลกรุงเทพสำนักงานใหญ่ (Phoenix Project) ซึ่งจะให้บริการทางการแพทย์เฉพาะทาง เช่น ศูนย์ทางประสาทวิทยา ศูนย์เกี่ยวกับกระดูกสันหลัง และศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพ โดยบริษัทตั้งเป้าหมายให้โรงพยาบาลกรุงเทพสำนักงานใหญ่เป็นหนึ่งในศูนย์ระบบส่งต่อผู้ป่วยชั้นนำของเอเซียแปซิฟิก โครงการนี้ใช้เงินลงทุนประมาณ 4,000 ล้านบาท สามารถรองรับผู้ป่วยในได้ 200 เตียง โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2561 เครือข่ายโรงพยาบาลที่แข็งแกร่งของบริษัทจะเสริมสร้างสถานะทางการแข่งขันของบริษัท ตลอดจนทำให้บริษัทสามารถแข่งขันอย่างมีประสิทธิผลในอุตสาหกรรมการให้บริการด้านสุขภาพทั้งในประเทศและต่างประเทศได้เป็นอย่างดี

สถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัทได้รับแรงหนุนจากผลการดำเนินงานที่ดี ตลอดจนความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง และสภาพคล่องที่เพียงพอ อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) อยู่ที่ 21.1% ในปี 2558 และเพิ่มขึ้นเป็น 22.8% ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2559 โดยเป็นผลมาจากรายได้ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งและการควบคุมค่าใช้จ่าย เงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทปรับดีขึ้นจาก 10,832 ล้านบาทในปี 2557 เป็น 12,076 ล้านบาทในปี 2558 และ 3,780 ล้านบาทสำหรับช่วง 3 เดือนแรกของปี 2559 สภาพคล่องของบริษัทมีเพียงพอ โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมอยู่ที่ 40% ใน 2558 และ 41.6% ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2559 ภาระหนี้ของบริษัทลดลงจาก 31,673 ล้านบาทในปี 2557 เป็น 29,657 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2559 เนื่องจากบริษัทมีการคืนเงินกู้ยืมที่ครบกำหนดจำนวนประมาณ 4,000 ล้านบาทในปี 2558 อีกทั้งกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทสามารถครอบคลุมค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนได้บางส่วน เป็นผลให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนอยู่ในระดับที่ 33.6% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2559 เปรียบเทียบกับ 39% เมื่อปี 2557

ในช่วงปี 2559-2561 ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะเติบโตในอัตรา 8%-10% ต่อปี โดยปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตทางธุรกิจจะมาจากการเติบโตของจำนวนผู้ป่วยและโรงพยาบาลแห่งใหม่ในเครือข่ายที่เพิ่มขึ้น คาดว่าอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทจะอยู่ในช่วง 21%-22% โดยกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทจะอยู่ในช่วง 12,000-15,000 ล้านบาทต่อปี อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้จะอยู่ในช่วง 36%-45% ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนโดยรวมประมาณ 27,500 ล้านบาทในช่วงปี 2559-2561 โดยระดับหนี้ของบริษัทน่าจะเพิ่มขึ้นจากการขยายโรงพยาบาลเครือข่าย อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถบริหารโครงสร้างเงินทุนอย่างระมัดระวังและมีสภาพคล่องทางการเงินที่เพียงพอ โดยอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนจะอยู่ในระดับไม่เกิน 45% ในช่วง 2559-2561

บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) (BDMS)
อันดับเครดิตองค์กร: AA-
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
BDMS166A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559 AA-
BDMS233A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 AA-
BDMS256A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 AA-
หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันในวงเงินไม่เกิน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายในปี 2569 AA-
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com  โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2559 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html







เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ