ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท ไทยแอร์เอเชีย จำกัด ที่ระดับ “A-” ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันในวงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “A-” ด้วย โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระคืนหนี้และสำรองสำหรับการลงทุน
อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะผู้นำในธุรกิจสายการบินราคาประหยัดในประเทศไทยของบริษัท ตลอดจนประสิทธิภาพในการบริหารต้นทุน การผสานประโยชน์กับ AirAsia Berhad และบริษัทในเครือ (กลุ่มแอร์เอเชีย) และการเติบโตอย่างต่อเนื่องของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม จุดเด่นดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากลักษณะของธุรกิจที่มีการแข่งขันรุนแรง รวมถึงภาระหนี้ของบริษัทที่อยู่ในระดับค่อนข้างสูง ความอ่อนไหวต่อความผันผวนของราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา และความเสี่ยงจากเหตุการณ์ที่ไม่อาจคาดเดาได้ต่าง ๆ
ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2561 รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยอยู่ที่ 11,254 ล้านบาทอันเป็นผลจากจำนวนผู้โดยสารที่เติบโตอย่างมาก อัตราการทำกำไรของบริษัทก็ปรับตัวดีขึ้นด้วยเช่นกัน โดยเพิ่มขึ้น 29.6% เมื่อเทียบกับระดับ 25.7% ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทปรับลดลงแต่ยังคงอยู่ในระดับสูง โดยอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนลดลงจาก 78% ในปี 2560 เป็น 75% ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2561 ในช่วงปี 2561-2563 บริษัทมีแผนจะรับเครื่องบินใหม่เพิ่มอีก 17 ลำโดยใช้วิธีการเช่าดำเนินงานและเช่าทางการเงิน ดังนั้น ภาระหนี้ของบริษัทจึงคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม การเพิ่มจำนวนเครื่องบินของบริษัทก็จะช่วยเพิ่มผลการดำเนินงานและช่วยเพิ่มฐานทุนให้แก่บริษัทด้วยเช่นกัน
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” อยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ว่าบริษัทจะยังคงรักษาสถานะผู้นำในธุรกิจสายการบินราคาประหยัดในประเทศไทยได้ต่อไป ทั้งนี้ คาดว่าความสามารถในการบริหารต้นทุนและความคล่องตัวในการดำเนินงานจะช่วยให้บริษัทสามารถรับมือกับความผันผวนของฤดูกาลและปัจจัยภายนอกอื่น ๆ ที่จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการบินโดยรวมได้
ภายใต้สมมุติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นประมาณ 15% ต่อปีและอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานจะอยู่ที่ระดับเกินกว่า 20% แม้ว่าจะมีแผนการลงทุนจำนวนมาก แต่ก็คาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะค่อย ๆ ลดลงสู่ระดับ 71% ในปี 2563 ในขณะที่อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายน่าจะอยู่สูงกว่า 3.5 เท่า
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตยังไม่มีในระยะใกล้เมื่อพิจารณาจากสถานะทางการเงินของบริษัทในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายอยู่ในระดับต่ำกว่า 3 เท่าและอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนอยู่ในระหว่าง 60%-65% อย่างต่อเนื่อง
อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงได้หากผลการประกอบการทางการเงินของบริษัทอ่อนตัวลงอย่างมาก หรือภาระหนี้ของบริษัทเพิ่มสูงกว่าระดับปัจจุบันอย่างมีนัยสำคัญ