ทริสเรทติ้งยืนยันอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ฐิติกร จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A-” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงผลกำไรในระดับสูง ฐานทุนที่แข็งแกร่ง ระดับการก่อหนี้ที่ต่ำ และสภาพคล่องที่แข็งแรงของบริษัท ทั้งนี้ บริษัทมีแหล่งเงินทุนหลายแห่งและใช้เงินทุนจำนวนมากผ่านการกู้ยืมระยะยาวเป็นหลัก
ปัจจัยที่เป็นข้อกังวลต่ออันดับเครดิตได้แก่การแข่งขันที่รุนแรงและความเสี่ยงทางด้านเครดิตที่อาจเพิ่มขึ้น โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัทมีความอ่อนไหวเป็นพิเศษต่อภาวะเศรษฐกิจขาลง
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
มีฐานทุนที่แข็งแกร่งด้วยระดับการก่อหนี้ที่ต่ำ
ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะดำรงฐานทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมต่อลักษณะธุรกิจซึ่งมีความเสี่ยงทางด้านเครดิตค่อนข้างสูง บริษัทมีอัตราส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมสูงกว่า 45.0% ตลอดช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ในขณะที่อัตราส่วนดังกล่าวของคู่แข่งโดยเฉลี่ยอยู่ในระดับสูงกว่า 20.0% ทั้งนี้ อัตราส่วนดังกล่าวของบริษัทลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 45.7% ณ เดือนมิถุนายน 2561 จาก 47.8% ณ สิ้นปี 2560
บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ในระดับต่ำกว่า 1.2 เท่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ณ เดือนมิถุนายน 2561 อัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 1.2 เท่า
มีสภาพคล่องที่แข็งแรงพร้อมความยืดหยุ่นทางการเงิน
สภาพคล่องเป็นปัจจัยบวกต่ออันดับเครดิตของบริษัท ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งเชื่อว่าสภาพคล่องของบริษัทจะยังเป็นเช่นนี้ต่อไปอีกในอีก 2-3 ปีข้างหน้าจากการมีนโยบายการจัดหาแหล่งเงินทุนที่ระมัดระวังของบริษัท
บริษัทพึ่งพาเงินทุนระยะยาวซึ่งแตกต่างจากคู่แข่ง ณ เดือนมิถุนายน 2561 สัดส่วนเงินทุนของบริษัทประกอบด้วยเงินกู้ยืมระยะยาวจำนวน 75% และภาระหนี้สินระยะสั้น (รวมเงินกู้ยืมระยะยาวส่วนที่ครบกำหนดชำระภายใน 1 ปี) อีกจำนวน 25%
ณ เดือนมิถุนายน 2561 บริษัทมีส่วนต่างทางด้านระยะเวลาระหว่างสินทรัพย์และหนี้สินเป็นบวก ซึ่งทริสเรทติ้งคาดว่าส่วนต่างดังกล่าวจะยังคงเป็นบวกต่อไปในอีก 12 เดือนข้างหน้า ทริสเรทติ้งประเมินว่ากระแสเงินสดไหลเข้าจากการชำระคืนสินเชื่อของลูกหนี้จะอยู่ที่ประมาณ 200-300 ล้านบาทต่อเดือนในอีก 12 เดือนข้างหน้า ในขณะที่กระแสเงินสดไหลออกจากการชำระคืนหนี้ของบริษัทจะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญโดยอยู่ที่ระดับประมาณ 100 ล้านบาทต่อเดือนโดยเฉลี่ย
บริษัทสามารถเข้าถึงตลาดตราสารหนี้ในการจัดหาแหล่งเงินทุน นอกจากนี้ การเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยยังช่วยเสริมความยืดหยุ่นทางการเงินให้แก่บริษัทอีกด้วย โดยบริษัทสามารถเข้าถึงตลาดทุนได้หากจำเป็นต้องใช้เงินทุนเพิ่ม
กำไรจะยังคงแข็งแกร่ง
ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทฟื้นตัวในช่วงปี 2558 ถึงปี 2560 บริษัทมีกำไรสุทธิจากงบการเงินรวมเพิ่มเป็น 472 ล้านบาทในปี 2560 ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยต่อปีที่ระดับ 7.6% นับจากปี 2558 อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยเพิ่มเป็น 5.1% ในปี 2560 จาก 4.8% ในปี 2558 กำไรสุทธิสำหรับช่วง 6 เดือนแรกของปี 2561 อยู่ที่ 215 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วอยู่ 5.3% ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิน้อยกว่าการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญและค่าใช้จ่ายในการบริหาร
กำไรสุทธิของบริษัทจะยังแข็งแกร่งเมื่อพอร์ตสินเชื่อยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องและต้นทุนทางการเงินอยู่ในระดับที่ต่ำ อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยจะอยู่ในระดับที่สูงกว่า 3.5% เป็นอย่างต่ำไปจนถึงปี 2563
กลุ่มลูกค้าเป้าหมายมีสถานะเครดิตอ่อนแอ
คุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทอยู่ในระดับใกล้เคียงกับของคู่แข่ง ทั้งนี้ คุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทลดต่ำลงตั้งแต่ปี 2556 จนถึงปี 2558 เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจชะลอตัวแต่เริ่มกลับมาฟื้นตัวในปี 2559 อัตราส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ลดลงเป็น 4.8% ณ สิ้นปี 2559 และ 4.7% ณ สิ้นปี 2560 จาก 5.2% ณ สิ้นปี 2558 อัตราส่วนดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 4.9% ณ เดือนมิถุนายน 2561 ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนดังกล่าวจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นจากระดับในปัจจุบันแต่ยังอยู่ในช่วงที่ยอมรับได้ที่ 5%-6%
?
อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อเงินให้สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของบริษัทอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับของคู่แข่ง โดยอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 119.5% ณ เดือนมิถุนายน 2561 ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนดังกล่าวจะยังคงอยู่ในระดับใกล้เคียงกันนี้ต่อไปในอีก 2-3 ปีข้างหน้าโดยมีสมมติฐานว่าบริษัทจะมีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อรวมถัวเฉลี่ยที่ระดับ 11% จนถึงปี 2563
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” ตั้งอยู่บนความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะดำรงสถานะทางการตลาดในธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อจักรยานยนต์ได้ต่อไป แนวโน้มอันดับเครดิตยังตั้งอยู่บนความคาดหวังของทริสเรทติ้งด้วยว่าบริษัทจะยังมีการก่อหนี้ในระดับต่ำ สภาพคล่องและความสามารถในการทำกำไรจะยังคงแข็งแกร่ง และคุณภาพสินทรัพย์จะยังอยู่ในระดับที่ยอมรับได้
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
การปรับเพิ่มอันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้ในกรณีที่โครงสร้างทางธุรกิจและการเงินของบริษัทปรับตัวดีขึ้น ในทางกลับกัน อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับลดลงในกรณีที่คุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทเสื่อมถอยลงซึ่งอาจกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรหรือระดับการก่อหนี้ได้