ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้มีการค้ำประกันบางส่วน “บ. กรุ๊ปลีส” ที่ “BB+” และแทนที่แนวโน้มเครดิตพินิจ “Negative” ด้วยแนวโน้ม “Negative”

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday November 2, 2018 16:50 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้มีการค้ำประกันบางส่วนของ บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BB+” และแทนที่เครดิตพินิจ (CreditAlert) “Negative” หรือ “ลบ” สำหรับอันดับเครดิตหุ้นกู้ดังกล่าวด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต (Rating Outlook) เป็น “Negative” หรือ “ลบ” ซึ่งสะท้อนถึงฐานะทางการเงินและธุรกิจของบริษัทที่อ่อนแอลง และความไม่แน่นอนจากผลของคดีความทางกฎหมาย

อันดับเครดิตของหุ้นกู้มีการค้ำประกันบางส่วนสะท้อนระดับความน่าเชื่อถือของทั้งผู้ค้ำประกันและผู้ออกตราสาร ทั้งนี้ หุ้นกู้ของบริษัทได้รับการค้ำประกันในสัดส่วน 65% ของเงินต้นและดอกเบี้ยค้างชำระโดยธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้รับการจัดอันดับเครดิตที่ระดับ “BBB+” (International Scale) ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” จาก S&P Global Ratings โดยธนาคารกสิกรไทยจะให้การค้ำประกันหุ้นกู้ดังกล่าวโดยไม่มีเงื่อนไขและไม่สามารถเพิกถอนได้

ในส่วนของผู้ออกตราสาร ฐานะทางเครดิตของบริษัทอยู่ในระดับอ่อนแอตั้งแต่ปี 2560 ป็นต้นมา เนื่องจากการถดถอยลงของสถานะทางการเงินและการกระจุกตัวของสินทรัพย์ดำเนินงานในประเทศที่มีความเสี่ยงสูงกว่าประเทศไทย อย่างไรก็ตาม บริษัทมีเงินทุนในระดับที่เพียงพอที่จะรองรับความเสี่ยงในระดับหนึ่ง จึงช่วยลดทอนความกังวลใจต่ออันดับเครดิตลงได้

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

ฐานะทางเครดิตอ่อนแอ หลังจากพักการชำระดอกเบี้ยของหุ้นกู้แปลงสภาพ

ณ เดือนมิถุนายน 2561 บริษัทมีเงินทุนรวมทั้งสิ้น 13,996 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนของผู้ถือหุ้น (42.1%) หุ้นกู้แปลงสภาพ (46.9%) หุ้นกู้มีการค้ำประกันบางส่วน (10.6%) และแหล่งเงินทุนอื่น (0.4%)

J Trust Asia Pte. Ltd. (JTA) ในฐานะเป็นคู่กรณีทางกฎหมายของบริษัท เป็นผู้ถือหุ้นกู้แปลงสภาพมูลค่า 5,922 ล้านบาท คิดเป็น 90.1% ของมูลค่าหุ้นกู้แปลงสภาพที่คงค้างทั้งหมด โดยเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2561 JTA ยื่นฟ้องบริษัทและบริษัทลูก ต่อศาลแพ่ง เพื่อขอให้ธุรกรรมการซื้อขายหุ้นกู้แปลงสภาพดังกล่าวเป็นโมฆียกรรม JTA ขอให้บริษัทจ่ายคืนเงินประมาณ 6,000 ล้านบาทสำหรับหุ้นกู้แปลงสภาพ และค่าเสียหายอีก 2,000 ล้านบาท ในวันที่ 19 มีนาคม 2561 ศาลได้ยกฟ้องคดีดังกล่าว และปัจจุบันคดีอยู่ในขั้นตอนของการอุทธรณ์โดย JTA

บริษัทได้หยุดพักการชำระดอกเบี้ยของหุ้นกู้แปลงสภาพตามความเห็นของที่ปรึกษากฏหมายภายนอก การไม่ชำระดอกเบี้ยดังกล่าวมีผลให้ฐานะทางเครดิตของบริษัทอยู่ในระดับอ่อนแอ ทั้งนี้ มูลค่าการผิดนัดชำระดอกเบี้ยดังกล่าวมีจำนวนประมาณ 329.32 ล้านบาท โดยบริษัทได้บันทึกดอกเบี้ยค้างจ่ายดังกล่าวไว้ในงบการเงินประจำไตรมาสแรกของปี 2561 แล้ว รวมทั้ง บริษัทยังคงชำระดอกเบี้ยและหนี้อื่นตามกำหนด

ความไม่แน่นอนของผลตามกฏหมายอาจส่งผลกระทบต่อสภาพคล่อง

ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2561 บริษัทมีเงินสดและเทียบเท่าเงินสดจำนวน 3,266 ล้านบาท (22.2% ของสินทรัพย์รวม) เงินสดและเงินที่ได้รับชำระจากลูกค้าแต่ละเดือนเพียงพอที่จะจ่ายชำระคืนหุ้นกู้มีการค้ำประกันบางส่วนจำนวน 1,500 ล้านบาทที่จะครบกำหนดในเดือนกันยายน 2562 บริษัทเชื่อว่า ระยะเวลาของขั้นตอนตามกฏหมายจะใช้เวลานานกว่าวันหมดอายุของหุ้นกู้ดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนของผลทางคดีความอาจมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อบริษัท ตัวอย่างเช่น หาก JTA ชนะคดี และบริษัทต้องจ่ายเงินตามจำนวนที่ถูกเรียกร้องทั้งหมด บริษัทอาจต้องเผชิญปัญหาสภาพคล่องในระยะสั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสินทรัพย์บางส่วนของบริษัทถูกนำไปเป็นหลักประกันหนุนหลังหุ้นกู้ที่มีการค้ำประกันบางส่วน อันอาจจำกัดความยืดหยุ่นทางการเงินของบริษัทในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนใหม่ได้

การตั้งสำรองส่วนเกินส่งผลต่อผลประกอบการทางการเงิน

ผลประกอบการทางการเงินของบริษัทลดลงอย่างมาก ในปี 2560 บริษัทรายงานผลขาดทุนสุทธิ 1,607 ล้านบาทในปี 2560 ผลขาดทุนดังกล่าวเกิดจาก 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ การตั้งสำรองสำหรับสินเชื่อ SME ที่ให้กับผู้กู้ 2 กลุ่มคือบริษัทที่จดทะเบียนในไซปรัสและสิงคโปร์ และการตั้งสำรองในไตรมาสที่ 3 สำหรับผลขาดทุนในบริษัทร่วม

ในครึ่งแรกของปี 2561 ผลการดำเนินงานปกติยังคงลดลง โดยอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์เฉลี่ยที่ปรับเป็นตัวเลขเต็มปีลดลงเหลือ 3.2% จาก 6.1% ในช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้น เนื่องจาค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรอง อัตราการตั้งสำรองต่อสินเชื่อถัวเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 5.3% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 จาก 4.5% ในปี 2560 สำหรับอัตราการขาดทุนจากการขายมอเตอร์ไซด์ที่ยึดมาได้ต่อสินเชื่อถัวเฉลี่ย ลดลงเล็กน้อยเป็น 3.39% ในปี 2560 จาก 3.47% ในปี 2559

49% ของสินทรัพย์กระจุกตัวในประเทศที่มีความเสี่ยงสูงกว่าประเทศไทย

บริษัทเริ่มกระจายธุรกิจไปต่างประเทศตั้งแต่ปี 2556 โดยสินทรัพย์และเงินลงทุนในต่างประเทศคิดเป็นประมาณ 49% ของสินทรัพย์รวม ณ สิ้นปี 2560 เงินลงทุนในประเทศใกล้เคียง ได้แก่ กัมพูชา (22% ของสินทรัพย์รวม) ศรีลังกา (14%) ลาว (5.4%) เมียนมา (4.2%) และอินโดนีเซีย (3.2%) อย่างไรก็ตาม ประเทศดังกล่าวมีระดับความเสี่ยงของประเทศ หรือ Country Risk สูงกว่าประเทศไทย การดำเนินงานในประเทศเหล่านี้ยังไม่ยาวนานที่จะพิสูจน์ผลสำเร็จ บริษัทอาจเผชิญต่อสภาวะแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจที่ไม่แน่นอน และนำมาซึ่งความผันผวนทางธุรกิจและความเสี่ยงในอนาคตได้

คุณภาพสินทรัพย์ถดถอยลงและมีความเสี่ยงจากการเสื่อมค่าของเงินลงทุน

คุณภาพพอร์ตสินเชื่อของบริษัทเริ่มถดถอยลง โดยสัดส่วนสินเชื่อไม่ก่อให้เกิดรายได้ (สินเชื่อที่ค้างชำระเกิน 3 เดือน) ต่อสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นเป็น 5.0% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2561 จาก 4.3% ณ สิ้นปี 2560 เป็นผลจากการถดถอยลงของคุณภาพลูกหนี้ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ทริสเรทติ้งคาดว่า บริษัทจะเข้มงวดในการพิจารณาสินเชื่อและระบบการจัดเก็บหนี้ให้มากขึ้น เพื่อทำให้คุณภาพของลูกหนี้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้

นอกจากนี้ บริษัทได้ขยายธุรกิจไปยังประเทศศรีลังกาในเดือนธันวาคม 2559 ผ่านทาง บริษัท Group Lease Holdings Pte. (GLH) ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่บริษัทถือหุ้นทั้งหมด และมีการจดทะเบียนในประเทศสิงคโปร์ในฐานะบริษัทโฮลดิ้งด้วยเงินลงทุน 2,489 ล้านบาทในบริษัท Commercial Credit and Finance PLC (CCF) คิดเป็นสัดส่วนถือหุ้น 29.99% ใน CCF การลงทุนในศรีลังกาอาจจะนำมาซึ่งโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจ แต่บริษัทก็มีความเสี่ยงจากการเสื่อมค่าของเงินลงทุน หากพิจารณาตามวิธีส่วนได้เสียของเงินลงทุน มูลค่าเงินลงทุนใน CCF ตามรายงานในงบดุลของบริษัทมีจำนวน 2,085 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2561 คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุนที่ลดลง 16.2% จากเงินลงทุนเริ่มแรก

ทุนในระดับเพียงพอ

ฐานทุนของบริษัทใช้ในการขยายธุรกิจในต่างประเทศ และรองรับการขาดทุนจากระดับความเสี่ยงตามธรรมชาติของลูกค้าเป้าหมายของบริษัท โดยสัดส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมลดลงมาอยู่ในระดับ 39.8% ณ สิ้นปี 2560 จาก 48.5% เมื่อสิ้นปี 2559 เนื่องจากการตั้งสำรองส่วนเกินมีผลให้บริษัทขาดทุนในปี 2560 ณ สิ้นเดิอนมิถุนายน 2561 สัดส่วนดังกล่าวยังทรงตัวในระดับ 40% ซึ่งเป็นระดับที่เพียงพอในการรองรับความเสี่ยงระดับสูงตามธรรมชาติของธุรกิจให้สินเชื่อรถมอเตอร์ไซด์ และเพื่อรองรับการขยายตัวตามปกติของพอร์ตสินเชื่อ

ตามเงื่อนไขทางการเงินสำหรับหุ้นกู้ อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทต้องอยู่ในระดับต่ำกว่า 5 เท่า ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2561 บริษัทมีอัตราส่วนดังกล่าวในระดับ 1.5 เท่า ซึ่งยังอยู่ในระดับที่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด ทริสเรทติ้งเชื่อว่าในระยะอีก 12 เดือนข้างหน้า บริษัทจะยังสามารถรักษาระดับอัตราส่วนดังกล่าวในเกณฑ์ได้

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต “Negative” หรือ “ลบ” ของหุ้นกู้มีการค้ำประกันบางส่วนของบริษัท สะท้อนถึงสถานะเครดิตที่อ่อนแอของบริษัทและ ผลที่เกิดจากความไม่แน่นอนในด้านคดีความทางกฏหมาย

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

การปรับลดลงของอันดับเครดิตหุ้นกู้มีการค้ำประกันบางส่วนของบริษัท เกิดขึ้นในกรณีที่มีความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น หรือหากคุณภาพสินทรัพย์และความสามารถทำกำไรถดถอยลงกว่าที่คาดการณ์ไว้ หรือคุณภาพเครดิตของธนาคารกสิกรไทยในฐานะผู้ค้ำประกันอ่อนแอลง การปรับเพิ่มขึ้นของอันดับเครดิตหุ้นกู้ดังกล่าว ขึ้นอยู่กับสถานะเครดิตของผู้ค้ำและผู้ออกตราสาร

บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) (GL)
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
GL199A: หุ้นกู้มีการค้ำประกันบางส่วน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2562 BB+
แนวโน้มอันดับเครดิต: Negative
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com  โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2561 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ