ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน “บ. บางกอก เชน ฮอสปิทอล” ที่ “A-” แนวโน้ม “Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday November 12, 2018 15:50 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A-” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่น่าพอใจของบริษัทและความแข็งแกร่งในการให้บริการแก่กลุ่มคนไข้ที่ชำระเงินสดซึ่งมีรายได้ระดับปานกลางและกลุ่มคนไข้ที่อยู่ในระบบประกันสังคม อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องซึ่งทำให้ภาระหนี้ของบริษัทสูงขึ้น ตลอดจนความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ และภาวะแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจให้บริการด้านสุขภาพ

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

สถานะที่แข็งแกร่งในการให้บริการคนไข้ 2 กลุ่มหลัก

ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะที่แข็งแกร่งในการเป็นหนึ่งในโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำ บริษัทมีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในกลุ่มผู้รับบริการ 2 ประเภท ได้แก่ กลุ่มคนไข้รายได้ปานกลางที่จ่ายเงินสดและกลุ่มคนไข้ในระบบประกันสังคม

เนื่องจากบริษัทมีการยกระดับมาตรฐานของโรงพยาบาลหลายแห่งเพื่อให้สามารถรองรับกลุ่มคนไข้เงินสดได้มากขึ้นจึงทำให้รายได้ของบริษัทที่มาจากคนไข้ในกลุ่มนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยอยู่ที่ระดับ 4,476 ล้านบาทในปี 2560 จาก 3,136 ล้านบาทในปี 2556

ส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทในกลุ่มคนไข้ประกันสังคมในเขตกรุงเทพฯ เมื่อพิจารณาจากจำนวนผู้ประกันตนที่ลงทะเบียนในระบบประกันสังคมแล้วจะอยู่ที่ระดับ 10%-11% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ฐานลูกค้าในกลุ่มนี้ที่มีจำนวนมากนั้นทำให้บริษัทเกิดการประหยัดจากขนาดและช่วยรักษาระดับอัตราการใช้งานอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีต้นทุนสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพเต็มที่ ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2561 จำนวนลูกค้ากลุ่มประกันสังคมเฉลี่ยลดลงเล็กน้อยเป็น 777,308 คน โดยลดลง 1% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว สาเหตุที่ทำให้ลูกค้ากลุ่มนี้ลดลงเกิดจากการเปลี่ยนแปลงขั้นตอนของระบบที่ใช้ในการจัดสรรโควต้าผู้ประกันตนที่ลงทะเบียนในแต่ละโรงพยาบาล อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดว่าจะได้รับการจัดสรรโควต้าจำนวนผู้ประกันตนเพิ่มขึ้นประมาณ 50,000 คนในปี 2562

ผลการดำเนินงานทางการเงินที่น่าพอใจ

ความสามารถในการแข่งขันของบริษัทสะท้อนจากการที่บริษัทใช้นโยบายควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ ประกอบกับความสำเร็จจากประสิทธิภาพทางด้านการปฏิบัติการภายใต้ระบบสาธารณสุขที่มีการจัดการ อัตรากำไรของบริษัท (อัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) อยู่ที่ระดับประมาณ 25%-28% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ระดับ 23%-24% ในกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจำนวน 21 แห่ง อัตรากำไรของบริษัทที่ปรับตัวดีขึ้นส่วนใหญ่เกิดจากการควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพและผลการดำเนินงานของ World Medical Hospital (WMC) ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่เน้นให้บริการคนไข้เงินสดรายได้สูงและคนไข้ต่างชาติ ทั้งนี้ WMC รายงานผลขาดทุนสุทธิจำนวน 121 ล้านบาทในปี 2560 เมื่อเทียบกับผลขาดทุนสุทธิจำนวน 172 ล้านบาทในปี 2559 WMC มีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในระดับที่ถึงจุดคุ้มทุนตั้งแต่ปี 2560 ดังนั้น อัตราส่วนกำไรสุทธิของบริษัทจึงเพิ่มขึ้นเป็น 12.6% ในปี 2560 จาก 11.5% ในปี 2559

สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าอัตรากำไรของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 25%-27% ในช่วงปี 2561-2564 การมุ่งเน้นควบคุมต้นทุนให้เป็นไปอย่างต่อเนื่องจะช่วยรักษาอัตราการทำกำไรของบริษัทได้ในระยะยาว

ภาระหนี้ปรับตัวสูงขึ้น

อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินจะยังคงสูงในระดับปานกลางเนื่องจากบริษัทยังคงมีการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าอัตราส่วนนี้จะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 34%-44% ในช่วงปี 2561-2564 บริษัทวางแผนเงินลงทุนทั้งสิ้นที่ประมาณ 6,000 ล้านบาทในช่วงปี 2561-2564 ซึ่งเงินลงทุนดังกล่าวจะเป็นงบลงทุนสำหรับสร้างโรงพยาบาลแห่งใหม่ในระหว่างปี 2561-2564 จำนวน 3,800 ล้านบาทและค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาทั้งสิ้นจำนวน 1,600 ล้านบาทในช่วงเวลาเดียวกัน

บริษัทมีโครงการที่กำลังจะก่อสร้างและก่อสร้างเรียบร้อยแล้วทั้งสิ้น 5 โครงการ ได้แก่ โรงพยาบาลเกษมราษฎร์รามคำแหง ขนาด 139 เตียง ซึ่งเปิดดำเนินการในเดือนตุลาคม ปี2561 และมีมูลค่าการลงทุน 992 ล้านบาท โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ เชียงของ ขนาด 30 เตียง ซึ่งมีมูลค่าการลงทุน 60 ล้านบาท โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เวียงจันทน์ ขนาด 254 เตียง ซึ่งมีมูลค่าเงินลงทุน 1,330 ล้านบาท โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ในจังหวัดปราจีนบุรี ขนาด 116 เตียง ซึ่งมีมูลค่าการลงทุน 712 ล้านบาท และ โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ในจังหวัดสระแก้ว ขนาด 115 เตียง ซึ่งมีมูลค่าการลงทุน 706 ล้านบาท

เงินสดส่วนเกินเพื่อรองรับภาระหนี้ซึ่งวัดจากอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินอาจลดลงเล็กน้อยในช่วงที่บริษัทกำลังขยายธุรกิจ อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าเงินสดส่วนเกินเพื่อรองรับภาระหนี้ของบริษัทจะยังคงแข็งแรง โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินจะอยู่ที่ระดับ 33%-48% ในระหว่างปี 2561 จนถึงปี 2564 ในขณะที่อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายน่าจะอยู่ในช่วง 15-19 เท่าในระหว่างปี 2561-2564

มีความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ

ในฐานะที่เป็นโรงพยาบาลเอกชนที่เข้าร่วมในระบบประกันสังคม บริษัทต้องประสบกับความเสี่ยงด้านกฎระเบียบซึ่งมาพร้อมกับระบบการรักษาพยาบาลของภาครัฐ ซึ่งกฎระเบียบด้านการรักษาพยาบาลในประเทศไทยนั้นยังพัฒนาไม่เต็มที่ ในขณะที่ระบบรักษาพยาบาลของภาครัฐหลัก ๆ ทั้ง 3 ระบบยังมีความเหลื่อมล้ำกันค่อนข้างมาก ดังนั้น น่าจะเป็นโอกาสที่ดีในการปฏิรูประบบใดระบบหนึ่งแล้วสามารถก่อให้เกิดผลกระทบที่ทำให้ระบบอื่น ๆ มีการพัฒนา

โรงพยาบาลที่เข้าร่วมในระบบรักษาพยาบาลภาครัฐค่อนข้างได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ เช่น การเปลี่ยนแปลงอัตราการชำระเงินคืนและเงื่อนไขบทบัญญัติของสัญญาการให้บริการ รวมถึงการขยายการรักษาให้ครอบคลุมโรคบางชนิด การรักษาที่มีขั้นตอน และสถานะการคลังของรัฐบาล ฯลฯ เป็นต้น ในทางตรงกันข้าม ผู้ประกอบการโรงพยาบาลทั้งหลายก็อาจเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการพัฒนากฎระเบียบที่เอื้อประโยชน์ต่อโรงพยาบาลด้วยเช่นกัน ทริสเรทติ้งเชื่อว่าคณะผู้บริหารของบริษัทสามารถรับมือกับความท้าทายด้านกฎระเบียบในอนาคตเพื่อที่จะรักษาความสามารถในการแข่งขันของบริษัทเอาไว้ได้

การแข่งขันทวีความรุนแรงแม้อุปสงค์จะเติบโต

ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยเนื่องจากจำนวนประชากรที่มีอายุยืนยาวนั้นมีเพิ่มขึ้น อันเป็นผลมาจากความใส่ใจในเรื่องสุขภาพที่มากยิ่งขึ้น ณ เดือนธันวาคม 2560 ประเทศไทยมีประชากรมีที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปคิดเป็นสัดส่วน 15.5% ของจำนวนประชากรทั้งหมด ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประมาณการว่าประชากรที่มีอายุ 60 ปีหรือมากกว่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 18% ภายในปี 2563 และ 25% ภายในปี 2573 ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าอุปสงค์ของบริการด้านสุขภาพในประเทศจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากประชากรไทยกำลังเข้าสู่ความเป็นผู้สูงวัย

จำนวนคนไข้ชาวต่างชาติที่เข้ามารับการรักษาพยาบาลในประเทศไทยก็คาดว่าจะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกันเมื่อพิจารณาจากจำนวนของนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เข้ามาในประเทศไทย แม้ปัจจัยดังกล่าวจะแสดงถึงโอกาสในการเติบโตของอุตสาหกรรมด้านการรักษาพยาบาลของไทย แต่การแข่งขันก็ยังถือว่ามีความรุนแรง กล่าวคือ โรงพยาบาลเอกชนต้องแข่งขันกับทั้งโรงพยาบาลในประเทศและโรงพยาบาลในประเทศอื่น ๆ ที่อยู่ในทวีปเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการรักษาพยาบาลขั้นสูง อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังคงเป็นศูนย์กลางทางด้านการท่องเที่ยวเพื่อรักษาพยาบาลของเอเชียเช่นเดิมเนื่องจากมีจุดแข็งทางการแข่งขันทั้งในด้านของทำเลที่ตั้ง คุณภาพการให้บริการ และราคาที่ต่ำกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ เช่น สิงคโปร์และมาเลเซีย เป็นต้น

มีสภาพคล่องที่เพียงพอ

สภาพคล่องของบริษัทยังคงมีเพียงพอ ทั้งนี้ ในช่วง 12-24 เดือนข้างหน้าบริษัทจะมีแหล่งเงินทุนที่เพียงพอที่จะรองรับการใช้จ่ายของบริษัท โดยแหล่งเงินทุนจะมาจากเงินสดในมือและเงินลงทุนระยะสั้นจำนวน 725 ล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน 2561 โดยที่บริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานประมาณ 1,700-2,000 ล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2561-2564 ในขณะที่ความต้องการใช้เงินทุนซึ่งรวมหนี้ระยะสั้นและหนี้ระยะยาวที่จะครบกำหนดชำระในช่วง 24 เดือนข้างหน้าจะมีจำนวนเพียง 1,084 ล้านบาท เงินลงทุนซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาคาดว่าจะอยู่ที่ปีละประมาณ 1,000-2,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะจ่ายเงินปันผลอีกประมาณ 400-500 ล้านบาทต่อปี

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงรักษาสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในกลุ่มคนไข้เงินสดที่มีรายได้ระดับปานกลางและกลุ่มคนไข้ในระบบประกันสังคมเอาไว้ได้ ส่วน WMC นั้นก็น่าจะมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต ในขณะเดียวกันบริษัทน่าจะยังคงดำเนินนโยบายทางการเงินที่ระมัดระวังสำหรับการลงทุนใหม่ ๆ ในอนาคตที่มีการกู้ยืมต่อไป สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะยังคงอยู่ที่ระดับประมาณ 7,500-9,500 ล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปี ข้างหน้า นอกจากนี้ ยังคาดว่าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินจะยังคงอยู่ที่ระดับ 33%-48% และแม้ว่าบริษัทจะยังอยู่ในช่วงขยายธุรกิจ แต่ก็คาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนให้อยู่ในระดับไม่เกิน 50% ได้เพื่อที่จะคงคุณภาพเครดิตของบริษัทในระดับปัจจุบันเอาไว้

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นได้หากฐานรายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับประมาณ 12,000-15,000 ล้านบาทต่อปี และสถานะทางการเงินยังคงอยู่ในระดับปัจจุบัน ในทางตรงกันข้าม การปรับลดอันดับเครดิตสามารถเกิดขึ้นได้ในกรณีที่บริษัทมีกระแสเงินสดเพื่อรองรับภาระหนี้ที่อ่อนแอลงอย่างต่อเนื่องจากระดับปัจจุบันซึ่งเกิดจากการลงทุนที่ใช้เงินกู้จำนวนมากหรือผลการดำเนินงานของบริษัทปรับตัวลดลง
?
บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) (BCH)
อันดับเครดิตองค์กร: A-
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
BCH211A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนภายในปี 2564 A-
BCH22DA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายในปี 2565 A-
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com  โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2561 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ