ทริสเรทติ้งลดอันดับเครดิตองค์กร “บ. อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป” เป็น “BBB-” จาก “BBB” แนวโน้ม “Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday December 7, 2018 17:30 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งปรับลดอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นระดับ “BBB-” จากระดับ “BBB” การปรับลดอันดับเครดิตสะท้อนถึงระดับหนี้สินที่สูงขึ้นจากการลงทุนขนาดใหญ่ การใช้สัดส่วนหนี้สินในระดับสูงทำให้ความยืดหยุ่นทางการเงินของบริษัทลดลง

อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความแน่นอนของกระแสเงินสดจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และกำไรจากโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมภายใต้โครงการผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็ก (Small Power Producer -- SPP) อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกลดทอนบางส่วนจากการที่บริษัทยังเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าที่มีผลการดำเนินธุรกิจที่ปรากฏในระยะเวลาอันสั้น ภาระหนี้ที่อยู่ในระดับสูง และความเสี่ยงที่สูงขึ้นจากการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

ภาระหนี้สินอยู่ในระดับสูงเป็นผลให้อันดับเครดิตถูกปรับลดลง

อันดับเครดิตของบริษัทถูกปรับลดลงจากการก่อภาระหนี้สินเพิ่มขึ้นเพื่อลงทุนโครงการขนาดใหญ่ บริษัทอยู่ระหว่างพัฒนาและก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 5 โครงการ ประกอบด้วย 2 โครงการในประเทศเวียดนามและ 3 โครงการในประเทศญี่ปุ่น เมื่อทุกโครงการของบริษัทเปิดดำเนินงานครบแล้วจะทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นเท่ากับ 291 เมกะวัตต์ เพิ่มขึ้นจาก 205 เมกะวัตต์ในปัจจุบัน ทั้งนี้ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศเวียดนาม (64.5 เมกะวัตต์) มีกำหนดการเปิดดำเนินงานภายในเดือนมิถุนายน 2562 ขณะที่โครงการในประเทศญี่ปุ่น (21.5 เมกะวัตต์) มีกำหนดการเปิดดำเนินงานภายในไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปี 2562

บริษัทจะใช้เงินลงทุนประมาณ 5,100 ล้านบาทตามเกณฑ์งบการเงินรวม โดยโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศเวียดนามเป็นโครงการที่มีขนาดใหญ่มากสำหรับบริษัทซึ่งคิดเป็นประมาณ 1 ใน 4 ของสินทรัพย์รวมของบริษัท

บริษัทจะกู้ยืมเงินราว 4,300 ล้านบาทเพื่อก่อสร้างโรงไฟฟ้าทั้ง 5 แห่ง เงินกู้รวมจะเพิ่มขึ้นจาก 5,500 ล้านบาทในปี 2560 เป็น 9,400 ล้านบาทในปี 2562 ซึ่งการก่อหนี้สินเพื่อใช้ลงทุนในโครงการขนาดใหญ่จะทำให้บริษัทต้องมีหนี้สินในระดับสูงในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า

กระแสเงินสดที่แน่นอนจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์

อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงกระแสเงินสดที่แน่นอนของบริษัทจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ บริษัทมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าหลายฉบับกับ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และ การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) รวมไปถึงผู้ซื้อไฟฟ้าหลายรายในประเทศญี่ปุ่น โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มีความเสี่ยงด้านการดำเนินงานค่อนข้างต่ำ บริษัทมีกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอจากราคารับซื้อไฟฟ้าที่แน่นอนตามสัญญาและความเสี่ยงด้านการชำระเงินที่ต่ำของผู้ซื้อไฟฟ้า

เนื่องจากประเทศไทยมีฤดูฝนที่ค่อนข้างยาวนานในปี 2561 ทำให้โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของบริษัทมีผลการดำเนินงานต่ำกว่าที่ประมาณการ โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2561 รายได้ของบริษัทลดลงประมาณ 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะเดียวกันกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ลดลงประมาณ 3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

กำไรเพิ่มขึ้นจากโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม

บริษัทได้ลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม 2 โครงการซึ่งมีส่วนช่วยให้บริษัทมีกำไรมากขึ้น บริษัทถือหุ้นสัดส่วน 49.5% ใน บริษัท พีพีทีซี จำกัด (PPTC) และ 40% ใน บริษัท เอสเอสยูที จำกัด (SSUT) โดยทั้ง 2 บริษัทผลิตไฟฟ้าภายใต้โครงการผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) โดยมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะเวลา 25 ปีกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรม

กำไรจากโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมช่วยให้กำไรของบริษัทปรับตัวสูงขึ้นตั้งแต่ปี 2560 สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2561 โรงไฟฟ้าทั้ง 2 แห่งมีผลการดำเนินงานเป็นไปตามความคาดการณ์ของทริสเรทติ้ง ซึ่งเป็นผลจากการที่โรงไฟฟ้ามีประสิทธิภาพในการผลิตสูงขึ้น ภายใต้ประมาณการกรณีฐาน เราคาดว่าบริษัทจะได้รับส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมเพิ่มมากขึ้นจาก 300 ล้านบาทต่อปี เป็น 400 ล้านบาทต่อปี โดยเป็นผลมาจากการที่โรงไฟฟ้า SSUT มีลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ เราคาดว่าบริษัทจะเริ่มได้รับเงินปันผลจากโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นไป ซึ่งส่งผลให้บริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายเพิ่มขึ้น โดยในประมาณการกรณีฐาน บริษัทจะมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ประมาณ 300-600 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2561-2562 และจะสูงกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปีตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไป ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้สมมติฐานว่าบริษัทสามารถเปิดดำเนินงานโรงไฟฟ้าทุกโครงการได้ตามแผน?

ความเสี่ยงในการดำเนินงานของโครงการใหม่

ทริสเรทติ้งเห็นว่าการลงทุนในประเทศเวียดนามมีความเสี่ยงสูงกว่าโครงการต่างๆ ในประเทศไทยและญี่ปุ่น แม้ว่าการลงทุนนั้นจะช่วยขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าของบริษัทก็ตาม แต่บริษัทต้องเผชิญกับความเสี่ยงต่าง ๆ เช่นเดียวกับผู้ประกอบการรายอื่น เช่น ความเสี่ยงของประเทศที่เข้าไปลงทุน ความเสี่ยงด้านกฎหมาย ความเสี่ยงจากการบังคับใช้สัญญา ความล่าช้าในการก่อสร้าง ราคารับซื้อไฟฟ้าที่อาจเปลี่ยนแปลง เป็นต้น นอกจากนี้ โครงการยังมีความเสี่ยงจากคู่สัญญาที่สูงกว่าเดิม คือการไฟฟ้าแห่งประเทศเวียดนาม (Electricity of Vietnam -- EVN) ซึ่งเป็นผู้รับซื้อไฟฟ้ารายเดียวในเวียดนาม ทั้งนี้ แม้ว่าประเทศเวียดนามจะมีศักยภาพในการเติบโต แต่พัฒนาการของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ยังจัดว่าอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น โดยเวียดนามมีประสบการณ์ในการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่สั้นกว่าประเทศไทยและญี่ปุ่น

ในขณะนี้บริษัทเผชิญความเสี่ยงด้านการก่อสร้าง เนื่องจากรัฐบาลเวียดนามได้ประกาศที่จะสนับสนุนไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียน โดยกำหนดราคารับซื้อไฟฟ้าแบบคงที่ (Fixed feed-in-tariff -- FiT) จำนวน 0.0935 เหรียญสหรัฐฯ ต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมงสำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ อย่างไรก็ตาม ราคารับซื้อไฟฟ้าดังกล่าวจะจ่ายให้แก่โรงไฟฟ้าที่สามารถเปิดดำเนินงานเชิงพาณิชย์ได้ภายในเดือนมิถุนายน 2562 เท่านั้น ดังนั้นความล่าช้าในการก่อสร้างจะมีผลกระทบต่อผลตอบแทนของโครงการ ทั้งนี้ ยังมีความไม่แน่นอนของนโยบายของรัฐบาลสำหรับราคารับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าที่เริ่มผลิตหลังผ่านพ้นกำหนดเวลาดังกล่าว อย่างไรก็ตามความเสี่ยงด้านการก่อสร้างถูกลดทอนบางส่วนจากเงื่อนไขที่ระบุในสัญญาการก่อสร้างโรงไฟฟ้าและหนังสือค้ำประกันที่เกี่ยวข้อง ในกรณีที่โรงไฟฟ้าไม่สามารถเริ่มดำเนินการได้ทันตามที่กำหนด โดยมีเหตุล่าช้ามาจากผู้รับเหมาก่อสร้าง บริษัทไม่ต้องจ่ายค่างานก่อสร้างในงวดสุดท้าย

โครงสร้างเงินทุนมีภาระหนี้สินในระดับสูง

บริษัทมีการก่อภาระหนี้สินมากกว่าที่ทริสเรทติ้งเคยประมาณการไว้จากการที่บริษัทขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศ ซึ่งทำให้บริษัทมีภาระหนี้สินสูงที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา ภายใต้เกณฑ์งบการเงินรวม บริษัทจะใช้เงินลงทุนราว 793 ล้านบาทในปี 2561 และสูงถึง 4,300 ล้านบาทในปี 2562 เพื่อใช้ลงทุนในโครงการต่างประเทศของบริษัท ตามประมาณการกรณีฐาน เงินกู้รวมของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็น 9,400 ล้านบาทในปี 2562 จากราว 5,500 ล้านบาทในปี 2560 และ 6,000 ล้านบาท ณ เดือนกันยายน 2561 อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนเท่ากับ 72.4% ในปี 2560 และจะอยู่ที่ระดับ 70% ในปี 2561 และค่อย ๆ ลดลงหลังจากนั้น

การก่อภาระหนี้สินในระดับสูงจะกดดันให้บริษัทมีความยืดหยุ่นด้านการเงินลดลง นอกจากนี้ เรายังคาดว่าต้นทุนทางการเงินของบริษัทจะสูงขึ้นจากภาระหนี้สินที่เพิ่มขึ้นและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่จะปรับตัวสูงขึ้น ทริสเรทติ้งประมาณการว่าบริษัทจะมีอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินที่ถือว่าอยู่ในระดับต่ำที่ประมาณ 2%-8% ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า

ความไม่สอดคล้องของอายุเงินกู้และโครงการระยะยาว

บริษัทมีภาระเงินกู้ที่ไม่สอดคล้องกับโครงการระยะยาว โดยในโครงการโรงไฟฟ้าในประเทศญี่ปุ่นบางแห่ง บริษัทกู้ยืมเงินจากธนาคารซึ่งมีระยะเวลาไม่เกิน 3 ปีครึ่ง และบริษัทมีภาระต้องชำระคืนครั้งเดียวเมื่อครบกำหนด อายุของวงเงินกู้ที่ไม่สอดคล้องกับกระแสเงินสดจากโครงการระยะยาวทำให้บริษัทมีภาระต้องชำระคืนเงินกู้ก้อนใหญ่ในปี 2564 โดยปัจจุบัน บริษัทมีภาระจ่ายคืนเงินกู้และหุ้นกู้จำนวน 800-1,000 ล้านบาทในปี 2562-2563 และเกือบ 2,000 ล้านบาทในปี 2564 ขณะที่บริษัทมีเงินทุนจากการดำเนินงานประมาณ 200-600 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2562-2564 ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะบริหารจัดการสภาพคล่องอย่างระมัดระวังในช่วงพัฒนาโครงการได้

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถเปิดดำเนินงานโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างได้ตามแผน และโรงไฟฟ้าแห่งใหม่มีผลการดำเนินงานที่ดีตามคาด นอกจากนี้โครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะไม่ด้อยลงไปกว่าปัจจุบันอย่างมีนัยสำคัญและบริษัทสามารถบริหารจัดการสภาพคล่องด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างดี

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

การปรับเพิ่มขึ้นของอันดับเครดิตค่อนข้างจำกัดในระยะสั้น แต่มีโอกาสที่จะปรับขึ้นได้หากบริษัทมีโครงสร้างการเงินที่แข็งแรงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หรือโรงไฟฟ้ามีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าคาด ในทางกลับกัน อันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากผลการดำเนินงานต่ำกว่าที่คาดการณ์ หรือบริษัทยังคงลงทุนโดยการก่อภาระหนี้ในระดับสูง หรือบริษัทไม่สามารถเปิดดำเนินงานโครงการโรงไฟฟ้าต่าง ๆ ได้ตามแผน

ภายใต้ Group Rating Methodology ของทริสเรทติ้ง อันดับเครดิตของบริษัทจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกันกับอันดับเครดิตของบริษัทแม่คือ บริษัท โรงพิมพ์ตะวันออก จำกัด (มหาชน) (EPCO) ที่มีอันดับเครดิตองค์กร “BBB-/Stable” การเปลี่ยนแปลงใดใดที่มีผลต่ออันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทแม่จะส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิตของบริษัทด้วยเช่นกัน?

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561

- Group Rating Methodology, 10 กรกฎาคม 2558

- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 31 ตุลาคม 2550

บริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (EP)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB-
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com  โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2561 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ