ทริสเรทติ้งยืนยันอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A+” ในขณะเดียวกันยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 12,000 ล้านบาท อายุไม่เกิน 10 ปีของบริษัทที่ระดับ “A+” ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ อันดับเครดิตดังกล่าวมีการยกระดับจากอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทในฐานะเป็นบริษัทย่อยที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท
อันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทมีปัจจัยเสริมมาจากฐานะทางการเงินของบริษัทที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลายปีที่ผ่านมาจากการปรับตัวดีขึ้นอย่างสม่ำเสมอของผลการดำเนินงานและความสามารถในการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัท อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากความเสี่ยงของกลุ่มลูกค้าเนื่องจากบริษัทมีแผนการที่จะเปลี่ยนไปสู่ธุรกิจให้สินเชื่อประเภทใหม่ซึ่งเน้นให้บริการแก่กลุ่มลูกค้าที่มีฐานะการเงินไม่สูง
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับธนาคารกรุงไทย
ในมุมมองของทริสเรทติ้งเห็นว่าบริษัทมีฐานะเป็นบริษัทย่อยที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ของธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงไทยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทในสัดส่วน 49.45% และให้การสนับสนุนทั้งทางด้านการเงินและธุรกิจแก่บริษัท ในการนี้ ทริสเรทติ้งเชื่อว่าการสนับสนุนที่แข็งแกร่งสะท้อนความเป็นไปได้ที่บริษัทจะได้รับความช่วยเหลือทางการเงินเป็นกรณีพิเศษจากธนาคารกรุงไทยเมื่อบริษัทร้องขอ อย่างไรก็ตาม สัดส่วนการถือหุ้นของธนาคารกรุงไทยยังมีแนวโน้มที่จะยังคงต่ำกว่า 50% ซึ่งเป็นระดับที่ไม่ทำให้บริษัทกลายเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ
ในด้านของความร่วมมือทางธุรกิจนั้น บริษัทได้วางกลยุทธ์ทางธุรกิจที่สอดคล้องกับของกลุ่มธนาคารกรุงไทย บริษัทใช้ประโยชน์จากเครือข่ายสาขาของธนาคารกรุงไทยที่มีอยู่ทั่วประเทศในการขยายฐานลูกค้า บริษัทยังใช้เครือข่ายดังกล่าวเป็นช่องทางในการจ่ายและชำระเงินรวมถึงการให้บริการด้านอื่น ๆ ด้วย บริษัทบัตรกรุงไทยและธนาคารกรุงไทยมีความร่วมมือด้านการตลาดระหว่างกันและใช้แบรนด์ร่วมกัน ทั้งนี้ ประมาณ 42% ของบัตรเครดิตที่ออกใหม่ในช่วงปี 2559-2561 ได้รับการแนะนำจากธนาคารกรุงไทย นอกจากนี้ ระบบบริหารความเสี่ยงของบริษัทยังได้รับการบูรณาการรวมอยู่ในระบบบริหารความเสี่ยงของธนาคารกรุงไทยด้วย
ส่วนในด้านการเงินนั้น บริษัทได้รับการสนับสนุนทางด้านเงินทุนอย่างต่อเนื่องจากธนาคารกรุงไทยในรูปแบบของวงเงินสินเชื่อซึ่งคิดเป็น 62% ของวงเงินสินเชื่อที่บริษัทได้รับจากธนาคารต่าง ๆ รวมกัน ณ สิ้นปี 2561
ความสามารถในการทำกำไรปรับตัวดีขึ้นอย่างมั่นคง
ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจะยังคงแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องในระยะ 3 ปีข้างหน้า โดยมีปัจจัยที่สนับสนุนหลายด้าน ได้แก่ อัตราดอกเบี้ยรับที่สูง ต้นทุนทางการเงินที่ค่อนข้างต่ำ รวมถึงค่าใช้จ่ายหนี้สูญและค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่อยู่ในระดับคงที่
กำไรสุทธิของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างมากเป็น 5,140 ล้านบาทในปี 2561 ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 56% จากปี 2560 โดยมีสาเหตุหลักมาจากรายได้หนี้สูญรับคืนที่เพิ่มขึ้น 17% และค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองหนี้สูญที่ลดต่ำลง 14% อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 6.7% ในปี 2561 จาก 4.7% ในปี 2560 บริษัทได้เริ่มดำเนินกลยุทธ์ที่จะเน้นการเป็นผู้ให้กู้ที่มีการคัดเลือกมากยิ่งขึ้น กฎระเบียบเกี่ยวกับสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลที่เข้มงวดขึ้นส่งผลต่อค่าใช้จ่ายหนี้สูญที่ลดลง ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทปรับเพิ่มขึ้นจากผลของการบริหารต้นทุนและการควบคุมค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่กระทำอย่างระมัดระวังอีกด้วย
สถานะทางการตลาดที่เข้มแข็ง
ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจบัตรเครดิตและธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลในระยะยาวเอาไว้ได้เนื่องจากบริษัทมีกลยุทธ์ทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ กลยุทธ์ดังกล่าวช่วยทำให้บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ระดับ 12% ของสินเชื่อบัตรเครดิต และ 7% ของสินเชื่อส่วนบุคคลในระยะ 3 ปีที่ผ่านมา ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตโดยลูกค้าของบริษัทซึ่งไม่รวมการเบิกเงินสดล่วงหน้าก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยขยายตัวถึง 10% เทียบเท่ากับระดับเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ระดับ 10% ในปี 2561
เงินให้สินเชื่อรวมของบริษัทเติบโตอย่างรวดเร็ว เป็น 78,200 ล้านบาทในปี 2561 จาก 48,080 ล้านบาทในปี 2555 ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตสะสมโดยเฉลี่ยต่อปีเท่ากับ 8% ณ เดือนธันวาคม 2561 บริษัทมีสินเชื่อคงค้างซึ่งประกอบด้วยสินเชื่อบัตรเครดิตคิดเป็นสัดส่วน 65% ของสินเชื่อรวมทั้งหมด ตามด้วยสินเชื่อส่วนบุคคล 34% และสินเชื่ออื่น ๆ อีก 1% นับเป็นความสำเร็จของคณะผู้บริหารของบริษัทที่สามารถขยายพอร์ตสินเชื่อได้โดยที่ยังคงควบคุมคุณภาพของสินทรัพย์ให้อยู่ในระดับที่ดีได้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
?
คุณภาพสินทรัพย์ที่ดีและนโยบายการตั้งสำรองที่เข้มงวด
ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะยังคงรักษาคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีเอาไว้ได้ ทริสเรทติ้งเชื่อว่าระบบการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อและระบบการจัดเก็บหนี้ของบริษัทมีความเข้มแข็งโดยจะเห็นได้จากการที่บริษัทสามารถรักษาอัตราส่วนสินเชื่อค้างชำระของบัตรเครดิต (เกิน 90 วัน) ต่อสินเชื่อบัตรเครดิตรวมให้อยู่ที่ระดับ 1.0% ได้ ณ สิ้นปี 2561 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 1.8% เช่นเดียวกับสินเชื่อส่วนบุคคลซึ่งบริษัทรายงานอัตราส่วนสินเชื่อค้างชำระ (เกิน 90 วัน) ต่อสินเชื่อส่วนบุคคลรวมที่ระดับ 0.8% ณ สิ้นปี 2561 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 2.5%
บริษัทมีนโยบายการตั้งสำรองที่เข้มงวดโดยกำหนดอัตราค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อรวมไว้ที่ระดับ 7.0% ณ สิ้นปี 2561 ซึ่งส่งผลให้สัดส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อค้างชำระ (เกิน 90 วัน) เพิ่มขึ้นเป็น 616% ณ สิ้นปี 2561 จาก 589% ณ สิ้นปี 2560 ทริสเรทติ้งมีมุมมองต่อนโยบายการตั้งสำรองที่เข้มงวดของบริษัทในด้านบวกเนื่องจากการตั้งสำรองดังกล่าวจะมีเพียงพอรองรับการเปลี่ยนแปลงในทางลบที่จะกระทบต่อคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัท
สำหรับหนี้สูญรับคืนนั้น โดยทั่วไปแล้วอัตราหนี้สูญรับคืนมักมีแนวโน้มไปในทิศทางเดียวกับอัตราหนี้สูญตัดบัญชี แต่สำหรับกรณีของบริษัทนั้นกลับกัน โดยบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สูญได้รับคืนเพิ่มขึ้นเป็น 52.9% ในปี 2561 จาก 47.4% ในปี 2559 ในขณะที่อัตราหนี้สูญตัดบัญชีลดลงมาอยู่ที่ระดับ 7.5% ในปี 2561 จาก 9.4% ในปี 2559 ทั้งนี้ เป็นผลเนื่องมาจากการที่บริษัทภายนอกที่เป็นตัวแทนติดตามหนี้สินสามารถจัดเก็บหนี้ในสัดส่วนที่สูงภายใต้ต้นทุนที่ควบคุมได้
การสนับสนุนทางการเงินที่ได้รับจากธนาคารกรุงไทยช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นทางการเงิน
ในมุมมองของทริสเรทติ้งเห็นว่าความเสี่ยงด้านสภาพคล่องระยะสั้นของบริษัทมิได้เป็นประเด็นที่น่าเป็นห่วงมากนักเนื่องจากบริษัทสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่หลากหลายซึ่งรวมถึงเงินกู้ที่ได้รับจากสถาบันการเงินหลายแห่ง นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถออกหุ้นกู้ที่มีวันครบกำหนดชำระหนี้ในช่วงเวลาที่แตกต่างกันและมีต้นทุนที่ค่อนข้างเหมาะสมได้อีกด้วย
บริษัทได้รับวงเงินกู้จากธนาคารกรุงไทยจำนวน 18,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้มีการเบิกใช้ไปแล้ว 18% ณ เดือนธันวาคม 2561 บริษัทไม่มียอดเงินกู้จากสถาบันการเงินอื่น ๆ รายใดที่มีสัดส่วนสูงมากเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับยอดเงินกู้โดยรวม ณ เดือนธันวาคม 2561 บริษัทมีเงินกู้ยืมทั้งสิ้นจำนวน 54,120 ล้านบาท โดย 26% หรือ 14,070 ล้านบาทมีเวลาครบกำหนดชำระภายในระยะเวลา 1 ปี อย่างไรก็ตาม วงเงินกู้จากสถาบันการเงินหลายแห่งก็เพียงพอที่จะช่วยลดความเสี่ยงด้านสภาพคล่องในระยะสั้นได้
ทริสเรทติ้งเห็นว่าวงเงินกู้ที่บริษัทได้รับจากธนาคารกรุงไทยนั้นช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นทางการเงินให้แก่บริษัทได้ในระดับหนึ่ง
มีฐานทุนที่เพียงพอ
ทริสเรทติ้งเชื่อว่าฐานทุนของบริษัทมีเพียงพอต่อแผนการขยายธุรกิจในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นช่วยทำให้ฐานทุนของบริษัทแข็งแกร่งขึ้นเป็นอย่างมาก อัตราส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 20.5% ณ สิ้นปี 2561 จาก 17.1% ณ สิ้นปี 2560 หากบริษัทยังคงนโยบายการจ่ายเงินปันผลที่ระมัดระวังและมีความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้น ทริสเรทติ้งก็คาดว่าส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทจะเข้มแข็งมากยิ่งขึ้นในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า
ภาระหนี้อยู่ในระดับต่ำในระยะปานกลาง
ภาระหนี้ของบริษัทน่าจะอยู่ในระดับที่ไม่น่ากังวลในระยะเวลา 2-3 ปีข้างหน้า บริษัทสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดสำคัญของหุ้นกู้ที่จะต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเอาไว้ไม่เกิน 10 เท่า ซึ่งอัตราส่วนดังกล่าวของบริษัท ณ สิ้นปี 2561 อยู่ที่ 3.9 เท่า การขยายปริมาณสินเชื่ออาจทำให้บริษัทมีการกู้เงินเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าฐานทุนของบริษัทจะยังคงแข็งแกร่งจากความสามารถในการทำกำไรที่เข้มแข็งและนโยบายการจ่ายเงินปันผลที่ระมัดระวัง โดยบริษัทน่าจะยังปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อกำหนดนี้ได้แม้ในขณะที่บริษัทมีการขยายธุรกิจตามปกติ
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
• ลูกหนี้สินเชื่อรวมของบริษัทจะเติบโตในอัตราเฉลี่ย 7% ต่อปีในช่วงปี 2562-2564
• ค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญจะอยู่ในระดับต่ำกว่า 8% ในช่วงปี 2562-2564
• ต้นทุนทางการเงินจะอยู่ในช่วง 3.2%-3.7% ในช่วงปี 2562-2564
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงมีผลประกอบการทางการเงินที่แข็งแรงต่อไปในขณะที่ยังสามารถรักษาตำแหน่งผู้นำตลาด รวมถึงมีแฟรนไชส์ที่แข็งแรง มีคุณภาพสินทรัพย์ที่ดี และมีโครงสร้างหนี้ที่ต่ำจากการดำเนินกลยุทธ์ทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพภายใต้ระบบการจัดเก็บและติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพและนโยบายการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อที่เข้มงวด นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังเชื่อว่าธนาคารกรุงไทยจะยังคงให้การสนับสนุนในด้านการเงินแก่บริษัทต่อไปเมื่อบริษัทมีความจำเป็น
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
การปรับเพิ่มอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากบริษัทสามารถปรับเพิ่มอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยให้ดีกว่าในระดับปัจจุบันได้อย่างเป็นรูปธรรมขณะที่บริษัทยังคงรักษาสถานะผู้นำตลาดเอาไว้ได้และสามารถควบคุมอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อค้างชำระให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ในขณะที่การปรับลดอันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากสถานะทางการเงินของบริษัทอันได้แก่อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยได้รับผลกระทบจากคุณภาพสินทรัพย์ที่ถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญหรือการเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบที่เป็นไปในทางลบ บริษัทมีแผนจะนำเสนอบริการด้านสินเชื่อใหม่ ๆ ได้แก่ สินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน (Secured Personal Loan หรือ Title Loan) สินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพ หรือนาโนไฟแนนซ์ (Nano Finance) และสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัด หรือพิโกไฟแนนซ์ (Pico Finance) โดยความเสี่ยงทางด้านเครดิตของบริการเหล่านี้ซึ่งเน้นกลุ่มลูกค้าที่มีความเสี่ยงที่สูงกว่ายังไม่ผ่านการพิสูจน์
นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงระดับการให้การสนับสนุนที่ธนาคารกรุงไทยมีต่อบริษัท หรือการเปลี่ยนแปลงสถานะของบริษัทในฐานะที่เป็นบริษัทย่อยที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ของธนาคารกรุงไทยก็จะมีผลกระทบต่ออันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทได้ด้วยเช่นกัน
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- การจัดอันดับเครดิตบริษัทให้สินเชื่อที่ไม่ใช่ธนาคาร, 7 พฤษภาคม 2561
- Group Rating Methodology, 10 กรกฎาคม 2558
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 ? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2562 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html