ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A-” พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 3,500 ล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 5 ปี ของบริษัทที่ระดับ “A-” ด้วยเช่นกัน โดยบริษัทจะนำเงินจากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระคืนหุ้นกู้ชุดปัจจุบันบางส่วน
อันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานที่ยาวนานของบริษัทในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนสถานะที่แข็งแกร่งในตลาดบ้านจัดสรรระดับราคาปานกลางถึงสูง และความยืดหยุ่นทางการเงินจากการมีเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็สะท้อนความกังวลของทริสเรทติ้งเกี่ยวกับยอดจำหน่ายและรายได้ของบริษัทที่ลดลงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา รวมถึงภาระหนี้ของบริษัทที่อยู่ในระดับปานกลาง ระดับหนี้ครัวเรือนของประเทศที่อยู่ในระดับสูง และลักษณะของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลงและมีการแข่งขันสูงด้วย
รายได้จากการดำเนินงานของบริษัทลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ระดับ 16,080 ล้านบาทในปี 2561 โดยลดลง 6% เมื่อเทียบกับปีก่อน บริษัทมีรายได้จากการจำหน่ายบ้านพร้อมที่ดินคิดเป็น 80% ของรายได้จากการดำเนินงานรวม ส่วนรายได้ที่เหลือมาจากการจำหน่ายคอนโดมิเนียมและรายได้จากค่าเช่า ณ เดือนธันวาคม 2561 บริษัทมีมูลค่าโครงการคอนโดมิเนียมที่ยังไม่ได้ส่งมอบ (Backlog) จำนวน 1,591 ล้านบาท โดยเกือบทั้งหมดมาจากโครงการ “Q Sukhumvit” ทั้งนี้ บริษัทคาดว่ายอดจำหน่ายโครงการคอนโดมิเนียมจะส่งมอบให้แก่ลูกค้าได้ทั้งหมดภายในปี 2562
อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอันเนื่องมาจากความพยายามในการเพิ่มประสิทธิภาพของโครงการ ทั้งนี้ อัตราส่วนกำไร (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) ของบริษัทอยู่ที่ระดับ 18.4% ในช่วงปี 2561 เพิ่มขึ้นจากระดับ 11.1%-13.9% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา อัตราส่วนกำไรที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นผลสืบเนื่องมาจากการมีอัตรากำไรขั้นต้นของโครงการบ้านจัดสรรอยู่ที่ระดับ 36% ในปี 2561 ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ย 30% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุน ณ สิ้นปี 2561 อยู่ที่ 42.9% ลดลงจาก 44.6% ณ สิ้นปี 2560 ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนนี้จะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 50% หรือเมื่อหักด้วยเงินสดแล้ว อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นจะอยู่ที่ประมาณ 1 เท่าในช่วง 3 ปีข้างหน้าโดยพิจารณาจากแผนของบริษัทที่จะเปิดโครงการใหม่มูลค่าประมาณ 10,000-15,000 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนให้ต่ำกว่า 2 เท่าตามข้อกำหนดสิทธิหุ้นกู้ ในขณะที่ ณ สิ้นปี 2561 บริษัทมีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 0.73 เท่า
บริษัทยังคงมีสภาพคล่องอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ทั้งนี้ บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้า มูลค่า 10,400 ล้านบาทซึ่งประกอบด้วยหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนมูลค่า 9,100 ล้านบาทและส่วนที่เหลือเป็นตั๋วแลกเงิน บริษัทมีแผนจะชำระหนี้หุ้นกู้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนด้วยเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่และเงินสดภายในที่มีอยู่ ส่วนตั๋วแลกเงินนั้นบริษัทจะต่ออายุบางส่วนและบางส่วนจะชำระด้วยเงินสดภายในเช่นเดียวกัน ณ เดือนธันวาคม 2561 บริษัทมีเงินสดในมือจำนวน 3,824 ล้านบาทและมีวงเงินกู้จากธนาคารที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีก 3,968 ล้านบาท ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานในช่วง 12 เดือนข้างหน้ามากกว่า 3,000 ล้านบาท ในขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินคาดว่าจะอยู่ในช่วง 13%-15% นอกจากนี้ สภาพคล่องของบริษัทยังได้รับแรงหนุนจากเงินลงทุนจำนวนมากในบริษัท 2 แห่งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์อีก 2 แห่งด้วย โดย
ณ เดือนธันวาคม 2561 เงินลงทุนดังกล่าวมีมูลค่ายุติธรรมอยู่ที่ 47,234 ล้านบาท
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าสาถนะทางธุรกิจของบริษัทจะไม่เปลี่ยนแปลงมากนักในระยะปานกลาง ส่วนในช่วง 3 ปีข้างหน้า ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทน่าจะอยู่ในช่วง 18,000-20,000 ล้านบาทต่อปี โดยรายได้จากโครงการบ้านจัดสรรคาดว่าจะคิดเป็นสัดส่วน 75%-80% ของรายได้ทั้งหมด อัตราส่วนกำไรของบริษัทคาดว่าจะทรงตัวอยู่ในช่วง 12%-14% ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนคาดว่าจะต่ำกว่าระดับ 55% เมื่อพิจารณาจากแผนการเปิดโครงการใหม่ของบริษัทที่มีมูลค่าประมาณ 10,000-15,000 ล้านบาทต่อปี
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
ทริสเรทติ้งอาจลดอันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทลงหากสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมากโดยอาจมีสาเหตุมาจากภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ซบเซาเป็นเวลานานซึ่งส่งผลทำให้ยอดจำหน่ายลดลงจนอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนเพิ่มสูงเกินกว่าระดับ 60% เป็นเวลานาน ในทางตรงกันข้าม ทริสเรทติ้งอาจปรับเพิ่มอันดับเครดิตขึ้นหากบริษัทมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากระดับปัจจุบัน ในขณะเดียวกันก็สามารถรักษาอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนให้อยู่ในระดับต่ำกว่าระดับ 50% ได้ในระยะเวลาที่ยาวนานพอสมควร
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 31 ตุลาคม 2550