ทริสเรทติ้งเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัทเงินทุน ศรีสวัสดิ์ จำกัด (มหาชน) เป็นระดับ “BBB+” จากเดิมที่ระดับ “BBB” การเพิ่มอันดับเครดิตในครั้งนี้สะท้อนถึงฐานทุนที่แข็งแกร่งและอัตราการก่อหนี้ที่ลดลงของบริษัท รวมถึงสถานะทางการตลาดและความสามารถในการทำกำไรของบริษัทที่ปรับตัวดีขึ้น ทั้งนี้ อันดับเครดิตของบริษัทอยู่บนพื้นฐานที่บริษัทมีสถานะเป็นหน่วยปฏิบัติการหลัก ของกลุ่มบริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) นอกจากนี้ การประเมินอันดับเครดิตยังพิจารณาถึงความยืดหยุ่นทางการเงิน อันเนื่องมาจากสถานะของบริษัทที่เป็นบริษัทเงินทุนที่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนโดยการรับเงินฝากจากสาธารณะได้ด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตของบริษัทก็มีข้อจำกัดจากคุณภาพสินทรัพย์ที่ยังคงอยู่ในระดับค่อนข้างอ่อนแอเมื่อเทียบกับคู่แข่ง
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” ตั้งอยู่บนความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถขยายพอร์ตสินเชื่อได้อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ยังคงรักษาความสามารถในการทำกำไรที่ดีและดำรงอัตราการก่อหนี้ที่ต่ำเอาไว้ได้ นอกจากนี้ แนวโน้มอันดับเครดิตดังกล่าวยังสะท้อนความคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้อีกด้วย
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
มีฐานทุนที่แข็งแกร่งและอัตราการก่อหนี้ดีขึ้น
ฐานทุนของบริษัทมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งหลังจากการปรับโครงสร้างทุน ซึ่งทำให้อัตราการก่อหนี้อยู่ในระดับที่ต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยสะท้อนจากอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ทริสเรทติ้งคาดว่าจะปรับตัวลดลงไปอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 3 เท่า จากระดับ 6.9 เท่า ณ เดือนมีนาคม 2562 ทั้งนี้ ในเดือนมีนาคม 2562 บริษัทได้ประกาศเพิ่มทุนโดยวิธีการจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Offering -- RO) ซึ่งบริษัทแม่ คือ บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่นได้เพิ่มทุนตามสัดส่วนของตนเองทั้งหมด เงินที่ได้รับจากการเพิ่มทุนประมาณ 6,000 ล้านบาท จะส่งผลให้เงินกองทุนชั้นที่ 1 ของบริษัทเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับเกือบ 50% ภายในเดือนมิถุนายน 2562 และสัดส่วนการถือหุ้นโดยบริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่นจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 78% จากเดิมที่ 45% ในช่วงที่ผ่านมา
การปรับโครงสร้างทุนและการมีกำไรที่สะสมอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้บริษัทสามารถรักษาฐานทุนให้อยู่ในระดับที่แข็งแกร่งต่อไปได้ในระหว่างปี 2562-2564 โดยฐานทุนที่แข็งแกร่งนี้ทำให้บริษัทสามารถขยายสินเชื่อและรองรับความเสี่ยงในด้านลบจากหนี้สูญที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
ความสามารถในการทำไรยังคงมีแนวโน้มอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง
ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นในระหว่างปี 2562-2564 หลังจากที่ในปี 2561 บริษัทมีกำไรสุทธิปรับเพิ่มขึ้น 60% จากปีก่อนหน้า การเพิ่มขึ้นอย่างมากของกำไรสุทธิเป็นผลมาจากการปรับโครงสร้างธุรกิจการให้กู้ยืมของกลุ่ม โดยตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมา สัญญาเงินกู้ที่มีพาหนะเป็นหลักประกันและสินเชื่อที่มีอสังหาริมทรัพย์เป็นหลักประกันที่มียอดการอนุมัติน้อยกว่า 10 ล้านบาทจะให้บริษัทเป็นคู่สัญญา
ผลจากการปรับโครงสร้างของกลุ่มทำให้สินเชื่อคงค้างของบริษัทเพิ่มขึ้น 8,799 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 94% ในขณะที่รายได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 1,637 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 266% ในปี 2561 อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิปรับเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย โดยเพิ่มขึ้น 142 ล้านบาท มาอยู่ที่ 377 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 61% ในปี 2561 อันเป็นผลมาจากการปรับเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานจากค่าธรรมเนียมในการให้บริการในกระบวนการสินเชื่อที่บริษัทที่เกี่ยวข้องกันเรียกเก็บจากบริษัท ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่สูงนั้นยังคงส่งผลต่อผลการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้ โดยในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2562 กำไรสุทธิของบริษัทปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 51 ล้านบาท หรือคิดเป็นการปรับลดลง 51% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ด้วยการสนับสนุนจากบริษัทแม่ ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะสามารถจัดการกับค่าใช้จ่ายดังกล่าวได้ ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยของบริษัทจะดำรงอยู่ที่ระดับประมาณ 2% ได้ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า
ความยืดหยุ่นทางการเงิน
การที่บริษัทมีความสามารถรับฝากเงินจากสาธารณะได้อันเนื่องมาจากการมีสถานะเป็นบริษัทเงินทุนนั้นช่วยทำให้บริษัทมีความยืดหยุ่นทางการเงินซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยบวกต่ออันดับเครดิต ทั้งนี้ นอกเหนือจากเงินทุนที่ได้จากการรับฝากเงินแล้ว บริษัทยังสามารถกู้ยืมเงินจากบริษัทศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น เพื่อใช้ในการสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจได้ โดย ณ เดือนมีนาคม 2562 โครงสร้างเงินทุนของบริษัทประกอบด้วยเงินรับฝากจำนวน 7,237 ล้านบาทและการกู้ยืมจากบริษัทศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำนวน 8,500 ล้านบาท
?
การอ่อนแอชั่วคราวของคุณภาพสินทรัพย์
อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (สินเชื่อที่ค้างชำระเกิน 90 วัน) ต่อสินเชื่อรวมของบริษัทมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่ปี 2561 ซึ่งเป็นประเด็นที่น่ากังวลต่ออันดับเครดิตหากคุณภาพสินทรัพย์ยังคงแย่ลงต่อไป ถึงแม้ว่าคุณภาพสินทรัพย์จะมีการปรับปรุงดีขึ้นจากในอดีตซึ่งอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวมของบริษัทลดลงอย่างมีนัยสำคัญมาอยู่ที่ระดับ 3.8% ณ สิ้นปี 2561 จาก 17.8% ณ สิ้นปี 2559 แต่อัตราส่วนดังกล่าวก็ได้ปรับเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 5.2% ณ เดือนมีนาคม 2562 โดยเป็นผลมาจากการจัดชั้นหนี้ใหม่ตามคำแนะนำของหน่วยงานกำกับดูแลซึ่งน่าจะเป็นผลกระทบเพียงครั้งเดียว ทั้งนี้ แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าคุณภาพสินเชื่อของบริษัทจะไม่ด้อยลงจากระดับในปัจจุบันในอีก 36 เดือนข้างหน้า
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
• พอร์ตสินเชื่อจะเติบโต 10%-30% ระหว่างปี 2562-2564
• อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นคาดว่าจะรักษาระดับต่ำกว่า 3 เท่า ในระหว่างปี 2562-2564
• อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 2% ในอีก 3 ปีข้างหน้า
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” ตั้งอยู่บนความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถขยายพอร์ตสินเชื่อได้อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ยังคงรักษาความสามารถในการทำกำไรที่ดีและดำรงอัตราการก่อหนี้ที่ต่ำเอาไว้ได้ นอกจากนี้ แนวโน้มอันดับเครดิตดังกล่าวยังสะท้อนความคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้อีกด้วย
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
แนวโน้มในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตยังมีจำกัดในระยะสั้น ในขณะที่อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับลดลงในกรณีที่คุณภาพสินทรัพย์และสถานะในการแข่งขันของบริษัทปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ หรืออัตราการก่อหนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทอยู่ในระดับสูงเกินกว่า 6.5 เท่า
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- การจัดอันดับเครดิตบริษัทให้สินเชื่อที่ไม่ใช่ธนาคาร, 7 พฤษภาคม 2561
บริษัทเงินทุน ศรีสวัสดิ์ จำกัด (มหาชน) (BFIT)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB+
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable